Skip to main content

พระจันทร์กำลังขึ้นในหุบเขาผาแดง...” เสียงของเจ้าธันวา ลูกชายกวีเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น กับภาพที่ฉายอยู่เบื้องหน้า พระจันทร์ดวงกลมโตกำลังเดินทาง โผล่พ้นหลังดอยผาแดงอย่างช้าๆ ก่อนลอยเด่นอยู่เหนือยอด ลอยสูงขึ้นไปบนเวิ้งฟ้าราตรี

 

0 0 0 0

 

อีกหนึ่งความทรงจำที่ตรึงผมไว้กับการเดินทางวันนั้น
เป็นการเดินทางช้าๆ ไม่เร่งรีบ เรียบง่าย ไม่มีเป้าหมาย แต่เราได้อะไรๆ จากความเรียบง่ายนั้นมามากมาย เมื่อผมนัดกับพี่ชายกวี ‘สุวิชานนท์ รัตนภิมล’ คนเขียนหนังสือ คนเขียนเพลง คนเขียนคำกวี เพื่อไปค้นหาความลี้ลับบางอย่างกลางป่า


รถขับเคลื่อนสี่ล้อสีดำคันเล็กไต่ไปบนถนนสายเก่าที่ทอดยาวไปอีกฟากฝั่งหนึ่งของดอยหลวงเชียงดาว แยกจากบ้านปางแดงใน ไต่ไปตามร่องถนนดิน ก่อนผุดขึ้นเนินโค้งเข้าไปในดงป่า

 

ช่วยหยุดรถตรงนี้หน่อย พี่ขอดูมุมนี้หน่อย” เสียงพี่ชายกวีเอ่ยเบาๆ ผมจอดรถ ก่อนพากันลงมาดูภาพมุมกลับที่เราผ่านมาหมาดๆ งามครับงาม ผมขึ้นไปยืนบนขอนไม้ล้มข้างทาง เก็บภาพในมุมกว้าง...ถนนสีแดงกลางป่า ตัดข้ามลำห้วย ต้นไม้แห้งยืนโกร๋น ทุ่งนาขั้นบันได น้ำในนาสะท้อนแสงแดดกลางวันวิบวับ ทันใดนั้น ลมป่าพัดโชยมา พี่ชายรีบอุทานร้องบอกลูกชายให้หันมามองความเคลื่อนไหวอยู่เบื้องบน

 

โห...น้องธันว์มองเห็นมั้ยนั่น ดอกไม้กำลังโปรยลงมา...” เขาชี้ให้ลูกชายวัยเจ็ดขวบดู“ดอกไม้สีเหลือง กำลังร่วงลงมา”

 

ใช่ ร่วงเต็มไปหมดเลย”

20401

20402 20403

 

 

ผมหันไปมองความงามของกลีบดอกไม้สีเหลือง ที่ถูกลมป่าพัดปลิวลอยลงมาเกลื่อนโคนต้น โปรยปลิวมาไกลถึงที่เรายืนดูอยู่ พี่ชายกดเก็บภาพ ลูกชายกวีก้มเก็บมาลูบคลำ ทันใดนั้น ผมเห็นความเปลี่ยนแปลงเบื้องหน้าอย่างน่าประหลาดใจ เมื่อผมเห็นกลีบดอกไม้กลีบนั้นบินได้ กลายเป็นผีเสื้อสีเหลืองนวล ขยับปีกไหวไปมา

 

น้องธันว์ นั่นกลีบดอกไม้กลายเป็นผีเสื้อสีเหลือง...” ผมตะโกนร้องบอกลูกชายกวี

ไหนๆ...” ผมรีบชี้ให้ดูผีเสื้อตัวนั้นขยับปีก ก่อนบินลับหายไปในดงป่า

 

ผมไม่รู้ว่าตาฝาดไป หรือผมเห็นเช่นนั้นจริงๆ แต่อย่างไงก็ตามมันทำให้ผมต้องพึมพำไปมาอยู่อย่างนั้น...“เมื่อลมป่าพัดต้อง กลีบดอกไม้กลายเป็นผีเสื้อสีเหลืองนวล...”

 

และมันทำให้ผมนึกไปความงามและความจริง ของ ‘เฮสเส’ ที่ปล่อยให้นายคนุลป์ถ่ายทอดออกมา

 

...ดอกไม้ให้กลิ่นหอม ให้เมล็ด เพราะมันอยากไปหากันและกัน แต่ตัวดอกไม้เองนั้นไม่อาจทำให้เมล็ดปลิวไปที่ไหนได้ตามใจ ลมเป็นผู้พัดพาไป และสายลมจะมาจะไปก็แล้วแต่ความพอใจของมัน”

 

พอดีชาวบ้านสองคนเดินผ่านทางเข้ามา เห็นอารมณ์แปลกๆ ของเรา ผมรีบชิงถามเขาก่อน “กำลังไปไหนกัน”

 

ไปซ่อมประปาภูเขาบนหัวน้ำ”

 

