Skip to main content

“สาวไปไหน”
พ่อหมายถึงอาของผม  ก็น้องสาวของพ่อนั่นเอง  คนปักษ์ใต้นิยมเรียกพี่หรือน้องสาวของตัวเองว่าสาว  อาของผมจึงมีชื่อว่าสาวตั้งแต่นั้น

ย่าบอกว่าอาสาวออกไปนาตั้งแต่เช้ายังไม่กลับมาหรอก  ส่วนเจ้าบอยก็ตามไปด้วย
“เดี๋ยวก็ขึ้นเที่ยง”

ย่าหมายความว่าสักครู่ตะวันตรงหัว  อาสาวก็กลับมาพักเที่ยง  กินข้าวกินปลาที่บ้าน  แล้วก็ลงนาต่อในตอนบ่าย   บางวันที่อาสาวนำข้าวห่อไปด้วย  ขนำกลางทุ่งข้างต้นม่วงก็เป็นที่พักหลบแดดเที่ยงได้อย่างดี

ไอ้หมีกับไอ้ตาลเห่าลั่นดังไปรอบบ้าน  มันกระดิกหางเล่นอยู่วุ่นวาย  ผมเห็นหญิงวัยกลางคนเดินนำเด็กชายตัวเล็กมาแต่ไกล  หญิงกลางคนอยู่ในชุดเสื้อแขนยาวผ้าถุงและสวมงอบบังแดดไว้  ส่วนเด็กชายผิวกร้านแดดอยู่ในชุดเสื้อแขนกร้ามและกางเกงขาสั้น

พวกเขาเดินเข้ามาใกล้มากแล้ว  ไอ้ตาลกับไอ้หมีดีใจกันยกใหญ่มันวิ่งเข้าหาและกระดิกหางวนรอบทั้งสองคนอยู่พัลวัน
“นั่นไง....สาวมาแล้ว”

ย่าหมายถึงหญิงวัยกลางคนคนนั้น  ซึ่งเป็นอาของผมเอง

แว็บเดียวที่ผมละสายตาทิ้งจากสองคนนั่น  หันกลับมาผมไม่เห็นเด็กชายคนนั้นเสียแล้ว  เขาอยู่ในความสงสัยของผมมากขึ้นไปอีกเมื่อเขาหายตัวไป  ไม่มีใครพูดถึงเขาว่าเป็นใครให้ผมคลายความสงสัย 

เสียง  “อี้อ้อ...อี้อ้อ..”  ดังมาจากบ้านหลังเล็ก

ผมนั่งอยู่ข้างย่าส่วนบ่าวนั่งอยู่ในเปลตรงข้ามกัน    บ่าวมองผมแล้วยิ้มทำตาชวนสงสัยถึงต้นกำเนิดของเสียงนั่น  ย่ายิ้มตอบเราแล้วลูบหัวผมเบา  ๆ  
“เรียนอยู่ปอไหนแล้วล่ะ  ?”

หญิงชราซักถามผมขึ้นก่อน  เป็นประโยคเริ่มต้นของบทสนทนาใต้ถุนบ้าน
“ป.4  ครับ  ?”
“บ่าวล่ะ  ?”

ผมเดาไม่ผิดว่าย่าจะถามอะไร  แม่หันมายิ้มที่มุมปากพร้อมกับที่บ่าวก็หันมายิ้มด้วย
“ย่าจำไม่ได้หรอก  พวกเอ็งโตขึ้นจนย่าจำไม่ได้แล้ว”

ย่าปั้นเสียงหัวเราะดังเมื่อพูดจบ
“ทำไมบ้านย่าอยู่ไกลจังเลยครับ ?”

