“สาวไปไหน”
พ่อหมายถึงอาของผม ก็น้องสาวของพ่อนั่นเอง คนปักษ์ใต้นิยมเรียกพี่หรือน้องสาวของตัวเองว่าสาว อาของผมจึงมีชื่อว่าสาวตั้งแต่นั้น
ย่าบอกว่าอาสาวออกไปนาตั้งแต่เช้ายังไม่กลับมาหรอก ส่วนเจ้าบอยก็ตามไปด้วย
“เดี๋ยวก็ขึ้นเที่ยง”
ย่าหมายความว่าสักครู่ตะวันตรงหัว อาสาวก็กลับมาพักเที่ยง กินข้าวกินปลาที่บ้าน แล้วก็ลงนาต่อในตอนบ่าย บางวันที่อาสาวนำข้าวห่อไปด้วย ขนำกลางทุ่งข้างต้นม่วงก็เป็นที่พักหลบแดดเที่ยงได้อย่างดี
ไอ้หมีกับไอ้ตาลเห่าลั่นดังไปรอบบ้าน มันกระดิกหางเล่นอยู่วุ่นวาย ผมเห็นหญิงวัยกลางคนเดินนำเด็กชายตัวเล็กมาแต่ไกล หญิงกลางคนอยู่ในชุดเสื้อแขนยาวผ้าถุงและสวมงอบบังแดดไว้ ส่วนเด็กชายผิวกร้านแดดอยู่ในชุดเสื้อแขนกร้ามและกางเกงขาสั้น
พวกเขาเดินเข้ามาใกล้มากแล้ว ไอ้ตาลกับไอ้หมีดีใจกันยกใหญ่มันวิ่งเข้าหาและกระดิกหางวนรอบทั้งสองคนอยู่พัลวัน
“นั่นไง....สาวมาแล้ว”
ย่าหมายถึงหญิงวัยกลางคนคนนั้น ซึ่งเป็นอาของผมเอง
แว็บเดียวที่ผมละสายตาทิ้งจากสองคนนั่น หันกลับมาผมไม่เห็นเด็กชายคนนั้นเสียแล้ว เขาอยู่ในความสงสัยของผมมากขึ้นไปอีกเมื่อเขาหายตัวไป ไม่มีใครพูดถึงเขาว่าเป็นใครให้ผมคลายความสงสัย
เสียง “อี้อ้อ...อี้อ้อ..” ดังมาจากบ้านหลังเล็ก
ผมนั่งอยู่ข้างย่าส่วนบ่าวนั่งอยู่ในเปลตรงข้ามกัน บ่าวมองผมแล้วยิ้มทำตาชวนสงสัยถึงต้นกำเนิดของเสียงนั่น ย่ายิ้มตอบเราแล้วลูบหัวผมเบา ๆ
“เรียนอยู่ปอไหนแล้วล่ะ ?”
หญิงชราซักถามผมขึ้นก่อน เป็นประโยคเริ่มต้นของบทสนทนาใต้ถุนบ้าน
“ป.4 ครับ ?”
“บ่าวล่ะ ?”
ผมเดาไม่ผิดว่าย่าจะถามอะไร แม่หันมายิ้มที่มุมปากพร้อมกับที่บ่าวก็หันมายิ้มด้วย
“ย่าจำไม่ได้หรอก พวกเอ็งโตขึ้นจนย่าจำไม่ได้แล้ว”
ย่าปั้นเสียงหัวเราะดังเมื่อพูดจบ
“ทำไมบ้านย่าอยู่ไกลจังเลยครับ ?”