เอออ้าย พอรู้จักมั้ยว่าต้นไม้ต้นนั้นชื่อต้นอะไร” ผมเอ่ยถามชื่อต้นไม้เจ้าของกลีบดอกไม้สีเหลือง

 

อ๋อ...ต้นบ่าแหน” ผมรีบทวนชื่อต้นบ่าแหน...แหน สะกดด้วยคำว่า ห-แอ--แหน

 

ผมนึกออกล่ะ ต้นบ่าแหนที่ออกลูกออกหน่วยที่พวกเก้งมันชอบมาขบกินใช่มั้ย” คนเดินทางไปซ่อมประปาภูเขาพยักหน้าบอก

 

เราเดินทางกันต่อ ลูกชายกวีขออนุญาตพ่อนั่งกระบะท้ายคนเดียวลำพัง พ่อยิ้มพยักหน้า ก่อนบอกผมว่านี่เป็นการฝึกการใช้ชีวิตของลูกชายอีกแบบหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าเด็กวัยเจ็ดขวบคนนี้สายตากำลังจ้องค้นหาอะไร และกำลังคิดถึงอะไรอยู่ ขณะที่นั่งอยู่กระบะท้ายคนเดียวในป่าลึก

 

ผมพาสองพ่อลูกไปแวะเยี่ยมเพื่อนครูดอยที่ห้วยปง ชุมชนชนเผ่าดาระอั้งกับลาหู่ที่อาศัยอยู่รวมกันกลางป่าลึก ระหว่างทางเราแวะเก็บภาพดอกเสี้ยวป่าสะพรั่งบานเต็มกิ่งก้านใกล้เนินเขา ก่อนวกกลับบนเส้นทางเดิม เลี้ยวไปตามเส้นทางป่าอีกสายหนึ่ง เป็นทางลัดตัดไปสู่หมู่บ้านลีซูห้วยน้ำริน

 

 

20404

 

20405

 

20406

 

20407

 

 

ระหว่างทาง เราได้คุยกันถึงภาพความงามและความเปลี่ยนที่ผสานผสมกันจนดูไม่ออก กับภาพของภูผาและทุ่งไร่ข้าวโพดกว้างใหญ่ที่นายทุนใหญ่เข้ามาส่งเสริมลงทุนให้ชาวบ้านที่นี่ปลูกพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยว จนผืนป่าผืนไร่กลายเป็นทุ่งข้าวโพดเต็มไปหมด

 

เราคงไม่โทษชาวบ้านหรอกนะที่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ถ้าจะโทษ เราคงโทษโครงสร้างของรัฐมากกว่าที่ปล่อยให้นายทุนรุกคืบเข้าถึงที่นี่ โดยอาศัยมืออาศัยแรงของชาวบ้าน โดยไม่ต้องเช่าที่ดิน ก่อนสูบเอาผลประโยชน์กลับไป” เสียงบ่นนี้หายวับไปกับสายลมที่หมุนติ้วอยู่กลางไร่ข้าวโพด

 

20408

 

20409

 

 

ในที่สุด,ถนนแคบๆ สายนี้ก็พาเรามาถึงบ้านปีกไม้ที่ตั้งอยู่ภายในสวนบนเนินเขา เป็นบ้านซึ่งเป็นที่มั่นสุดท้ายของผม ครั้นพอตกค่ำ เมื่อนั่งอยู่ตรงประตูบานใหญ่ที่เปิดออกกว้าง เบื้องหน้าลิบไกลจะมองเห็นทุ่งนาและดอยผาแดงตั้งตระหง่านอย่างมีพลัง เสียงแมลงกลางคืนเริ่มเซ็งแซ่ อากาศสะอาด และลมภูเขาเริ่มพัดโชยมา

 

ขณะที่ผมกำลังง่วนทำกับข้าวมื้อเย็นอยู่ในครัว ผมแอบได้ยินเสียงสองพ่อลูกคุยกันอยู่หน้าบ้าน ใช่ พวกเขากำลังตื่นเต้นกับการเดินทางของแสงแห่งค่ำคืน

 

พระจันทร์กำลังขึ้นในหุบเขาผาแดง...ของอาภู”

 

ใช่ พระจันทร์กำลังเดินทางมาเยี่ยมถึงหน้าบ้านอาภูเลย...”

 

ผมนิ่งฟังสองพ่อลูกสนทนากันด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น กับภาพที่ฉายอยู่เบื้องหน้าพระจันทร์ดวงกลมโตกำลังเดินทาง โผล่พ้นหลังดอยผาแดงอย่างช้าๆ พร้อมกับเสียงพ่อลูกกำลังนั่งนับเลขถอยหลัง...

 

ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง ศูนย์...เฮ้ !!...” ก่อนพระจันทร์จะลอยเด่นอยู่เหนือยอด ลอยสูงไปบนเวิ้งฟ้าราตรี สาดประกายสว่างนวลไปทั่วหุบเขา...

 

ผมชอบคำพูดของเจ้าธันวา เด็กชายวัยเจ็ดขวบคนนี้ วันๆ หนึ่งแกมักชอบหลุดคำงามๆ ออกมา

 

พระจันทร์กำลังขึ้นในหุบเขาผาแดง...”

