ในการเขียนรัฐธรรมนูญในชั้นหลังๆ มีการบันทึกเจตนารมณ์ไว้ชัดเจน เพื่อป้องกัน "ศรีธนญชัย" และ "เนติบริกร" ผู้ "ใช้" รัฐธรรมนูญสนองความต้องการตามอำเภอใจของพวกตนฝ่ายตน
หลังจากการร่างและประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 จึงมีบันทึกเจตนารมณ์ออกมา
ในหนังสือรวมบทสรุปผู้บริหาร: การร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 โดยสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (2552) นั้นบันทึกไว้ชัดเจนว่า เจตนารมณ์ในการกำหนดให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในมาตรา 171 เพื่อให้นายกรัฐมนตรีมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับประชาชนโดยผ่านผู้แทนปวงชน ซึ่งสอดคล้องกับระบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ที่เป็นเช่นนี้เพราะการออกแบบรัฐธรรมนูญของเรามีแนวคิดเดียวกับระบอบรัฐสภาแบบ Westminster ที่เป็นการร่วมอำนาจระหว่างสภาผู้แทนราษฎรกับฝ่ายบริหาร กล่าวคือ ประชาชนเลือกผู้แทนของตนเข้าไปใช้อำนาจนิติบัญญัติ และเสียงข้างมากของตัวแทนประชาชน เท่ากับการได้รับฉันทานุมัติของประชาชนเข้าไปใช้อำนาจนิติบัญญัติคือการตรากฎหมายและการตรวจสอบควบคุมการบิหาร และขณะเดียวกัน ก็ให้เสียงที่ประชาชนไว้ใจส่วนใหญ่ เข้าไปใช้อำนาจบริหาร
รัฐบาลจึงมีความชอบธรรมสองชั้น ชั้นแรกคือความไว้วางใจจากประชาชนให้เป็นผู้แทนในการใช้อำนาจอธิปไตย เขาถึงมีคำกล่าวว่า vox populi, vox dei หรือเสียงของประชาชนคือเสียงสวรรค์
ชั้นที่สอง คือการรับมอบอำนาจจากสภาผู้แทนราษฎรให้ไปใช้อำนาจบริหาร คือการตั้งรัฐบาล
เมื่อเป็นเช่นนี้ รัฐบาลจึงรับผิด รับชอบ ต่อสภาผู้แทนราษฎร
ในยามที่เกิดความขัดแย้งทางการเมือง ไปต่อไม่ได้ ก็ใช้อำนาจฝ่ายบริหาร "ยุบสภา" คืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจ
ขณะเดียวกัน เพื่อป้องกันมิให้มีการลุแก่อำนาจ ก็ให้สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจในการตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งกระทู้ถาม การขอให้ผู้รับผิดชอบมาชี้แจงในสภาฯ จนถึงการขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ซึ่งในอดีต มีการยุบสภา หนีการตรวจสอบ
รัฐธรรมนูญตั้งแต่ พ.ศ. 2540 จึงห้ามยุบสภาหนีการตรวจสอบโดยสภาผู้แทนราษฎร
นอกจากนี้ ยังป้องกันเผด็จการของเสียงข้างมาก กล่าวคือ ให้มีการยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีได้ โดยอาศัยเสียง 1 ใน 5 ของจำนวน ส.ส. ทั้งหมด พร้อมกันนั้น ก็ให้เสนอชื่อบุคคลที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีแทน หากมีการลงมติไม่ไว้วางใจ (มาตรา 158)
แต่หากฝ่ายค้านมีน้อยกว่า 1ใน 5 ก็ยังสามารถอาศัยเวลาหลังจากที่รัฐบาลบริหารประเทศได้เกินครึ่งหนึ่งของวาระ คือสองปีขึ้นไป พรรคที่ไม่ได้ร่วมรัฐบาล สามารถรวบรวมเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของพรรคที่ไม่ได้ร่วมรัฐบาลยื่นขอญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้อีก (มาตรา 160)
การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 172 กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎร" ให้ความเห็นชอบบุคคลที่สมควรได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีภายใน 30 วัน โดยคะแนนเสียงสนับสนุนจะต้องมากกว่า 1 ใน 5 ของจำนวนผู้แทนราษฎร และการรับรองว่าบุคคลดังกล่าวควรได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกฯ ต้องมีเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่ง และต้องทำภายใน 30 วัน
แต่หากภายใน 30 วัน ยังไม่สามารถเสนอรายชื่อได้ ด้วยเหตุที่ไม่มีบุคคลได้รับการสนับสนุนเกินกึ่งหนึ่ง ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรนำรายชื่อบุคคลผู้ได้คะแนนสูงสุดนำความกราบบังคมทูลให้ทรงโปรดเกล้าเป็นนายกรัฐมนตรี ภายใน 15 วัน (มาตรา 173)
สาเหตุที่ตราข้อความดังกล่าวในรัฐธรรมนูญเหล่านี้ มีเจตนารมณ์ชัดเจนว่าจะไม่ให้แผ่นดินว่างเว้นนายกรัฐมนตรี หรือเกิดภาวะสุญญากาศและยังกำหนดเอาไว้ชัดเจนว่านายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น (หน้า 264-266)
นอกจากนี้ ในยามที่มีการยุบสภา หรือรัฐบาลครบวาระ 4 ปี ก็จะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ในระหว่างนั้นก็ให้มีคณะรัฐมนตรีรักษาการ "อยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะรับหน้าที่ (มาตรา 181)
และปรากฏชัดในเจตนารมณ์ว่า "เพื่อมิให้มีกรณีตำแหน่งว่างเว้นเป็นเวลานาน เนื่องจากจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศ" (หน้า 273)
แต่จนถึงบัดนี้ ก็ยังมี "เนติบริกรวยและรัฐศาสตร์บริกรวย" ออกมายืนยันว่าตั้งนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 7 นั้นทำได้ และโยกโย้มิให้มีการเลือกตั้ง ทั้งๆ ที่เป็นทางออกจากความขัดแย้งที่ต้นทุนต่ำที่สุด และใช้เวลาสั้นกว่าวิธีการอื่นใด