Skip to main content

 

ongart_20070925_01.jpg

 

 

“...เมื่อมนุษย์จมอยู่กับฝูงชนที่ขาดความเป็นมนุษย์
ถูกผลักไปมาอย่างอัตโนมัติไปตามแรงเหวี่ยง
บุคคลนั้นก็สูญเสียความเป็นมนุษย์ที่แท้
สูญเสียคุณธรรม หมดความสามารถที่จะรัก
และศักยภาพที่จะกำหนดตนเอง
เมื่อสังคมประกอบด้วยผู้คนที่ไม่รู้จักความวิเวกภายใน
สังคมนั้นก็ไม่อาจรวมกันได้ด้วยความรัก
แต่อยู่ได้ด้วยอำนาจครอบงำและความรุนแรง...”

ถ้อยคำของ “โทมัส เมอร์ตัน”
คัดมาจากหนังสือ “ความเงียบ”
จอห์น เลน เขียน, สดใส ขันติวรพงศ์ แปล


สวนบนเนินเขาเหนือหมู่บ้านเกิดของผม ตั้งอยู่ในเนื้อที่สี่เหลี่ยมผืนผ้า มีความกว้างและยาวราวสี่ห้าไร่
ก่อนหน้านั้นส่วนหนึ่งด้านล่างเป็นสวนลำไยประมาณสามไร่ของเพื่อนบ้าน ก่อนเขาจะถามขายให้ในราคาไม่กี่หมื่นบาทเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา หลังจากนั้น ผมค่อยขยับขยายหักร้างถางพงป่าไผ่ที่ทอดทมึนขึ้นไปบนเนินเขา จนกลายเป็นเนื้อที่เดียวกัน

ครับ, เป็นสวนแห่งความหวัง สวนแห่งชีวิตและความอยู่รอดของผม ที่ต้องการอาศัยอยู่ในยุคสังคมที่เร็วและเร่งเช่นนี้

ongart_20070925_02.jpg


ครั้งหนึ่ง...อาปุ๊ “ ’รงค์ วงษ์สวรรค์” ศิลปินแห่งชาติ ผู้ใหญ่อีกท่านหนึ่งที่ผมเคารพนับถือ...ที่พาชีวิตครอบครัวไปพำนักอยู่ในสวนทูนอิน ในเขต ต.โป่งแยง อ.แม่ริม เอ่ยถามผมว่า สวนที่บ้านมีเนื้อที่เท่าไร ผมบอกว่า ประมาณสี่ห้าไร่

“เฮ้ย...สี่ห้าไร่ไม่ใช่น้อยๆ นะ ถ้าเรารู้จักตกแต่งสวน ตกแต่งป่า...” นั่นคือถ้อยคำบอกเล่าของพญาอินทรีแห่งวรรณกรรมบอกย้ำในค่ำคืนนั้น

จริงสินะ, หะแรกผมเคยคิดว่ามันดูเหมือนกีดแคบ ยังไม่พอ แต่พอนานเข้าจึงรู้ใช่, ว่ามันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ไม่มากไม่น้อย สำหรับคนๆ คนหนึ่งกับวันเวลาช่วงหนึ่งในชีวิตที่มาอาศัยอยู่ในโลกใบนี้

และคนทำสวนทำไร่จะรู้ว่ามันกว้างใหญ่ก็ในช่วงฤดูฝนนี่แหละ เมื่อฝนหล่นพรำ เนื้อดินชุ่มฉ่ำ แดดฟาด หญ้าก็แทรกแตกหน่อ ม้วนคลี่ ผลิบาน ชูช่อใบ เหยียดร่างชะลูดสูง ขึ้นรกเรื้อปกคลุมไปทั่ว จนต้องแผ้วถางกันไม่หวาดไม่ไหว

มาถึงตอนนี้ ทำให้พลอยนึกไปถึงวิธีแก้ปัญหาหญ้ารกปกคลุมสวนของคนขี้เกียจอย่างผม...

จำได้ว่าตอนเป็นครูดอย ผมเคยขอเมล็ดถั่วพันธุ์พื้นเมืองของพี่น้องชนเผ่าลีซูจากบ้านฟ้าสวย หลังดอยหลวงเชียงดาว มาหนึ่งถุงใหญ่ เป็นเมล็ดถั่วตระกูลคล้ายๆ ถั่วแปบบ้านเรา แต่ที่น่าสนใจของถั่วพันธุ์นี้ก็คือ วิธีเพาะปลูกถั่วชนิดนี้ ง่ายและไม่ต้องลงแรงอะไรมากเลย เพียงแค่กำเมล็ดโปรยหว่านไปทั่วผืนดินผืนนั้น หลังจากน้ำฟ้าหล่นโปรยลงมาอย่างต่อเนื่อง จนเนื้อดินนุ่มชุ่มพื้น หว่านไปรอบๆ โคนต้นลำไย มะม่วงที่ปลูกเสริมเป็นแนวยาวจากทิศตะวันออกจรดรั้วทางทิศตะวันตก