ทุกคนหัวเราะแล้วก็หันหน้ามาทางผม

ย่าฉวยเชี่ยนหมากข้างตัว  หยิบหมากและพลูขึ้นมาจัดแต่งทาปูนสีแดงเล็กน้อยพอเป็นพิธี  แล้วยัดเข้าปากเคี้ยวหยับ  ๆ  อยู่นานสองนาน  เด็กชายทั้งสองเริ่มคุ้นเคยกับย่ามากขึ้นในขณะที่ไม่รู้ว่าปู่หายไปไหนกับพ่อตั้งแต่มาถึง  เด็กชายคนโตกว่านั่งมองดูย่านิ่งนานไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา  ส่วนผมก็จ้อไปตามเรื่องตามราวของเด็ก  ๆ  ใต้ถุนบ้านโล่งโปร่งเพดานสูงชวนลมพัดมาแผ่ว  ๆ  หยอกเราอยู่เป็นระยะ  ๆ 

“บ้านย่าอยู่ไม่ไกลหรอก  แต่บ้านน้องอยู่ไกลจากบ้านย่าต่างหาก”

ผมก็เขินย่าแล้วเราหัวเราะกันลั่นเอาตัวแม่บังย่าไว้  ย่าของเรามักเป็นเช่นนี้  พูดจาสนุกสนานชวนให้เราหัวเราะได้เสมอ
“นั่นบอยมาแล้ว”

ย่าบ้วนน้ำหมากทิ้งแล้วชี้นิ้วให้ผมดูเด็กชายที่เดินเข้ามาใต้ถุนบ้าน

แม่บอกว่าเราสองคนเป็นพี่น้องคุ้นเคยมาตั่งแต่เด็ก  ๆ    แต่ห่างกันตอนที่พ่อกับแม่แยกไปซื้อบ้านอยู่ในเมืองเมื่อ  4 – 5  ปีก่อน  บอยเป็นลูกของอาสาว  น้องคนสุดท้องของพ่อ...ผมเริ่มจำได้แล้ว

บอยมีศักดิ์เป็นน้องของผมแต่แก่กว่าผมปีนึง  ตัวดำเป็นเมี่ยงเพราะเป็นลูกชาวนาตากแดดวิ่งกลางทุ่งมาตั้งแต่เด็ก  ไม่เหมือนเราที่นั่งเล่นอยู่แต่ในบ้านตึกแถวของสังคมเมือง
“ทำไมบ้านย่าถึงมาอยู่ไกลถึงที่นี่”

คราวนี้พี่ชายของผมที่เป็นคนป้อนคำถามให้ย่าบ้าง
“ทวดของน้อง  พ่อของย่าเองนี้แหละเล่าให้ย่าฟังว่าเราอยู่กันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

ย่าทำหน้ายิ้ม  ๆ  พลางเอามือหย่นเหี่ยวลูบหัวผมเบา  ๆ  
“เมื่อก่อนแถวนี้เป็นป่าทึบ  เล่ากันว่าเป็นป่ารกไปถึงบึงน้ำหลังหมู่บ้านโน่น  ที่นี่เป็นแหล่งชุมนุมของสัตว์หลายชนิด  มีทั้งเสือ  ช้าง  หมี  กวาง   จระเข้ก็มีนะ”

“จริงหรือยาย!”
บอยที่เพิ่งเข้ามาร่วมวงสนใจขึ้นทันทีเมื่อได้ยินว่าช้าง  ว่าเสือ

หญิงชราคว้ากรรไกรปอกหมากกำไว้ในมือทำทีจะปอกหมากเป็นการคั่นเวลา  เรียกความสนใจจากเด็ก  ๆ  “เร็วสิย่า ...  แล้วไงต่อ”
ผมทนไม่ไหวที่จะรอฟังคำจากย่าด้วยใจจดใจจ่อ
“เดี๋ยวสิวะ  ถ้าอยากฟังต่อก็เงียบ”
บ่าวทำตาขลุกขลิกไปมาให้ย่าเอ็นดู  แล้วจ้องย่าด้วยแววตาจ้องมอง

