Skip to main content

 

เขาตื่นแต่เช้าตรู่...

คงเป็นเพราะเสียงนกป่าร้อง เสียงไก่ขัน หรือเสียงเท้าของเจ้าข้าวก่ำกับปีโป้ ที่วิ่งเล่นไปมาบนระเบียงไม้ไผ่ ก่อนกระโจนเข้าไปในบ้าน ผ่านกระโจม ทำให้เขาตื่น ทั้งที่เมื่อคืนกว่าเขาจะเข้านอนก็ปาตีสาม


หรืออาจเป็นเพราะเสียงเพรียกจากข้างใน
ปลุกเขาให้มุดออกมาดูแสงเช้า ชีวิตเช้า...

ตื่นเถิด,อุทัยเจิดจ้าเล้า                    รัตยา ผยองเฮย    
ดาวเจิ่ง, เวิ้งสวรรค์ลา                     ลิบแล้ว
พรานบูรพ์,ทอดบ่วงถา                    โถมคร่อม คล้องแฮ
ปราสาท,ซุลต่านแพร้ว                    พรื่อสร้าน ฉานแสง

ผมยินเขาพึมพำๆ บทกวีของ
โอมาร์ คัยยาม ขณะยืนอยู่หน้าระเบียง ก่อนจัดแจงอุปกรณ์ ลงมือเขียนรูปสีน้ำทันทีที่ตะวันเริ่มฉายแสงโผล่พ้นดอยผาแดงเบื้องหน้า

ผมปล่อยเขาอยู่เงียบๆ เดินไปทำภารกิจประจำวันข้างล่าง ปล่อยหมาแมววิ่งไล่กันในสวน ผมโปรยข้าวไก่ ลากสายยางรดน้ำต้นไม้ดอกไม้รอบๆ บ้าน ก่อนกลับมาก่อไฟในเตาหลังบ้าน ชงกาแฟ หุงข้าว ทำกับข้าวมื้อเช้าอย่างง่ายๆ

แกงส้มหัวปลีใส่ปลากระป๋องใส่ยอดชะอม น้ำพริกป่าและผักสดๆ เก็บจากหลังบ้าน มีทั้งมะแว้ง ยอดผักเชียงดา ฟักทอง ดอกแค ผักกาด ฯลฯ เอามานึ่งเคียงกับน้ำพริก

สายแล้ว เรานั่งทานข้าวกันริมหน้าต่าง เขาถามหาสูตรแกงส้มหัวปลี เผื่อไปลองทำในกระท่อมดินทุ่งดาวบ้าง ผมบอกเขา สูตรนี้ได้มาจาก
หญ้าน้ำ ทุ่งขุนหลวง นักเขียนสารคดีมาเยี่ยมหุบผาแดงอยู่บ่อย แกชอบทำกับข้าว เลยสาธิต แนะนำสูตรให้ จนผมชอบแหย่เล่น นี่ละ อาหารนักเขียน...

รสชาติจึงอร่อย ไม่ธรรมดา

แกงส้มหัวปลีใส่ปลากระป๋องใส่ยอดชะอม... เพียงคุณก่อไฟ ตั้งหม้อ เติมน้ำ ทิ้งไว้ คุณเดินลัดสวนไปในดงกล้วย ตัดปลีเอามาหัวหนึ่ง (ถ้าคุณมีหมาแบบเจ้าข้าวก่ำ คุณให้มันคาบหัวปลีกลับมาส่งให้คุณถึงเตาไฟ)ขากลับแวะเก็บยอดชะอมมาหนึ่งกำมือ จัดแจงแกะเปลือกปลีแก่ๆ ออก ก่อนใช้สากทุบๆ หัวปลีให้น่วม โยนลงไปในหม้อน้ำเดือดพล่าน ปิดฝา รอสักพัก เปิดดู จะเห็นหัวปลีแตกนุ่มออกเป็นริ้วๆ เส้นๆ เหมือนเนื้อไก่ คุณโยน หอมแดง กระเทียม พริก กะปิ มะเขือเทศ มะขามเปียก พร้อมกับปลากระป๋องลงไป ตามด้วยยอดชะอม เพียงแค่นี้ก็ได้แกงส้มหัวปลีใส่ปลากระป๋องใส่ยอดชะอม ให้กินแบบอาหารบ้านป่าขนานแท้ และเจ้าของสูตรเป็นคนใต้ เขาแนะนำไว้ว่า หากเพิ่มกะทิลงไปอีกหน่อย ก็กลายเป็นอาหารแนวปักษ์ใต้ๆ ไปเลย