ทุกคนหัวเราะแล้วก็หันหน้ามาทางผม
ย่าฉวยเชี่ยนหมากข้างตัว หยิบหมากและพลูขึ้นมาจัดแต่งทาปูนสีแดงเล็กน้อยพอเป็นพิธี แล้วยัดเข้าปากเคี้ยวหยับ ๆ อยู่นานสองนาน เด็กชายทั้งสองเริ่มคุ้นเคยกับย่ามากขึ้นในขณะที่ไม่รู้ว่าปู่หายไปไหนกับพ่อตั้งแต่มาถึง เด็กชายคนโตกว่านั่งมองดูย่านิ่งนานไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ส่วนผมก็จ้อไปตามเรื่องตามราวของเด็ก ๆ ใต้ถุนบ้านโล่งโปร่งเพดานสูงชวนลมพัดมาแผ่ว ๆ หยอกเราอยู่เป็นระยะ ๆ
“บ้านย่าอยู่ไม่ไกลหรอก แต่บ้านน้องอยู่ไกลจากบ้านย่าต่างหาก”
ผมก็เขินย่าแล้วเราหัวเราะกันลั่นเอาตัวแม่บังย่าไว้ ย่าของเรามักเป็นเช่นนี้ พูดจาสนุกสนานชวนให้เราหัวเราะได้เสมอ
“นั่นบอยมาแล้ว”
ย่าบ้วนน้ำหมากทิ้งแล้วชี้นิ้วให้ผมดูเด็กชายที่เดินเข้ามาใต้ถุนบ้าน
แม่บอกว่าเราสองคนเป็นพี่น้องคุ้นเคยมาตั่งแต่เด็ก ๆ แต่ห่างกันตอนที่พ่อกับแม่แยกไปซื้อบ้านอยู่ในเมืองเมื่อ 4 – 5 ปีก่อน บอยเป็นลูกของอาสาว น้องคนสุดท้องของพ่อ...ผมเริ่มจำได้แล้ว
บอยมีศักดิ์เป็นน้องของผมแต่แก่กว่าผมปีนึง ตัวดำเป็นเมี่ยงเพราะเป็นลูกชาวนาตากแดดวิ่งกลางทุ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่เหมือนเราที่นั่งเล่นอยู่แต่ในบ้านตึกแถวของสังคมเมือง
“ทำไมบ้านย่าถึงมาอยู่ไกลถึงที่นี่”
คราวนี้พี่ชายของผมที่เป็นคนป้อนคำถามให้ย่าบ้าง
“ทวดของน้อง พ่อของย่าเองนี้แหละเล่าให้ย่าฟังว่าเราอยู่กันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
ย่าทำหน้ายิ้ม ๆ พลางเอามือหย่นเหี่ยวลูบหัวผมเบา ๆ
“เมื่อก่อนแถวนี้เป็นป่าทึบ เล่ากันว่าเป็นป่ารกไปถึงบึงน้ำหลังหมู่บ้านโน่น ที่นี่เป็นแหล่งชุมนุมของสัตว์หลายชนิด มีทั้งเสือ ช้าง หมี กวาง จระเข้ก็มีนะ”
“จริงหรือยาย!”
บอยที่เพิ่งเข้ามาร่วมวงสนใจขึ้นทันทีเมื่อได้ยินว่าช้าง ว่าเสือ
หญิงชราคว้ากรรไกรปอกหมากกำไว้ในมือทำทีจะปอกหมากเป็นการคั่นเวลา เรียกความสนใจจากเด็ก ๆ “เร็วสิย่า ... แล้วไงต่อ”
ผมทนไม่ไหวที่จะรอฟังคำจากย่าด้วยใจจดใจจ่อ
“เดี๋ยวสิวะ ถ้าอยากฟังต่อก็เงียบ”
บ่าวทำตาขลุกขลิกไปมาให้ย่าเอ็นดู แล้วจ้องย่าด้วยแววตาจ้องมอง
“บึงน้ำนั่นเมื่อก่อนก็มีสองบึง เรียกว่า พอยน้อย กับ พอยใหญ่ เป็นแหล่งของสัตว์ป่าแถวนั้นเล่ากันว่ามีชายในหมู่บ้านคนหนึ่งเข้าไปบำเพ็ญศีลภาวนาอยู่ที่นั่น แล้ววันหนึ่งกายท่านก็กลับกลายเป็นพญางูตัวใหญ่สีขาวคอยดูแลปกปักษ์รักษาบึงน้ำอยู่ ไม่คอยมีใครกล้าเข้าไปเท่าไรหรอก อีกทั้งยังกลัวหลงเพราะป่ารกทึบมากแดดยังส่องลงไปไม่ถึงพื้นดินเลย”
ย่ายึกยักเหมือนหยั่งดูท่าที่อยู่พักหนึ่งเพื่อเรียกความสนใจให้ทวีขึ้นเด็กทั้งสามคนมองตากันเขม็ง ผมและบ่าวกำมือย่าไว้แน่นเพราะกลัวเรื่องเล่าของย่า
“แล้วตอนนี้อีกบึงไปไหนแล้วละยาย”
บอยถามขึ้นด้วยความใคร่รู้
“เดี๋ยวสิยายกำลังจะเล่าต่ออยู่นี่แหละ”
“เอ็งจะฟังมั้ย!”