“บึงน้ำนั่นเมื่อก่อนก็มีสองบึง  เรียกว่า  พอยน้อย  กับ  พอยใหญ่  เป็นแหล่งของสัตว์ป่าแถวนั้นเล่ากันว่ามีชายในหมู่บ้านคนหนึ่งเข้าไปบำเพ็ญศีลภาวนาอยู่ที่นั่น  แล้ววันหนึ่งกายท่านก็กลับกลายเป็นพญางูตัวใหญ่สีขาวคอยดูแลปกปักษ์รักษาบึงน้ำอยู่  ไม่คอยมีใครกล้าเข้าไปเท่าไรหรอก  อีกทั้งยังกลัวหลงเพราะป่ารกทึบมากแดดยังส่องลงไปไม่ถึงพื้นดินเลย”
ย่ายึกยักเหมือนหยั่งดูท่าที่อยู่พักหนึ่งเพื่อเรียกความสนใจให้ทวีขึ้นเด็กทั้งสามคนมองตากันเขม็ง ผมและบ่าวกำมือย่าไว้แน่นเพราะกลัวเรื่องเล่าของย่า

“แล้วตอนนี้อีกบึงไปไหนแล้วละยาย”
บอยถามขึ้นด้วยความใคร่รู้

“เดี๋ยวสิยายกำลังจะเล่าต่ออยู่นี่แหละ”
“เอ็งจะฟังมั้ย!”

เด็กชายทั้งสามตั้งใจฟังอยู่ใต้ถุนบ้านกันต่อ  เมื่อตะวันใกล้เที่ยงเต็มทีเสียงกุกกังอยู่ในครัว  แม่กับอาสาวทำกับข้าวกันอยู่  กลิ่นหอมโชยลงมาถึงข้างล่างแล้วเด็ก  ๆทั้งสามก็มองหน้ากันเหมือนจะบอกเล่าซึ่งกันเรื่องความหิว  แต่ในใจก็อยากฟังเรื่องของย่าต่อให้จบลงเสียก่อน

“ต่อมาชาวบ้านที่อยู่หมู่บ้านอื่นก็เข้ามาอยู่ด้วย  เพราะเห็นว่าที่นี่อุดมสมบูรณ์  พวกเขาบุกที่ถางป่าเข้าใกล้บึงมาเรื่อย  ๆ  จนป่าหมด  บ้านคนปลูกกันอยู่เต็มไปหมดจนไม่มีใครกลัวหลงกันแล้ว”

“เคยรู้เรื่องนี้ไหมเจ้าบอย ?”

“ไม่ครับ...ครูไม่เคยบอก”
บอยตอบคำถามยาย

“แล้วบึงน้ำล่ะย่า”
คราวนี้ผมบ้างที่สงสัย

“ถนนกั้นกลางระหว่างบึงสองบึงมันแคบ  แคบพอ  ๆ  กับหัวคันนานั่นแหละ  ฤดูน้ำท่วมก็ท่วมมิดชาวบ้านเห็นพ้องกันว่าให้ขุดออก  บึงน้ำที่นี่จึงเหลือเพียงบึงเดียวนั่นแหละ”
หญิงชราทอดเสียงช้าลงเมื่อจบคำอธิบาย

“จริงหรือย่า  เขาขุดถนนออกเลยหรือ”
“จริงสิ..ชาวบ้านเขาช่วยกัน”

ย่าทิ้งระยะหนึ่งให้หลานชายได้ผ่อนคลายอิริยาบถตามสบายก่อนเล่าต่อ

“ทวดของทวดก็อยู่ที่นี่”
“งั้นที่นี่ก็เป็นประวัติศาสตร์สิ  ครูบอกว่า  ถ้าที่ใดมีเรื่องราวเกิดขึ้นในอดีตมาก่อน  ที่นั่นก็เป็นประวัติศาสตร์ใช่ไหม?”