วิถีคนสวนกับคนเขียนหนังสือ จำเป็นต้องกินอยู่อย่างเรียบง่ายอย่างนี้แหละ
ผมบอกตัวเอง
ประมาณว่า เพียงแค่คุณวิ่งวนรอบบ้าน วิ่งเก็บผักไม้ไซร้เครือหนึ่งรอบ ก็ได้หนึ่งหม้อแกงแล้ว
ซึ่งต่างกับคนทำงานประจำและมีเงินเดือน อาจไม่เคยรับรู้หรือสัมผัสแบบนี้ เพราะจำเป็นต้องวางชีวิตวิ่งไปบนสายพานของความรีบเร่ง

แต่ก็นั่นแหละ วิถีคนสวนกับคนเขียนหนังสือนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะมากต่อมากที่ทุกคนต้องเจอกับความยากลำบากและความหิว
คงเหมือนกับที่เขาเปรยไว้...
นี่คือการเผชิญหน้าระหว่างความฝันและความจริงในสนามชีวิต...

แน่ละ ผมเข้าใจและรู้รสชาตินั้นดี ยิ่งในยามที่เรากำลังเผชิญกับความจน และความแล้งแห้งแห่งฤดูกาลในชีวิตขณะนี้ นั่นทำให้ผมต้องใช้พลัง ใช้ความอดทนเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว และระหว่างเฝ้ารอความชุ่มชื้นมาสู่ชีวิต จำต้องคิด วางแผน สะสมเมล็ดพันธุ์เอาไว้ให้เยอะ เพื่อจะหว่านและเพาะปลูกในหน้าฝนที่จะมาเยือนในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้

นั่นรวมไปถึงการสะสมเมล็ดพันธุ์ความฝันนั้นด้วย...
ผมบอกกับตัวเองว่า จะพยายามกอบเก็บ รักษา และขยายเมล็ดพันธุ์เอาไว้ให้นานที่สุด

เขากลับไปแล้ว ออกเดินทางไปเพียงลำพัง

ในขณะที่ผมก็หันกลับมาใช้ชีวิตอยู่ในสวนเพียงลำพัง,เช่นกัน
ในวันที่ผมอยู่เงียบๆ ไหวว้างและเปล่าดาย
ผมชอบหยิบบางถ้อยคำที่เจ้าชายโรแมนติกได้บันทึกถึงผมมาอ่านแล้วครุ่นคิด
ในยามที่ห้วงชีวิตหนึ่งนั้นรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งกำลังคว้าง บางอย่างกำลังหาย...

 

 

*จงแสวงหาร่มเงาใต้ก้อนเมฆ ขณะพวกนั้นวิ่งเตลิดไปสู่เกวียนและเพิงของตน จงอย่าปล่อยให้การดำเนินชีวิตเป็นการค้าของเจ้า, แต่จงให้เป็นกีฬาของเจ้า, จงให้ความชื่นชมยินดีในผืนแผ่นดิน แต่อย่าเป็นเจ้าของมัน ด้วยต้องการในกิจการงานและศรัทธา มนุษย์ได้มาอยู่ตรงที่ๆ เขาอยู่, ซื้อและขาย, และใช้ชีวิตของตนเยี่ยงทาสติดที่ดิน,

...ผมปลอบโยนให้กำลังใจเขา ตามหน้าที่นักเพาะหว่านความฝันที่ผมเป็นราชันย์อาณาจักรอยู่ แน่นอนผมเป็นได้แค่นั้น เฉกสายลมที่หอบพาเมล็ดพันธุ์ไปเป็นป่า ส่วนการเจริญเติบโตงอกงามนั้น ขึ้นอยู่กับดิน ฟ้า อากาศ น้ำและตัวเมล็ดพันธุ์เอง

ในความคำนึงนาทีนี้ กวี นักเขียน ชาวไร่ ต่างกันตรงไหนล่ะ ระหว่างดอกเบี้ยกับดอกเหงื่อนั้น ต้องการความมุ่งมั่น ความขยันหมั่นเพียร ความรักความเอาใจใส่ไม่แพ้กัน


จากประสบการณ์ของความล้มเหลวของตัวเอง ผมพบว่า คนเรามักฝันหวาน และขยันเหลือเชื่อเมื่อท้องหิว

*วอลเดน เฮนรี่ เดวิด ธอโร เขียน สุริยฉัตร ชัยมงคล แปล.
บางตอน
ร่มเงาใต้ก้อนเมฆ คอลัมน์การเดินทางของจักรยานสีแดง,พิบูลศักดิ์ ละครพล
กุลสตรี ปักษ์หลังกุมภาพันธ์ 2553

 

บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
        ผมมองเห็นพลังในตัวผู้ชายคนนี้ ตั้งแต่เขาเปิดประตูลงจากรถ หลังจากเรายืนทักทายกัน เขาเอื้อมไปหยิบกล้องถ่ายรูปขนาดกะทัดรัดที่วางบนเบาะหน้ารถ มากดเก็บภาพหลายมุมรอบๆ สวนและบ้านปีกไม้ ในขณะที่ผมกำลังถือไม้กวาดทางมะพร้าวกวาดใบสักแห้งหล่นกองเต็มลานดินรอบโคนต้น ผมหอบใส่ตะกร้าไม้ไผ่ยัดๆ ไปเทไว้หลังบ้าน ตั้งใจไว้ว่าเมื่อเก็บเศษใบไม้ใบหญ้าได้มากพอ จะทำปุ๋ยหมักเก็บไว้ พอหันไปมองเขาอีกที ผมเห็นเขาจัดแจงลงมือทำในสิ่งที่รักและชอบเรียบร้อยแล้ว เขานั่งหลบมุมอยู่ระหว่างโรงรถกับต้นตะขบที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ข้างกายเขามีอุปกรณ์เขียนรูป กระดาษ กระดาน จาน สีน้ำ พู่กัน น้ำ…
ภู เชียงดาว
    เมื่อเอ่ยชื่อ...คนมากมายต่างรู้จักเขา… จริงสิ, ใครต่อใครบอกไว้ว่า เขากลายเป็นตัวแทนของคนหนุ่มสาว ของความรัก ความหวัง และความฝันของใครหลายคน กระทั่งมีคนให้สมญานามแด่เขา ‘เจ้าชายโรแมนติก’
ภู เชียงดาว
  กี่ครั้งที่เราทุกข์ กี่ครั้งที่เราล้ม กี่ครั้งที่เราจม อยู่ในท้องทะเลน้ำตา…
ภู เชียงดาว
ที่มาภาพ : www.oknation.net/blog/fontree/2008/08/20/     อีกคืนค่ำ,ผมถวิลหาคำปลอบโยนของอา “เป็นไงบ้าง อยู่ได้ไหม...ชีวิต” นั่นคือถ้อยคำของอาเคยไถ่ถาม น้ำเสียงยังกังวานหากอุ่นอ่อนโยน อาเหมือนดอกไม้กลางป่าอวลกลิ่นหอม อาคงรับรู้ว่างานข่าว งานเขียน มันยากหนักเพียงใด “ที่ถามเพราะอาเคยผ่านจุดนั้นมาก่อน...” ผมได้แต่พยักหน้าบอกไป “อยู่ได้ครับอา...” ในขณะหัวใจผมตื้นตันในถ้อยคำห่วงใยนั้น
ภู เชียงดาว
ใกล้สิ้นปีทีไร เชื่อว่าหลายคนคงแอบบ่นกับตัวเองอยู่เงียบๆ ลำพัง “ชีวิตเราเดินทางมาไกลจังเลย” “ทำไมมันถึงหนักหนาสาหัสอย่างนี้” “แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป...” “สิ่งไหนเล่าที่เราต้องการ...” “แล้วอะไรคือความสุขที่แท้จริง...”
ภู เชียงดาว
เหน็บหนาวใช่ไหมหัวใจเจ้า             โศกเศร้าใช่ไหมหัวใจหวัง ยามสายลมเลาะภูรับรู้-ดัง               แว่วฟังเหมือนดั่งเพลงร้าวราน ใครบางคนสับสน บ่นถึงเจ้า   ไยวิถีจึงเหน็บหนาวแตกร้าวฉาน ไม่มีแล้วหรือ...จิตวิญญาณ                                        …
ภู เชียงดาว
        ที่มาภาพ : โอ ไม้จัตวา http://blogazine.prachatai.com/user/omaijattava/post/2171
ภู เชียงดาว
ยามหมอกขาวห่มคลุมดอย และลมหนาวพัดมาเยือนเมืองเหนือคราใด ทำให้ผมอดครุ่นคำนึงถึงวิถีเก่าๆ เมื่อครั้งเที่ยวท่องไปตามภูเขา ทุ่งไร่ สายน้ำ และชุมชนของพี่น้องชนเผ่านั้นไม่ได้ แน่ละ ในเส้นทางที่ย่ำไปนั้น มักเจอทั้งเรื่องราวมากมายให้เรียนรู้ พานพบ และหยุดทบทวนดูภาพผ่านในบางสิ่ง และละทิ้งภาพผ่านในบางอย่าง แต่โดยรวมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทุกข์สุข สดชื่นรื่นรมย์ หรือปวดปร่าในห้วงลึก เราไม่อาจเกลี่ยทิ้งไปได้ เพราะนั่นล้วนคือวิถีแห่งความจริงทั้งสิ้น...