 

จริงสิ, นั่นเป็นถ้อยคำกวีของลูกชายกวี

 

บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
        ผมมองเห็นพลังในตัวผู้ชายคนนี้ ตั้งแต่เขาเปิดประตูลงจากรถ หลังจากเรายืนทักทายกัน เขาเอื้อมไปหยิบกล้องถ่ายรูปขนาดกะทัดรัดที่วางบนเบาะหน้ารถ มากดเก็บภาพหลายมุมรอบๆ สวนและบ้านปีกไม้ ในขณะที่ผมกำลังถือไม้กวาดทางมะพร้าวกวาดใบสักแห้งหล่นกองเต็มลานดินรอบโคนต้น ผมหอบใส่ตะกร้าไม้ไผ่ยัดๆ ไปเทไว้หลังบ้าน ตั้งใจไว้ว่าเมื่อเก็บเศษใบไม้ใบหญ้าได้มากพอ จะทำปุ๋ยหมักเก็บไว้ พอหันไปมองเขาอีกที ผมเห็นเขาจัดแจงลงมือทำในสิ่งที่รักและชอบเรียบร้อยแล้ว เขานั่งหลบมุมอยู่ระหว่างโรงรถกับต้นตะขบที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ข้างกายเขามีอุปกรณ์เขียนรูป กระดาษ กระดาน จาน สีน้ำ พู่กัน น้ำ…
ภู เชียงดาว
    เมื่อเอ่ยชื่อ...คนมากมายต่างรู้จักเขา… จริงสิ, ใครต่อใครบอกไว้ว่า เขากลายเป็นตัวแทนของคนหนุ่มสาว ของความรัก ความหวัง และความฝันของใครหลายคน กระทั่งมีคนให้สมญานามแด่เขา ‘เจ้าชายโรแมนติก’
ภู เชียงดาว
  กี่ครั้งที่เราทุกข์ กี่ครั้งที่เราล้ม กี่ครั้งที่เราจม อยู่ในท้องทะเลน้ำตา…
ภู เชียงดาว
ที่มาภาพ : www.oknation.net/blog/fontree/2008/08/20/     อีกคืนค่ำ,ผมถวิลหาคำปลอบโยนของอา “เป็นไงบ้าง อยู่ได้ไหม...ชีวิต” นั่นคือถ้อยคำของอาเคยไถ่ถาม น้ำเสียงยังกังวานหากอุ่นอ่อนโยน อาเหมือนดอกไม้กลางป่าอวลกลิ่นหอม อาคงรับรู้ว่างานข่าว งานเขียน มันยากหนักเพียงใด “ที่ถามเพราะอาเคยผ่านจุดนั้นมาก่อน...” ผมได้แต่พยักหน้าบอกไป “อยู่ได้ครับอา...” ในขณะหัวใจผมตื้นตันในถ้อยคำห่วงใยนั้น
ภู เชียงดาว
ใกล้สิ้นปีทีไร เชื่อว่าหลายคนคงแอบบ่นกับตัวเองอยู่เงียบๆ ลำพัง “ชีวิตเราเดินทางมาไกลจังเลย” “ทำไมมันถึงหนักหนาสาหัสอย่างนี้” “แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป...” “สิ่งไหนเล่าที่เราต้องการ...” “แล้วอะไรคือความสุขที่แท้จริง...”
ภู เชียงดาว
เหน็บหนาวใช่ไหมหัวใจเจ้า             โศกเศร้าใช่ไหมหัวใจหวัง ยามสายลมเลาะภูรับรู้-ดัง               แว่วฟังเหมือนดั่งเพลงร้าวราน ใครบางคนสับสน บ่นถึงเจ้า   ไยวิถีจึงเหน็บหนาวแตกร้าวฉาน ไม่มีแล้วหรือ...จิตวิญญาณ                                        …
ภู เชียงดาว
        ที่มาภาพ : โอ ไม้จัตวา http://blogazine.prachatai.com/user/omaijattava/post/2171
ภู เชียงดาว
ยามหมอกขาวห่มคลุมดอย และลมหนาวพัดมาเยือนเมืองเหนือคราใด ทำให้ผมอดครุ่นคำนึงถึงวิถีเก่าๆ เมื่อครั้งเที่ยวท่องไปตามภูเขา ทุ่งไร่ สายน้ำ และชุมชนของพี่น้องชนเผ่านั้นไม่ได้ แน่ละ ในเส้นทางที่ย่ำไปนั้น มักเจอทั้งเรื่องราวมากมายให้เรียนรู้ พานพบ และหยุดทบทวนดูภาพผ่านในบางสิ่ง และละทิ้งภาพผ่านในบางอย่าง แต่โดยรวมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทุกข์สุข สดชื่นรื่นรมย์ หรือปวดปร่าในห้วงลึก เราไม่อาจเกลี่ยทิ้งไปได้ เพราะนั่นล้วนคือวิถีแห่งความจริงทั้งสิ้น...