Skip to main content


 

ชื่อภาพ      อรุณไรที่ไร่ผาแดง
สถานที่ บ้านแม่ป๋าม ต.ปิงโค้ง  อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
เทคนิค        สีน้ำบนกระดาษ
ขนาด          ๒๔+๓๒ ซ.ม.
ภาพโดย    พิบูลศักดิ์  ละครพล 
 

 
 

 
 

 
  

ในบรรดาสัตว์ๆทั้งหลายในบ้านปีกไม้หุบผาแดง ผมต้องยกให้ ‘ข้าวก่ำ’ มันเป็นพระเอกของเรื่องเลยละ
เพราะแต่ละคนที่มาเยือนจะต้องเจอกับความซน ความซื่อ ความดื้อและความฉลาดของมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

แน่ละ มันชอบเล่นบทปล้ำแบบแรงๆ ด้วยความตัวใหญ่ล่ำของมัน หลายต่อหลายครั้งจึงถูกมันหยอกเย้าจนหน้าหงาย บ้างถูกมันงับท่อนแขนเล่น มันสนุกแต่เราเจ็บ หรือไม่จะเห็นมันชอบงับ หรือ อมหัวเจ้าเหมียวแมวลายเพื่อนต่างพันธุ์โชว์ให้เราดู เหมือนจะบอกทุกคนว่า- -เพราะรักดอกถึงหยอกงับ 

วันก่อน ผมเห็นข้าวก่ำแอบคาบกระดูกไปซ่อนไว้ในโพรงดินหน้าบ้าน มันใช้เท้าหน้าตะกุยดิน ขุดหลุม แล้วคาบกระดูกลงไป ใช้ปากดุนดินกลบไปมาสองสามที ก่อนมันจะลุกยืนหันซ้ายแลขวา เหมือนว่านี่คือขุมทรัพย์อันล้ำค่า คือหลุมความลับที่ไม่ต้องการให้ใครรู้เห็น ก่อนจะวิ่งมาป้วนเปี้ยน หยอกล้อเจ้าปีโป้ หมาน้อยอีกตัวหนึ่งดังเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ครั้นพอได้จังหวะทีเผลอ มันกลับงับกระดูกไปจากปากปีโป้ไปแทะอย่างหน้าตาเฉย 

ผมยืนอยู่หน้าระเบียงเงียบๆ และเห็นความฉลาดแกมโกงของเจ้าข้าวก่ำ ซึ่งมักมีให้เห็นอยู่เนืองๆ และทำให้ผมอดหัวเราะไม่ได้ 

ถ้าคุณอยากรู้กิตติศัพท์ของเจ้าข้าวก่ำ  ลองอ่านงานที่พี่ปอน ‘พิบูลศักดิ์ ละครพล’ เขียนถึงในบางบทบางตอนดูสิ, 
 

 ...หมาแสนรู้ชื่อข้าวก่ำ เดินอาด ๆ ผ่านหัวข้าพเจ้าขึ้นไปปลุกเจ้าของบ้าน “ภู-ภู..”สาบาน, ข้าพเจ้าได้ยินสุนัขขานชื่อเจ้าของ พร้อมเคาะประตูห้องนอน  เมื่อวานเย็นก็ทีแล้ว มันช่วยเจ้าของคาบหัวปลีมาจากหุบไร่ วางไว้หน้าหม้อแกงเดือดปุด และเอ่ยเอื้อน “น่าอร่อย ๆ”

ข้าพเจ้าเย้าเจ้าของบ้านว่า  ถ้าหมาพูดได้มากกว่าจินตนาการ ชีวิตนายคงไม่ต้องกินแกงส้มหัวปลีใส่ปลากระป๋อง “ครับเจ้านาย สิ่งเดียวที่ผมทำไม่ได้คือการเป็นนักเขียน” เหมือนเจ้าข้าวก่ำจะรู้ว่าถูกนินทา มันจ้องหน้าข้าพเจ้าและพูด

พระเจ้า มันยกขาหน้าพาดราวระเบียงเบิ่งชมอรุณไรเลียนแบบเจ้าของ ข้าพเจ้าอดขำไม่ได้ ว่าที่ผู้จัดการสุนัขมนุษย์อุ่นเครื่องโชว์ทีวี เขาลงไปนอนบนเก้าอี้ไม้ สุนัขกระโดดขึ้นไปนอนหนุนตักออเซาะ เรียกเสียงหัวเราะจากข้าพเจ้า