เจ้าตัวขี้สงสัยไม่เข้าท่าอย่างผมผุดคำถามขึ้น

“ใช่แล้วน้อง..ทุกที่มีประวัติศาสตร์  ผิดที่ยาวนานต่างกัน  เรื่องราวต่างกัน  ที่เหมือนกันก็คือ  ทุกเรื่องมันเป็นอดีต”
ผมทำตาโตมองไปทางบอยที่ทำตาโตอยู่เช่นกัน 

วันนี้ผมรู้แล้วว่าตระกูลของผมเกิดและเติบโตมาจากที่นี่ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว  ตั้งแต่ย่ายังไม่เกิดบ้านย่ามีประวัติศาสตร์  และต่อไปวันนี้ก็จะเป็นประวัติศาสตร์

“กินข้าวกันได้แล้วเด็ก ๆ”
แม่ตะโกนลงมาจากครัวหลังบ้าน  มื้อแรกที่บ้านย่า เราได้กินข้าวกับต้มส้มปลาที่ปู่กับบอยจับมาได้จากห้วยข้างโรงเรียน

ผมชอบต้มส้มปลา...มันเปรี้ยวดี

“อี้อ้อ..อี้อ้อ..” ดังขึ้นหลังมื้อกลางวันเสร็จ

บอยหยิบต้นข้าวที่ตัดท่อนไว้อวดผมกับบ่าวยิ้มหวานนึกถึงเสียงที่ดังจากบ้านเล็กหลังบ้านย่า
“มันเป็นอะไรหรือบอย”
“ปี่ซังข้าว”

บอยไขข้อข้องใจของเรา 

“ลองเป่าดูมั้ย”  ผมรับปี่ซังข้าวมาจากบอยแล้วลองเป่าดู  บทสรุปผมเป่าไม่ดัง  เราหัวเราะกันลั่น
พรุ่งนี้บอยจะพาเราไปเที่ยวตลาดนัด