เพียงเท่านั้น เพียงข้ามวันผ่านคืนไปไม่นาน เมล็ดถั่วก็งอกติดดิน ก่อนแตกใบ ทอดยาวเลื้อยคลุมผืนดินจนดูเขียวสดไปทั่ว แน่นอนว่า นอกจากจะได้เมล็ดถั่วเอาไว้เป็นเชื้อเป็นเมล็ดพันธุ์ต่อไปแล้ว ต้นถั่วที่ขึ้นเลื้อยปกคลุมไปทั่วผืนดินแปลงนี้ ก็ช่วยคลุมหน้าดินไม่ให้มีหญ้า วัชพืชอื่นได้มีโอกาสขึ้นรกปกคลุมเหมือนแต่ก่อนอีกเลย

ครั้นเมื่อเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์แล้ว ผมก็ปล่อยให้ต้นถั่วเหล่านั้นแห้งตายกลายเป็นปุ๋ยทับถมพื้นดินในสวนนั้น เมื่อฝนแรกของฤดูกาลใหม่มาเยือน

แต่นั่นมันก็นานมาแล้ว, หลังจากที่ผมพาตัวเองลงจากดอย มาทำงานในเมืองใหญ่ สวนในชีวิตของผมก็ดูเหมือนรกร้าง ไร้คนเอาใจใส่ มะม่วง ลำไย ที่ปลูกเอาไว้ก็โตขึ้นโดยลำพัง นานและนานเหลือเกิน ที่ผมปล่อยให้มันเป็นอยู่อย่างนั้น ไม่เคยนึกถึงและเอาใจใส่ คอยใส่ปุ๋ย รดน้ำ พรวนดินเหมือนแต่ก่อน

เหมือนกับชีวิตตัวเอง...

จากที่เคยใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติมาตลอดเวลา แต่ต้องมาอยู่กับเมือง เทคโนโลยี การงานที่เร็วและเร่งอย่างนี้ ทำให้ชีวิตผมดูเหมือนกำลังถูกผูกติดกับอะไรบางอย่าง

บางครั้งเหมือนกับมีสิ่งดึงดูด บางครั้งดูเหมือนมีบางอย่างกระชากให้เหวี่ยงไปตามถนนของความต้องการ กระทั่งคล้ายกับว่า ตัวเราไม่แตกต่างกับเครื่องจักรกล ที่ไหลเลื่อนเคลื่อนไปตามฟันเฟืองของสังคมแห่งทุนและเทคโนโลยี

จึงไม่แปลกเลยว่า หลังจากผมพาตัวเองมาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเพียงไม่กี่ปี ผมรู้สึกได้เลยว่า “ชีวิตชำรุด” ถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาลซ่อมร่างกายหลายต่อหลายครั้ง

จึงไม่แปลกเลย ที่ “จอห์น เลน” บอกเล่าเอาไว้ในหนังสือ “ความเงียบ” ว่า...

“...คนหนุ่มสาวส่วนใหญ่ผู้แสวงหาชีวิตที่เร่งเร็ว ชอบที่จะอยู่ในเมืองใหญ่ พวกเขาไม่ชอบการคิดใคร่ครวญ สนองความสุขทางผัสสะอย่างเท่าที่จะทำได้ วินัยในตน ความสุขุมรอบคอบ ความอ่อนน้อมถ่อมตน และความสำรวมถูกทำให้สลบไสลไปหมดแล้ว พวกเขาชอบดนตรีอึกทึกมากว่าความเงียบ ชอบความรุนแรงมากกว่าความสงบ…”

“...ความสำเร็จในชีวิต ไม่ได้อยู่ที่การแสวงหาทรัพย์สิน แต่อยู่ที่การมีสุขภาพดี ชีวิตเป็นอิสระ สามารถใช้ผัสสะและจินตนาการได้อย่างเสรี...”

อาจเป็นด้วยเหตุนี้กระมัง ที่ทำให้ผมโหยหาและอยากกลับคืนไปสู่ความเงียบ ใน “สวนแห่งชีวิต” บ่อยครั้ง.

หมายเหตุ : งานเขียนชุดนี้เคยตีพิมพ์ใน “พลเมืองเหนือรายสัปดาห์” ผู้เขียนขออนุญาตนำมาลงในประชาไท,อีกครั้ง.

บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
        ผมมองเห็นพลังในตัวผู้ชายคนนี้ ตั้งแต่เขาเปิดประตูลงจากรถ หลังจากเรายืนทักทายกัน เขาเอื้อมไปหยิบกล้องถ่ายรูปขนาดกะทัดรัดที่วางบนเบาะหน้ารถ มากดเก็บภาพหลายมุมรอบๆ สวนและบ้านปีกไม้ ในขณะที่ผมกำลังถือไม้กวาดทางมะพร้าวกวาดใบสักแห้งหล่นกองเต็มลานดินรอบโคนต้น ผมหอบใส่ตะกร้าไม้ไผ่ยัดๆ ไปเทไว้หลังบ้าน ตั้งใจไว้ว่าเมื่อเก็บเศษใบไม้ใบหญ้าได้มากพอ จะทำปุ๋ยหมักเก็บไว้ พอหันไปมองเขาอีกที ผมเห็นเขาจัดแจงลงมือทำในสิ่งที่รักและชอบเรียบร้อยแล้ว เขานั่งหลบมุมอยู่ระหว่างโรงรถกับต้นตะขบที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ข้างกายเขามีอุปกรณ์เขียนรูป กระดาษ กระดาน จาน สีน้ำ พู่กัน น้ำ…
ภู เชียงดาว
    เมื่อเอ่ยชื่อ...คนมากมายต่างรู้จักเขา… จริงสิ, ใครต่อใครบอกไว้ว่า เขากลายเป็นตัวแทนของคนหนุ่มสาว ของความรัก ความหวัง และความฝันของใครหลายคน กระทั่งมีคนให้สมญานามแด่เขา ‘เจ้าชายโรแมนติก’
ภู เชียงดาว
  กี่ครั้งที่เราทุกข์ กี่ครั้งที่เราล้ม กี่ครั้งที่เราจม อยู่ในท้องทะเลน้ำตา…
ภู เชียงดาว
ที่มาภาพ : www.oknation.net/blog/fontree/2008/08/20/     อีกคืนค่ำ,ผมถวิลหาคำปลอบโยนของอา “เป็นไงบ้าง อยู่ได้ไหม...ชีวิต” นั่นคือถ้อยคำของอาเคยไถ่ถาม น้ำเสียงยังกังวานหากอุ่นอ่อนโยน อาเหมือนดอกไม้กลางป่าอวลกลิ่นหอม อาคงรับรู้ว่างานข่าว งานเขียน มันยากหนักเพียงใด “ที่ถามเพราะอาเคยผ่านจุดนั้นมาก่อน...” ผมได้แต่พยักหน้าบอกไป “อยู่ได้ครับอา...” ในขณะหัวใจผมตื้นตันในถ้อยคำห่วงใยนั้น
ภู เชียงดาว
ใกล้สิ้นปีทีไร เชื่อว่าหลายคนคงแอบบ่นกับตัวเองอยู่เงียบๆ ลำพัง “ชีวิตเราเดินทางมาไกลจังเลย” “ทำไมมันถึงหนักหนาสาหัสอย่างนี้” “แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป...” “สิ่งไหนเล่าที่เราต้องการ...” “แล้วอะไรคือความสุขที่แท้จริง...”
ภู เชียงดาว
เหน็บหนาวใช่ไหมหัวใจเจ้า             โศกเศร้าใช่ไหมหัวใจหวัง ยามสายลมเลาะภูรับรู้-ดัง               แว่วฟังเหมือนดั่งเพลงร้าวราน ใครบางคนสับสน บ่นถึงเจ้า   ไยวิถีจึงเหน็บหนาวแตกร้าวฉาน ไม่มีแล้วหรือ...จิตวิญญาณ                                        …
ภู เชียงดาว
        ที่มาภาพ : โอ ไม้จัตวา http://blogazine.prachatai.com/user/omaijattava/post/2171
ภู เชียงดาว
ยามหมอกขาวห่มคลุมดอย และลมหนาวพัดมาเยือนเมืองเหนือคราใด ทำให้ผมอดครุ่นคำนึงถึงวิถีเก่าๆ เมื่อครั้งเที่ยวท่องไปตามภูเขา ทุ่งไร่ สายน้ำ และชุมชนของพี่น้องชนเผ่านั้นไม่ได้ แน่ละ ในเส้นทางที่ย่ำไปนั้น มักเจอทั้งเรื่องราวมากมายให้เรียนรู้ พานพบ และหยุดทบทวนดูภาพผ่านในบางสิ่ง และละทิ้งภาพผ่านในบางอย่าง แต่โดยรวมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทุกข์สุข สดชื่นรื่นรมย์ หรือปวดปร่าในห้วงลึก เราไม่อาจเกลี่ยทิ้งไปได้ เพราะนั่นล้วนคือวิถีแห่งความจริงทั้งสิ้น...