บ้านปีกไม้ใต้ผาแดงมีสุนัขสองแมวหนึ่ง  หมาน้อยหน้ายุ่งสีกะปินั้นชื่อปีโป้ เป็นพันธุ์ปนเประหว่างชิสุกับพุดเดิ้ล ต่างจากเจ้าข้าวก่ำ ขนสีดำตัวน้องๆหมี  มีเชื้อผู้ดีอังกฤษนอกคอกลาบาดอร์และโกลเด้นท์ ส่วนเจ้าแมวพื้นเมืองชื่อเหมียว เชี่ยว-แสนรู้และกลมเกลียวกันดีหน้าขนสองตัว ยกเว้นกับนังปุกกี้ คู่สวาทของเจ้าข้าวก่ำ ถ้ามันข้ามมาให้ท่าข้าวก่ำเมื่อไหร่ นังเหมียวเป็นได้ขู่ฟ่อและฝากรอยเล็บไว้เป็นที่หมั่นไส้ออกบ่อย

น่าจะเป็นเหตุเข้าพระเข้านางนี้กระมัง เจ้าหมาปีโป้ตัวกะเปี๊ยกมีนิสัยพิลึก ชอบขึ้นขย่มนังเหมียว ราวกับว่ามันเป็นหมาหน้าตาเฉย

ข้าพเจ้ารู้สึกถึงความมีชีวิต-ชีวา ของบ้านน้อยเชิงดอยผาแดงฯลฯ  

(พิบูลศักดิ์  ละครพล ‘ผาแดง แสงดาว และข้าวก่ำ’
คอลัมน์ผ่านตามาตรึงใจ, กรุงเทพธุรกิจ วันอาทิตย์ 24 ม.ค.2553)

 

ทุกเช้า ขณะผมเดินอ่อยข้าวให้ไก่บนลานดินหน้าบ้าน ไก่พันธุ์ไข่สีขาวตัวอวบอ้วนจะวิ่งมาก้มจิกกินอาหารอย่างสบายใจ เจ้าข้าวก่ำชอบเดินเข้าไปใกล้ฝูงไก่ ใช้จมูกฟุดฟิดๆ ดมๆ เหมือนจะหอมแก้มไก่เบาๆ ทำให้ผมรู้สึกได้เลยว่า สัตว์ทั้งหลายเมื่อมันเติบโตมาในสถานที่เดียวกัน ใช้ชีวิตอยู่ร่วมในแห่งหนเดียวกัน มันจะผูกพัน รักกัน และไม่ทำร้ายกัน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ซึ่งแตกต่างกับคนเรา... 

ข้าวก่ำ ผมเลี้ยงมันมาตั้งแต่มันเท่าตัวตุ่น เผลอผ่านไปเพียงขวบปีมันโตเท่าหมีดีๆ นั่นเอง แต่มันไม่เคยดุร้าย ทำร้ายใคร แต่มีบ้างที่หมาในหมู่บ้านชอบข่มและขู่มัน เวลาเดินลงดอยไปตามถนนในชุมชน เมื่อหมารุมทำร้ายมัน มันหันมาสู้ ขู่กรรโชกด้วยน้ำเสียงคำราม จนหมาบ้านต้องผงะถอยไม่เป็นขบวนเหมือนกัน 

เวลาผมไม่อยู่บ้าน เมื่อกลับมาทีไร มักได้ยินชาวบ้านเล่าขานถึงมันออกบ่อย...
“มันไปกำราบหมาเจ้าถิ่นละแวกสนามกีฬาหมู่บ้านจนอยู่หมัดแล้ว”

และหลายครั้ง  ที่มันยืนเอาขาหน้าเกาะขอบกระบะรถผม เมื่อขับเคลื่อนผ่านไปในชุมชน มันชอบเห่ายั่วล้อหมาชาวบ้านให้โกรธและวิ่งไล่ตามเห่ากันดังลั่นหัวซอยท้ายซอย เสียงเห่าของมันนั้นเหมือนจะบอกว่า แน่จริงก็วิ่งไล่สิโว้ย...หรือไม่คงบอกว่า เห่าอยู่บนรถ สบายกว่า ไม่ต้องเจ็บตัว ประมาณนั้น 

ผมชอบภาพข้าวก่ำ นั่งมองเขาเขียนรูปสีน้ำอยู่เงียบๆ  ใต้ร่มเงาไม้
และผมชอบภาพขณะเขากำลังเตรียมตัวออกเดินทางกลับในวันนั้น...