เด็กชายทั้งสามตั้งใจฟังอยู่ใต้ถุนบ้านกันต่อ เมื่อตะวันใกล้เที่ยงเต็มทีเสียงกุกกังอยู่ในครัว แม่กับอาสาวทำกับข้าวกันอยู่ กลิ่นหอมโชยลงมาถึงข้างล่างแล้วเด็ก ๆทั้งสามก็มองหน้ากันเหมือนจะบอกเล่าซึ่งกันเรื่องความหิว แต่ในใจก็อยากฟังเรื่องของย่าต่อให้จบลงเสียก่อน
“ต่อมาชาวบ้านที่อยู่หมู่บ้านอื่นก็เข้ามาอยู่ด้วย เพราะเห็นว่าที่นี่อุดมสมบูรณ์ พวกเขาบุกที่ถางป่าเข้าใกล้บึงมาเรื่อย ๆ จนป่าหมด บ้านคนปลูกกันอยู่เต็มไปหมดจนไม่มีใครกลัวหลงกันแล้ว”
“เคยรู้เรื่องนี้ไหมเจ้าบอย ?”
“ไม่ครับ...ครูไม่เคยบอก”
บอยตอบคำถามยาย
“แล้วบึงน้ำล่ะย่า”
คราวนี้ผมบ้างที่สงสัย
“ถนนกั้นกลางระหว่างบึงสองบึงมันแคบ แคบพอ ๆ กับหัวคันนานั่นแหละ ฤดูน้ำท่วมก็ท่วมมิดชาวบ้านเห็นพ้องกันว่าให้ขุดออก บึงน้ำที่นี่จึงเหลือเพียงบึงเดียวนั่นแหละ”
หญิงชราทอดเสียงช้าลงเมื่อจบคำอธิบาย
“จริงหรือย่า เขาขุดถนนออกเลยหรือ”
“จริงสิ..ชาวบ้านเขาช่วยกัน”
ย่าทิ้งระยะหนึ่งให้หลานชายได้ผ่อนคลายอิริยาบถตามสบายก่อนเล่าต่อ
“ทวดของทวดก็อยู่ที่นี่”
“งั้นที่นี่ก็เป็นประวัติศาสตร์สิ ครูบอกว่า ถ้าที่ใดมีเรื่องราวเกิดขึ้นในอดีตมาก่อน ที่นั่นก็เป็นประวัติศาสตร์ใช่ไหม?”
เจ้าตัวขี้สงสัยไม่เข้าท่าอย่างผมผุดคำถามขึ้น
“ใช่แล้วน้อง..ทุกที่มีประวัติศาสตร์ ผิดที่ยาวนานต่างกัน เรื่องราวต่างกัน ที่เหมือนกันก็คือ ทุกเรื่องมันเป็นอดีต”
ผมทำตาโตมองไปทางบอยที่ทำตาโตอยู่เช่นกัน
วันนี้ผมรู้แล้วว่าตระกูลของผมเกิดและเติบโตมาจากที่นี่ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตั้งแต่ย่ายังไม่เกิดบ้านย่ามีประวัติศาสตร์ และต่อไปวันนี้ก็จะเป็นประวัติศาสตร์
“กินข้าวกันได้แล้วเด็ก ๆ”
แม่ตะโกนลงมาจากครัวหลังบ้าน มื้อแรกที่บ้านย่า เราได้กินข้าวกับต้มส้มปลาที่ปู่กับบอยจับมาได้จากห้วยข้างโรงเรียน
ผมชอบต้มส้มปลา...มันเปรี้ยวดี
“อี้อ้อ..อี้อ้อ..” ดังขึ้นหลังมื้อกลางวันเสร็จ
บอยหยิบต้นข้าวที่ตัดท่อนไว้อวดผมกับบ่าวยิ้มหวานนึกถึงเสียงที่ดังจากบ้านเล็กหลังบ้านย่า
“มันเป็นอะไรหรือบอย”
“ปี่ซังข้าว”
บอยไขข้อข้องใจของเรา
“ลองเป่าดูมั้ย” ผมรับปี่ซังข้าวมาจากบอยแล้วลองเป่าดู บทสรุปผมเป่าไม่ดัง เราหัวเราะกันลั่น
พรุ่งนี้บอยจะพาเราไปเที่ยวตลาดนัด