ชีวิตนักวิชาการในเคมบริดจ์ แมสซาจูเส็ตส์ (4)

ผมนั่งมองปุยหิมะที่พริ้วลงมาตามสายลมตาปริบๆ บางทีสายลมเกรี้ยวกราดพัดมันปลิวเป็นสาย เลื้อยไหลตามถนนและหลืบบ้าน บางทีมันอ้อยอิ่ง ค่อยๆ พริ้วลงมา แต่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุด 

นับเป็นครั้งที่สามแล้วที่มีพายุหิมะและสะเทือนบ้านเมืองถึงขั้นต้องหยุดเรียน หยุดการเดินรถไฟใต้ดินและห้ามจอดรถราบนถนน เมืองทั้งเมืองสงบเงียบ ประชาชนได้รับการเตือนให้อยู่ในอาคารที่พักอาศัย ขณะที่เมืองกำลังสาละวนแก้ปัญหาการสะสมของหิมะที่พัดมาอย่างต่อเนื่อง ในวันเสาร์ 14 กุมภาพันธ์ตอนบ่ายสี่โมง หิมะก็ล่องลอยลงมาอย่างหนาตา ถมชั้นของหิมะก่อนหน้านี้และหนาจนมองไม่เห็นอะไรนอกจากท้องฟ้าขาวโพลน อุณหภูมิลดลงอย่างมีนัยสำคัญ บางช่วงในกลางดึกลดลงเหลือ -19 ถึง  -20 องศาเซลเซียส ซึ่งผมไม่อยากคิดเลยว่าหากออกไปข้างนอกจะเป็นอย่างไร เพราะมันมีสิ่งที่เรียกว่า wind chill effect เข้ามาประกอบ ทำให้อุณหภูมิลดลงอีกราว 10 องศา จากที่-19 ก็เป็น รู้สึกจริงๆ ว่าอุณหภูมิ -29 เป็นต้น

หิมะสวยงามก็จริง โรแมนติคก็จริง แต่ไม่ใช่สิ่งที่น่ารื่นรมย์ถ้ามันมากไป ถึงมากที่สุด

ที่มันกระทบมากคือการใช้ชีวิตปกติที่พวกเรา (นักวิชาการไทย) พยายามทำ เช่น อาจารย์พิชญ์กับอาจารย์อรัญญาพยายามไปเรียนให้ได้มากที่สุดตามตาราง แต่ยามหิมะตกหนักแบบนี้ ทั้งนักศึกษาและผู้สอนต่างก็ต้องวางตารางการสอนชดเชย

แม้ผมจะไม่มีตารางเรียน เพราะเป็นนักวิจัยอาคันตุกะที่มาระยะสั้น หากเข้าเรียนแล้วไม่อยู่ครบช่วงนอกจากจะเสียมารยาทแล้ว ยังจะพาลทำงานที่ค้างคาอยู่ให้สำเร็จได้ยาก เพราะการเรียนที่นี่คือการเรียนจริงๆ โดยเฉพาะการเรียนวิชาสัมมนาชั้นบัณฑิตศึกษา ที่อาจารย์ทั้งสองคนต่างตั้งใจเรียนจนผมอายทุกครั้ง

ส่วนผมเอง พยายามไปนั่งทำงานในหอสมุดที่ห้องอ่านหนังสือขนาดใหญ่ เพราะอากาศอบอุ่นและแสงสว่างพอกับความต้องการ เก้าอี้และโต๊ะนั่งมีขนาดพอดีไม่ทรมาน แต่เหมือนฟ้าดินไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่

การอุดอู้อยู่ในห้องทั้งวันนอกจากจะเปลืองไฟแล้ว ยังทำให้ผมต้องนั่งเก้าอี้ที่ทำให้ปวดหลังได้ ผมจึงพยายามออกมาทำงานที่ห้องสมุดหรือห้องทำงานที่มหาวิทยาลัย นอกจากจะได้เจอเพื่อนแล้ว ยังสามารถเข้าร่วมกิจกรรมอื่นๆ อีกด้วย

หากเบื่อมากๆ ที่ฮาร์วาร์ดยังมีพิพิธภัณฑ์ที่เก็บของชั้นดีเอาไว้มากมาย เช่น พิพิธภัณฑ์ศิลปะ ที่รวบรวมเอางานชิ้นเอกเอาไว้ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติที่มีฟอสซิลไดโนเสาร์ สัตว์ต่างๆ มากมาย พิพิธภัณฑ์มานุษยวิทยา  เป็นต้น แม้จะมีพิพิธภัณฑ์จำนวนหนึ่งที่ไม่เปิดให้เข้าชม เช่น พิพิธภัณฑ์ Zoology ที่เข้าใจว่าสงวนให้นักศึกษา นักวิจัย แต่นี่สะท้อนหลักการสำคัญของการเป็นสถาบันการศึกษาชั้นนำของโลกว่าทุกอย่างมีไว้เพื่อการเรียนรู้ที่ต้องอาศัยเสรีภาพเป็นเนื้อนาบุญให้ความรู้นั้นงอกงาม

สิทธิพิเศษเล็กๆ น้อยที่ผมมีคือการเชิญแขกเข้าชมได้ฟรีหนึ่งคน ดังนั้น ผมมักจะหน้าบานเป็นพิเศษเมื่อมีเพื่อนมาเยี่ยม (ซึ่งไม่มาก) และได้พาพวกเขาไปดูสิ่งต่างๆ ที่ชุดสะสมของมหาวิทยาลัยที่เก็บรักษาและสะสมไว้อย่างดีเยี่ยม