ข้าวก่ำเดินมาส่งถึงหน้าประตูรถ  นั่งมองเขาเงียบๆ ด้วยดวงตาละห้อยเหมือนอาลัยและบอกว่า...
“แล้วมาใหม่นะ”

 

บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
        ผมมองเห็นพลังในตัวผู้ชายคนนี้ ตั้งแต่เขาเปิดประตูลงจากรถ หลังจากเรายืนทักทายกัน เขาเอื้อมไปหยิบกล้องถ่ายรูปขนาดกะทัดรัดที่วางบนเบาะหน้ารถ มากดเก็บภาพหลายมุมรอบๆ สวนและบ้านปีกไม้ ในขณะที่ผมกำลังถือไม้กวาดทางมะพร้าวกวาดใบสักแห้งหล่นกองเต็มลานดินรอบโคนต้น ผมหอบใส่ตะกร้าไม้ไผ่ยัดๆ ไปเทไว้หลังบ้าน ตั้งใจไว้ว่าเมื่อเก็บเศษใบไม้ใบหญ้าได้มากพอ จะทำปุ๋ยหมักเก็บไว้ พอหันไปมองเขาอีกที ผมเห็นเขาจัดแจงลงมือทำในสิ่งที่รักและชอบเรียบร้อยแล้ว เขานั่งหลบมุมอยู่ระหว่างโรงรถกับต้นตะขบที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ข้างกายเขามีอุปกรณ์เขียนรูป กระดาษ กระดาน จาน สีน้ำ พู่กัน น้ำ…
ภู เชียงดาว
    เมื่อเอ่ยชื่อ...คนมากมายต่างรู้จักเขา… จริงสิ, ใครต่อใครบอกไว้ว่า เขากลายเป็นตัวแทนของคนหนุ่มสาว ของความรัก ความหวัง และความฝันของใครหลายคน กระทั่งมีคนให้สมญานามแด่เขา ‘เจ้าชายโรแมนติก’
ภู เชียงดาว
  กี่ครั้งที่เราทุกข์ กี่ครั้งที่เราล้ม กี่ครั้งที่เราจม อยู่ในท้องทะเลน้ำตา…
ภู เชียงดาว
ที่มาภาพ : www.oknation.net/blog/fontree/2008/08/20/     อีกคืนค่ำ,ผมถวิลหาคำปลอบโยนของอา “เป็นไงบ้าง อยู่ได้ไหม...ชีวิต” นั่นคือถ้อยคำของอาเคยไถ่ถาม น้ำเสียงยังกังวานหากอุ่นอ่อนโยน อาเหมือนดอกไม้กลางป่าอวลกลิ่นหอม อาคงรับรู้ว่างานข่าว งานเขียน มันยากหนักเพียงใด “ที่ถามเพราะอาเคยผ่านจุดนั้นมาก่อน...” ผมได้แต่พยักหน้าบอกไป “อยู่ได้ครับอา...” ในขณะหัวใจผมตื้นตันในถ้อยคำห่วงใยนั้น
ภู เชียงดาว
ใกล้สิ้นปีทีไร เชื่อว่าหลายคนคงแอบบ่นกับตัวเองอยู่เงียบๆ ลำพัง “ชีวิตเราเดินทางมาไกลจังเลย” “ทำไมมันถึงหนักหนาสาหัสอย่างนี้” “แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป...” “สิ่งไหนเล่าที่เราต้องการ...” “แล้วอะไรคือความสุขที่แท้จริง...”
ภู เชียงดาว
เหน็บหนาวใช่ไหมหัวใจเจ้า             โศกเศร้าใช่ไหมหัวใจหวัง ยามสายลมเลาะภูรับรู้-ดัง               แว่วฟังเหมือนดั่งเพลงร้าวราน ใครบางคนสับสน บ่นถึงเจ้า   ไยวิถีจึงเหน็บหนาวแตกร้าวฉาน ไม่มีแล้วหรือ...จิตวิญญาณ                                        …
ภู เชียงดาว
        ที่มาภาพ : โอ ไม้จัตวา http://blogazine.prachatai.com/user/omaijattava/post/2171
ภู เชียงดาว
ยามหมอกขาวห่มคลุมดอย และลมหนาวพัดมาเยือนเมืองเหนือคราใด ทำให้ผมอดครุ่นคำนึงถึงวิถีเก่าๆ เมื่อครั้งเที่ยวท่องไปตามภูเขา ทุ่งไร่ สายน้ำ และชุมชนของพี่น้องชนเผ่านั้นไม่ได้ แน่ละ ในเส้นทางที่ย่ำไปนั้น มักเจอทั้งเรื่องราวมากมายให้เรียนรู้ พานพบ และหยุดทบทวนดูภาพผ่านในบางสิ่ง และละทิ้งภาพผ่านในบางอย่าง แต่โดยรวมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทุกข์สุข สดชื่นรื่นรมย์ หรือปวดปร่าในห้วงลึก เราไม่อาจเกลี่ยทิ้งไปได้ เพราะนั่นล้วนคือวิถีแห่งความจริงทั้งสิ้น...