บล็อกของ ปรเมศวร์ กาแก้ว

ปรเมศวร์ กาแก้ว
ผมเริ่มรับพฤติกรรมหล่อนไม่ได้เสียแล้ว ยิ่งนานวันเข้า รากฝอยของความเกียจคร้านก็ชอนไชแตกงามไปทั่วฝ่ามือและฝ่าเท้าบอบบางของหล่อน การงานทุกอย่างจึงต้องตกเป็นหน้าที่ของผมไปโดยปริยาย ทั้งที่ก่อนนั้นหล่อนเองต่างหากที่เป็นฝ่ายคิดเสนอโปรเจ็กยั่วใจเหล่านั้นขึ้นมาเพื่อหวังพัฒนาหน้าที่การงานที่หล่อนรับผิดชอบอยู่ ผมเริ่มสงสัยถึงเรื่องการมีจิตสาธารณะ จิตอาสาหรือการมีหัวใจ ความเป็นมนุษย์ของตัวเองว่ามันบกพร่อง หรือสั่นคลอนไปแล้วหรือไร ถึงได้คิดประหวั่นพรั่นพรึงกับพฤติกรรมของหล่อนได้ถึงเพียงนี้ หรืออีกนัยหนึ่ง ความละเอียดอ่อนต่อมิติทางสังคมบางอย่างของผมอาจหล่นหายไประหว่างการร่วมงานกับหล่อนเสียบ้างแล้ว
ปรเมศวร์ กาแก้ว
แม้ผ่านวันเพ็ญเดือนสิบสองที่น้ำนองเต็มตลิ่งไปนานแล้ว แต่น้ำในคลองข้างบ้านผมยังนองปริ่มตลิ่งอยู่เช่นเดิม แถมลมมรสุมยังพัด "ฝนหยาม"(ฝนประจำฤดู) มาซัดหลังคาบ้านให้คนเหงาได้นอนฟังกล่อมใจไม่สร่างมาหลายวันแล้วแน่นอนว่าฤดูฝนหยามจะพา "น้ำพะ"(น้ำนอง) มาด้วย ทุ่งข้าวสีเขียวจมอยู่ใต้น้ำ และแน่นอนคนหาปลาทุกเพศทุกวัยจะออกมาดักปลากันอย่างสนุกสนานดั่งรอคอยมาแรมปีปีนี้ฝนโปรยปักษ์ใต้อยู่แรมเดือน ยางพาราราคาต่ำ นาข้าวเสียหาย กระนั้นเลย คนที่นี่ก็ยังพอมีความสุขพอประทังกันบ้าง "กัด"(ตาข่ายดังปลา) ถูกนำมาชะล้างและ "วาง"ลงในห้วยเดิม คัน "เบ็ดทง"(เบ็ดสำหรับปักทิ้งไว้กลางทุ่งและค่อยกลับไปตรวจตราเป็นช่วง ๆ บน "ผลา"(…
ปรเมศวร์ กาแก้ว
สวัสดีครับพี่... ผม..เมศเองครับ ผมยังรู้สึกเหมือนเสียงหัวเราะและแรงมือที่ตบลงบนบ่าผม ก่อนเสียง “ไอ้เมศ...กูรักมึง...กูรักมึง” ของพี่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน... ในเสียงนั้นยังคงไหวหวานมาตลอด แม้ผมจะไม่ได้ยินเสียงพี่มานานแล้วก็ตามที สิ่งเดียวที่ทำให้ผมเชื่อว่าพี่จะอยู่กับเราไปตลอด คือความรักที่เราแลกเปลี่ยนกันตอนพี่บียังอยู่กับเรา หนึ่งปีผ่านไปแล้ว ดูเหมือนผมจะรู้สึกว่าเราใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ทั้งที่ไม่ได้เจอกันเลยสักครั้งแม้ในยามค่ำคืนที่โลกของความฝันชวนดวงดาวพริบแสงมาเยือนก็ตาม
ปรเมศวร์ กาแก้ว