ต้องอธิบายเพิ่มว่า ผมเองมาในช่วงท้ายของภาคการศึกษา Fall 2014 และเป็นช่วงวันหยุดคริสตมาส หยุดปีใหม่ กว่าจะเปิดก็ค่อนเดือนมกราคม แถมเจอพายุหิมะแบบนี้ กิจกรรมการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยก็สะเทือนไปมาก

อาจารย์พิชญ์เปรยให้ผมได้ยินบ่อยๆ ว่า มหาวิทยาลัยเค้ามีไว้สอนหนังสือ (หมายถึงมีไว้เพื่อการเรียนการสอนและแสวงหาความรู้) เพราะฉะนั้น ฮาร์วาร์ดไม่ได้ปิดพร่ำเพรื่อ และอาจารย์นักศึกษา (เท่าที่ได้เจอ) ก็ไม่ได้ยินดีกับภัยธรรมชาติแบบนี้เท่าไหร่นัก 

นี่ไม่รวมถึงการใช้ชีวิตของพวกเราที่ต้องตุนอาหารการกินเผื่อเอาไว้หลายๆ วัน

ที่ต้องเตรียมไว้หลายวัน ไม่ได้กลัวอดอยากแต่อย่างใด แต่เป็นวิถีชีวิตปกติของเราที่กินเร็วๆ ง่ายๆ เพื่อเอาเวลาไปทำงาน อ่านหนังสือ นั่งเรียน (เวิ่นเว้อนิดหน่อย) ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเราก็คือการไปกินติ่มซำในตลาดเยาวราชของเมืองในวันเสาร์ที่เราจะได้กินของที่เราไม่ได้ปรุงเองบ้าง (ฮา) 

แต่การมีภัยภิบัติอย่างนี้ ทำให้ร้านรวงต้องปิดตามๆ กัน กระทั่งการขนส่งสาธารณะอย่างรถเมล์ รถไฟใต้ดินก็ต้องหยุด บางสายมีบริการ แต่ต้องจอดเป็นช่วงๆ เพื่อให้ผู้โดยสารไปต่อรถบัสเป็นต้น

สภาพอย่างนี้จึงต้องเตรียมอาหารไว้เผื่อเหตุฉุกเฉินกว่านี้ และต้องย้ำอีกว่าเมืองบอสตันก็เคยเป็นเป้าหมายการก่อการร้าย ดังที่เกิดกรณีการวางระเบิดระหว่างการแข่งขันบอสตันมาราธอนเมื่อเดือนเมษายน ปี 2013 เพราะฉะนั้นเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นเรื่องตลกขบขันอะไรนัก

ในช่วงที่ผ่านมาพวกเราก็ได้พูดคุยกันเรื่องการจัดกิจกรรมวิชาการมาบ้าง เพิ่งมีโอกาสได้ประชุมพร้อมหน้าพร้อมตากันเมื่อวันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ว่าเราจะจัดกิจกรรมทางวิชาการกัน สำหรับโครงการไทยศึกษา และผมเองจะเป็นผู้พูดคนแรกของภาคการศึกษานี้

นอกจากนี้ยังจะมี workshop แบบวงปิดเรื่องสื่อใหม่กับการปฏิวัติสังคมในเอเชีย ที่คิดกันเอาไว้ตั้งแต่คริสตมาสปีก่อน 

ขณะที่ผมกำลังเขียนบทความนี้ พายุหิมะก็กำลังตกอย่างต่อเนื่อง จะว่าไปก็คือตั้งแต้วันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

แน่นอนครับ โรแมนติดมากๆ ในท่ามกลางหิมะ มองไปนอกหน้าต่างไม่มีอะไรเลย นอกจากปุยหิมะขาวๆ 

โรแมนติคโคตรๆ

โชคดีที่เมื่อวานนี้ คือวันที่ 16 กุมภาพันธ์เป็นวันประธานาธิบดีที่ประกาศเป็นวันหยุดและมีการลดราคาสินค้าในหลายๆที่ ที่สำคัญคือหิมะหยุดตกให้คนออกไปสูดอากาศนอกบ้าน แม้แดดจะแรงมากๆ แต่อุณหภูมิก็อยู่ที่ -9 ถึง -16 (นี่ยังไม่ได้บวกกับ wind chill effect อีกนะครับ) 

 มาวันนี้เว้นว่างยามเช้า แต่สายบ่ายลงมา ถึงตอนนี้ยังตกอย่างต่อเนื่อง

หิมะมากขนาดไหน ผมเอารูปสถาบันเพื่อนบ้านมาให้ดูครับ จากข่าวก็คือ MIT ใช้วิธีเกรดหิมะเป็นกองจนได้ภูเขาสูงในแคมปัส ที่แม้ว่าตำรวจจะห้ามคนเข้าไปเล่น แต่ก็มีคนไปเล่นสกี และเลื่อนหิมะกันอย่างไม่กลัวเกรง 

วัยอย่างผมนี้ก็ได้แต่มองครับ

(ภาพประกอบจากข่าว http://www.bostonglobe.com/metro/2015/02/13/residents-students-are-climb...)