Don't Look Now หนังสยองขวัญที่อื้อฉาวเพราะฉากเซ็กส์

โดย ฮิโตมิโตกูฉะดะ

หมายเหตุ : บทความที่ผมจะเขียนเป็นเหมือนการเก็บตกจากช่วงเทศกาลฮัลโลวีน ที่อยากจะแนะนำหนัง และหนังเอวีที่เกี่ยวกับบรรยากาศช่วงดังกล่าว แต่ผู้เขียนติดงาน พอเขียนไม่ทัน เพจก็เลยไม่รู้จะทำยังไง เหมือนหยุดเขียนไปดื้อๆ เหมือนกัน แต่ก็เลยตัดสินใจว่าเขียนไปเถอะ มาช้ายังดีกว่าไม่มา

หากมีการจัดอันดับผลงานหนังสยองขวัญจากนักวิจารณ์ และหนังจากประเทศอังกฤษที่มักจะได้รับการโหวตให้ติดอันดับอยู่ในลำดับต้นๆ อยู่่บ่อยๆ มักมีชื่องานอย่าง The Shining ของ สแตนลี่ย์ คิวบริค ซึ่งปัจจุบันถูกนำมาอ้างอิงในหนังหลายต่อหลายเรื่องตั้งแต่ Kung Fu Hustle ไปจนเรื่อง Ready Player One และมีภาคต่อคือ Doctor Sleep ที่กำลังเข้าฉายอยู่ ชนิดที่คนไม่เคยดูก็สัมผัสได้ถึงอิทธิพลของมันก็พอจะรู้จักกัน กับงานอีกเรื่องหนึ่งที่โด่งดังน้อยกว่านั่นคือ Don't Look Now ผลงานกำกับของ นิโคลาส โร้ก ในปี ค.ศ.1973 ซึ่งกลับเป็นที่รู้จักมากกว่ากับฉากอื้อฉาวของเรื่อง

หนังเป็นการดัดแปลงจากนิยายของ แดฟเน่ ดู โมริเย่ร์ (มีแปลไทยในชื่อว่า "หลอน") ว่าด้วยการเดินทางท่องเที่ยวของสามีภรรยาคู่หนึ่งพร้อมๆ กับรับทำงานซ่อมแซมบูรณะโบสถ์แห่งหนึ่ง เพื่อพยายามประคองชีวิตคู่หลังเหตุการณ์เลยร้ายแสนสะเทือนใจในอดีต แต่ระหว่างนั้นสามีกลับพบลางบางอย่าง และภาพหลอนที่ทำให้อดีตที่พยายามลืมหวนกลับมาหาเขาอีกครั้ง

นิโคลาส โร้ก ผู้กำกับแสดงให้เห็นถึงความโดดเด่นในฝีมือการตัดต่อเชื่อมระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ปะปนเข้าด้วยกันจนยากจะแยกออก กลายเป็นเอกลักษณ์ในงานหลายชิ้นของเขา (ภาษาภาพยนตร์คือการใช้ทั้งเทคนิค แฟลชแบ็ค หรือตัดภาพในอดีตเข้ามา และ แฟลชฟอร์เวิร์ด หรือตัดภาพจากอนาคตเข้ามา ซึ่งหนังเรื่องนี้ใช้เทคนิคทั้งสองแบบในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน) แต่ในขณะเดียวกันการเดินเรื่องที่ช้า เต็มไปด้วยปริศนาที่ไม่พยายามอธิบายอะไรชัดเจนก็ทำให้คนดูอีกกลุ่มมองหนังเป็นยาขมมากกว่าหนังสยองขวัญทั่วไป แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือโร้กทำให้หนังสยองขวัญประเภทลางหลอน ที่มักใส่ภาพน่ากลัว และความเชื่อด้านไสยศาสตร์เปลี่ยนไป หนังสามารถดูคลุมเครือ และมีบรรยากาศเฉพาะตัวโดยไม่ต้องใส่ภาพจำเจเหล่านั้นแบบโจ่งแจ้งก็ได้

แต่กลายเป็นว่าฉากอื้อฉาวในเรื่องไม่ใช่ฉากสยองขวัญ แต่เป็นช่วงกลางเรื่องซึ่งโร้กตัดสลับเข้าด้วยกัน และหนึ่งในฉากที่ใส่เข้ามาคือฉากที่คู่รักกำลังอยู่ในห้องนอนหลังมื้อค่ำ พูดคุยอ่านหนังสือกันสักพักก็มีเซ็กส์กันในภาพที่นับว่าโจ่งแจ้งมากสำหรับหนังตลาดในยุคนั้น(รวมถึงยุคนี้) มันถูกถ่ายทำอย่างดิบๆ นักแสดงเปลือยกายกันหมดแนบชิด ถ่ายให้เห็นกันชัดๆ ว่าไม่ได้ใช้ตัวแสดงแทน และอยู่ในมุมและท่วงท่าราวกับทั้งคู่สอดใส่ร่วมเพศกันจริงๆ ซึ่งว่ากันว่าหนังได้เรต R จากคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ในสหรัฐอเมริกาโดยการยอมตัด 9 เฟรมเท่านั้น ขณะที่ในอังกฤษหนังเรื่องนี้ได้เรต X

แน่นอนว่าด้วยวิธีการตัดต่อ(ช่วงดังกล่าวเป็นช่วงที่มีการตัดสลับในหนังค่อนข้างหนักหน่วง) และวัยของดาราทั้งคู่ หนังไม่ได้มีเจตนาจะกระตุ้นอารมณ์ทางเพศแก่ผู้ชม จูลี่ คริสตี้ ดาราสาวที่โด่งดังจาก Dr.Zhivago(1965) ขณะนั้นอายุ 33 ปี และโดนัลด์ ซูเธอร์แลนด์ อายุ 38 ปี ไม่ได้อยู่ในวัยที่ดูดีที่สุดของพวกเขา โดยฉากดังกล่าวมีปรากฎรวมๆ แค่ 15-20 วินาทีเท่านั้น หากผู้คนก็ยังตั้งคำถามเสมอเมื่อได้มีโอกาสชมว่าตกลงทั้งคู่มีอะไรกันจริงๆ ใช่ไหม ?