เมื่อเดือนแปดตามจันทรคติมาถึง “ลมหัวษา” (ลมต้นฤดูพรรษา) โหมแรงมาทางตะวันตกเฉียงใต้ พัดจีวรและผ้าอาบน้ำฝนใหม่ของพระหนุ่มแรกพรรษาและพระเก่าหลายพรรษาพลิ้วลมอยู่ไหวๆ ลมช่วงนี้อาจพัดแรงไปจนถึงปลายเดือนเก้าที่ “ลมออก” พัด “ฝนนอก” (มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ) ห่าใหญ่มาเติมทะเลสาบสงขลา (ที่มีพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดพัทลุง) อีกครั้งตอนผมยังเด็กกว่านี้ (เมื่อสองสามปีก่อน.....ฮา) ผ้าเหลืองบนกุฏิไหวลมไม่เคยสวยเท่าตอนนี้มาก่อน แม้ครอบครัวของผมจะคุ้นชินกับผ้าเหลือง (จีวร) เพราะ “พ่อเฒ่า” (ตา) ของผมบวชครองผ้าเหลืองมาตั้งแต่วัยหนุ่มใหญ่จนปลิดลมหายใจชราของชีวิตสิ้นไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน…
ปรเมศวร์ กาแก้ว
เ ชิ ญ ช ว น กั น สั ก ห น่ อ ยด้วยหัวใจผมรักธรรมชาติ และแน่นอนผมรักบทเพลงของชีวิตรวมถึงบทกวีที่ไหวเต้นเป็นจังหวะมาจากส่วนลึกของจิตใจผู้เป็นกวีจริง ๆ แล้วผมอยากบอกเล่าเรื่องราวของคนกลุ่มหนึ่ง แถบบ้านผม"คนเขาปู่" (บ้านเขาปู่ อำเภอศรีบรรพต จังหวัดพัทลุง) ที่ตัวผมเองก็จำชื่อกลุ่มของพวกเขาได้ไม่แน่ชัดนัก (น่าจะชื่อเครือข่ายคนต้นน้ำ/หรืออะไรสักอย่างที่คล้ายชื่อนี้) เรามีโอกาสพบปะพูดคุยกัน 2-3 ครั้งก่อนหน้านี้และบ่อยขึ้น จนพบหัวใจบางอย่างในดวงตาพวกเขา จึงคิดเรื่องกิจกรรมบางอย่างร่วมกันเพื่อผืนป่าเล็ก ๆ เด็กๆ…
ปรเมศวร์ กาแก้ว
ปรเมศวร์ กาแก้ว
ช่วงเดือนหกตามจันทรคติที่ผ่าน ดอกผักบุ้งกลางทุ่งทางปักษ์ใต้ได้บานรับฝนโปรยกันทั่ว เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นฤดูฝนปรัง  เติมความชุ่มชื่นให้ผืนดินหลังฤดูเก็บเกี่ยว รอการไถปลูกนอกฤดูกาล แม้ในบางพื้นที่ ทุ่งนาได้กลายเป็นกล้าข้าวพื้นเมืองสีเขียวจำพวก ‘ข้าวเล็บนก’ ‘ข้าวสังข์หยด’ ‘ข้าวเฉี้ยง’ ‘ข้าวไข่มดริ้น’ ฯลฯ ไปแล้ว ที่ลุ่มริมทะเลสาบเจิ่งนองด้วยน้ำที่เอ่อมาจากพรุ  วาระอย่างนี้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาทุกปีไม่เหนื่อยหน่าย
ปรเมศวร์ กาแก้ว
หลังมื้อค่ำ ดาวไถทอประกายวาวอยู่บนฟ้าทางทิศเหนือแทนดวงไฟในคืนแรม ปู่เคยเล่าว่ามันเป็นสัญลักษณ์ให้นัก เดินทางกลางราตรีได้จดจำเส้นทางเพื่อความอุ่นใจขณะที่เรากำลังนอนดูดาวอยู่ระเบียงนอกชานหลังบ้าน สายลมบางเบาพัดเอาควันไฟจากกองที่จุดไว้ไล่ยุงให้วัว สามตัวในคอกของปู่ผ่านร่องกระดานไม้เก่าคร่ำโชยผ่านจมูกของเรา  หลังมื้อค่ำเรามักมานอนนับดาวเล่นอย่างนี้เสมอๆ ปู่นั่งถัดขึ้นไปที่ประตูซึ่งยกระดับขึ้นเหนือระเบียงนอกชานไม้เล็กน้อย  เราทั้งสามลุกขึ้นมานั่งใกล้ๆ ปู่  ปู่ลูบหัว เราทั้งสามเบาๆ แล้วโอบตัวบ่าวมาแนบกาย นัยน์ตาปู่ใสและเปล่งประกายอย่างอ่อนโยน  “อยู่บ้านปู่สนุกมั๊ย” …
ปรเมศวร์ กาแก้ว
ขณะที่แดดเช้าเก็บผีตากผ้าอ้อมไม่ทันหมด เครื่องจักรลูกหมาสีแดงยังคำรามเสียงดังไปทั่วท้องนา มันคำรามมาตั้งแต่เมื่อค่ำวานจนตลอดทั้งคืน  ปู่ออกจากบ้านมาตั้งแต่เมื่อค่ำวานพร้อมกับเพื่อนบ้านคนอื่นๆ เพื่อมาเฝ้ามองมันอย่างตั้งอกตั้งใจ เราเดินเลาะชายป่าไปทางท้ายวัด  ท้องนาสีเหลืองถูกเก็บเกี่ยวเหลือแต่ซังข้าวรอการไถกลบเพื่อ ปลูกใหม่อีกครั้งในฤดูทำนา   ปู่นั้งอยู่ริมบึงถัดจากที่เรายืนไปสองบิ้งนารวมอยู่กับตาเขียว ตาไข่ และคนอื่นๆ คนชนบททางภาคใต้เรียกรถไถนาเดินตามกันว่า “รถจักรลูกหมา” ปู่เคยบอกว่าประโยชน์ของมัน มากมาย นอกจากไถนาได้แล้ว …
ปรเมศวร์ กาแก้ว
ผมผลักประตูออกจากบ้านตั้งแต่เช้า  จ้อยนัดพวกเราไว้ที่ศาลากลางหมู่บ้านเหมือนทุกวัน  วันนี้บอยจัดแจงเตรียมเม็ดหัวครกมาด้วย แปลกจริงขณะที่บอยบอกชื่อของมัน บ่าวหัวเราะกับชื่อ แปลกๆ แล้วบอกบอยว่าที่บ้านเราเขาเรียกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ วันนี้เราจะเล่นขว้างหัวงูระหว่างทางสู่ศาลากลางหมู่บ้านกระจัดกระจายไปด้วยผีตากผ้าอ้อมขาวไปทั้งทุ่ง  บ่าว นั่งลงจ้องมองอย่างพินิจและยิ้มก่อนที่แดดเช้าจะรีบเก็บผีตากผ้าอ้อมเสียหมดทีละน้อยตั้งแต่เมื่อวานที่เราพากันไปเก็บเม็ดหัวครกหลังบ้านจ้อย เราเลือกเอาผลสุกที่เม็ดจะเป็น สีน้ำตาลเข้มแล้ว …
ปรเมศวร์ กาแก้ว
บนศาลากลางหมู่บ้านวันนี้ไม่มีเสียงเอ็ดตะโรของเด็กๆ  ขณะที่ฟ้าใส ดวงอาทิตย์คล้อยบ่ายทิ้งไว้เพียงเศษเปลือกลูกยางที่แหลกแล้วและ ใบตองห่อขนมเกลื่อนพื้นอีกฟากหนึ่งเป็นถนนสายเล็กๆ เราเดินตามทางนั้นไปเลี้ยวอ้อมป่าละเมาะสู่อีกหมู่บ้านทางตะวันตกตามคำชวนของขาว สองข้างทางเป็นผืนนาไกลสุดตา  ปู่เคยบอกว่าแถวนี้มีที่นาของปู่รวมอยู่ด้วยแล้วช่วงเก็บเกี่ยวจะพาเรามาเที่ยวเล่นกันเด็กๆ ชักย่านเดินตามกันเต็มถนนตัดกลางทุ่งนาไปทางตะวันตกขณะที่แดดบ่ายโดนเมฆขาวบดบังเป็นร่มเงาและลมทุ่งผัดแผ่วๆ  ไล้เนื้อตัวเรา  อีกไม่ไกลข้างหน้าเป็นหมู่บ้านริมธารเล็กๆ ที่ขาวและเพื่อนๆ อาศัยอยู่…
ปรเมศวร์ กาแก้ว
เหมือนฟ้าดำเก็บดาววิบวาวดวงและเหมือนแดดโชติช่วงกลับหุบหายเมื่อผีเสื้อปีกงามพบความตายและเหมือนฝันเกลื่อนรายเส้นทางจรใต้ใจรู้สึกโลกหมุนกลับขาวพลิกดำขลับใจโหยอ่อนดูสิน้ำตาฉันหลั่งบทกลอนผ่าวแต่ไม่ร้อนอย่างเคยเป็นยินไหม “จเรวัฒน์  เจริญรูป”ใจดั่งจะจูบแม้ทุกข์เข็ญโลกทั้งโลกรู้ความเยียบเย็นใครเล่ารู้ความเป็นของกวีเถิดพรุ่งนี้พบกันบนฟ้ากว้างพบในความอ้างว้างโค้งรุ้งสีฉันจะจำเธอไว้-ใจกวีพบในงามความดี-ฤดีดาล“จเรวัฒน์” จากแล้วเหมือนยังอยู่เหมือนยังนั่งเคียงคู่ ครูเขียนอ่านเรารู้เธอจะเป็นเช่นตำนานผู้สร้างความต้านทานทระนงอาลัยยิ่งกับการจากไปของกวีหนุ่มผู้มุ่งมั่นในงานกวีนิพนธ์ป ร เ ม ศ ว ร์ …