คำถามดังกล่าวไม่ได้รับคำตอบมายาวนานจนถึงปี ค.ศ.2011 ปีเตอร์ บาร์ท โปรดิวเซอร์ของภาพยนตร์ได้ออกหนังสือ Infamous Players: A Tale of Movies, the Mob (and Sex) บอกเล่าประสบการณ์การสร้างหนังของเขาซึ่งมีบอกเล่าถึงหนังเรื่องนี้ด้วยว่า "การจับจ้องของผมอยู่แต่กับนักแสดงทั้งสองคน ทำเอาผมนี่เครียดเลยครับ จากตำแหน่งการขยับอะไรต่อมิอะไรของพวกมันชัดสำหรับผมเลยว่าพวกเขาไม่ได้แสดงกัน แต่อึ๊บกันหน้ากล้อง"

หลังมีคนยกประเด็นนี้ขึ้นมา แน่นอนว่ามีเสียงปฏิเสธซึ่งน่าเชื่อถือกว่า เริ่มจาก โดนัลด์ ซูเธอร์แลนด์ นักแสดงนำชายที่ออกมาโต้ว่าบาร์ทไม่ได้อยู่ในห้องที่ถ่ายทำฉากนี้ด้วยซ้ำ(อ้าว) ฉากนี้มีคนสี่คนเท่านั้นคือ นิโคลัส โร้ก ผู้กำกับ, เขา, จูลี่ คริสตี้ และผู้กำกับภาพ แอนโธนี่ บี.ริชมอนด์

ริชมอนด์ผู้กำกับภาพก็ช่วยยืนยันอีกเสียงว่า "มีข้อตกลงสำคัญระหว่าง จูลี่ และนิค(ผู้กำกับ) เพื่อคามไว้เนื้อเชื่อใจกัน จนได้ทำหนังสี่เรื่องร่วมกัน" เขากล่าว "และเหนืออื่นใดในบทนั้นเลิฟซีนนี้มีส่วนสำคัญกับหนัง ไม่ใช่แค่อยากเข้ามาอย่างไร้ประโยชน์"

ก่อนเขาจะให้คำตอบชัดเจนว่า "พวกเขาแสดงกันได้ดีมาก มันดูจริงมากๆ ครับ จนคนดูยังคิดว่าพวกเขามีอะไรกันจริงๆ แต่พวกเขาไม่ได้ทำครับ"

อีกคนที่ช่วยยืนยันคือ อัลลัน สก็อตต์ คนเขียนบทหนังเรื่องนี้ โดยบอกว่าคำพูดที่บาร์ทอ้างไว้ว่าเขาอยู่ในห้องนั้น "เหลวไหลทั้งเพ"

ภายหลัง จูลี่ คริสตี้ ได้ให้สัมภาษณ์ยืนยันอีกรายกับทางโทรทัศน์ช่อง Film4 โดยกล่าวว่าเป็นฉากเซ็กส์ปลอมๆ เท่านั้น เธอยังเล่าด้วยทั้งเธอ และซูเธอร์แลนด์รู้สึกอายมากๆ เพราะมันต้องถ่ายทำในช่วงแรกๆ ของตารางการถ่ายหนังเรื่องนี้เลย และเมื่อหนังออกฉายพ่อเลี้ยงของเธอถึงกับพูดว่า "ฉันหวังว่าเธอจะไม่แสดงอะไรแบบนี้อีกในหนังเรื่องต่อไปนะ"

ซูเธอร์แลนด์ยืนยันความอายอีกคนขณะให้สัมภาษณ์กับ Vulture ว่าเขาไม่เคยแก้ผ้าต่อหน้าใครมาก่อนนอกจากภรรยา "ผมอายมาก คู่ที่ต้องแสดงร่วมกันก็เป็นคนขี้อาย แต่เราต้องลืมความอายไป เดินเข้าห้อง และยืนราวกับเป็นอดัม กับอีฟคอยใครสักคนมายื่นแอปเปิ้ลให้"

ฉากนี้ยังทำให้คู่เดทของ คริสตี้ในช่วงนั้นซึ่งเป็นดาราชื่อดังอย่าง วอร์เรน เบ็ตตี้ โกรธโร้กมากๆ เขาถึงกับบอกปีเตอร์บาร์ทว่าให้ตัดฉากที่เห็นขนในที่ลับออกให้หมด

 

โป๊ศาสตร์ พิศวาสความรู้คู่กามารมณ์
ที่มา : https://news.yahoo.com/dont-look-now-true-story-controversial-sex-scene-084114449.html

Flesh Market หนังพิงค์ฟิล์มเรื่องแรกของญี่ปุ่น

โดย ฮิโตมิโตกูฉะดะ

หากจะนับว่าหนังเรื่องไหนได้รับการยกให้เป็นหนังอีโรติก หรือพิงค์ฟิล์มเรื่องแรกของญี่ปุ่น คำตอบคือผลงานของ ซาโตรุ โคบายาชิ ในปี 1962 ที่ชื่อว่า 肉体の市場(Nikutai no Ichiba) หรือ Flesh Market ที่อาจตั้งชื่อไทยได้ว่า "ตลาดโลกีย์"