Skip to main content


จึงขอตั้งจิตมั่นว่าจะพูดแต่ความจริงด้วยถ้อยคำที่ก่อให้เกิดความมั่นใจ ความเบิกบาน และความหวัง โดยไม่กระพือข่าวที่ตัวเองไม่รู้แน่ชัด รวมทั้งไม่วิพากษ์วิจารณ์ หรือกล่าวโทษในสิ่งที่ตัวเองไม่แน่ใจ”


ฉันชอบถ้อยคำนี้มาก เป็นถ้อยคำ ที่เพื่อนนำมาฝากหลังจากที่เธอกลับมาจากภาวนา


เรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะ... เพื่อนของฉันกลับมาจาก “ภาวนา” แบบหมู่บ้านพลัม เธอว่าดีงามมาก ใช้กับชีวิตได้ เธอพูดถึง ข้ออบรมสติ 5 ประการ แต่เธอเน้นข้อฝึกอบรม ข้อที่ 4


เธอเขียนส่งมาให้ฉันอ่าน ฉันคิดว่าเธอคงอยากให้ฉันตระหนักรู้ หรือไม่เธอก็บอกอ้อม ๆ ว่า ฉันเป็นคนที่ควรจะปฏิบัติเพราะฉันมีปัญหาในข้อนี้ หรือเธอเพียงอยากแบ่งปันเรื่องราวให้กันและกันรู้ว่าเธอได้อะไรมาบ้างจากการไปภาวนา


เธอเขียนมาว่า--

"ด้วยความตระหนักรู้ถึงความทุกข์ จากการกล่าวถ้อยคำที่ขาดความยั้งคิด และระคายหูผู้อื่น ข้าพเจ้าตั้งสัตย์ปฏิญาณว่าจะบ่มเพาะวาจาที่ไพเราะ และตั้งใจฟังอย่างมีสติเพื่อให้ผู้อื่นมีความสุข เบิกบาน ตลอดจนช่วยแบ่งเบาทุกข์ของพวกเขา ข้าพเจ้ารู้ดีว่าคำพูดสามารถก่อให้เกิดความสุข และความทุกข์ จึงขอตั้งจิตมั่นว่าจะพูดแต่ความจริงด้วยถ้อยคำที่ก่อให้เกิดความมั่นใจ ความเบิกบาน และความหวัง โดยไม่กระพือข่าวที่ตัวเองไม่รู้แน่ชัด รวมทั้งไม่วิพากษ์วิจารณ์ หรือ กล่าวโทษในสิ่งที่ตัวเองไม่แน่ใจ ตลอดจนละเว้นจากการกล่าววาจาที่จะก่อให้เกิดความแตกแยกร้าวฉาน ข้าพเจ้าจะพยายามทุกวิถีทางที่จะประนีประนอม และแก้ไขความขัดแย้งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ หรือเรื่องเล็กก็ตาม"


เธอเขียนเล่าต่อว่า

จากที่รับข้อปฏิบัติมาแล้ว ก็ต่อด้วยการเริ่มต้นใหม่


 

การเริ่มต้นใหม่ คือ การมองอย่างลึกซึ้งและซื่อสัตย์ถึงการกระทำ คำพูด และความคิดในอดีต เพื่อจะทำความกระจ่างแจ้งแห่งจิตและรักษาการฝึกของเราให้แช่มชื่นเบิกบาน ด้วยการกล่าวขอบคุณและขอโทษ ดังนั้น เธอจะปฏิบัติข้อ 4 นี้ กับทุกคนไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือในอนาคต ด้วยการฝึกที่จะเคารพความรู้สึกของอีกฝ่ายไม่เยาะเย้ย ถากถาง ดูแคลนความรู้สึกของเขา ไม่ทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ ไม่เบิกบานจากคำพูด และได้ปฏิบัติทันทีที่กลับมาจากงานภาวนา

 


เธอจะเริ่มต้นที่เพื่อนคนหนึ่ง ขอโทษเพื่อนคนหนึ่งที่เธอเคยล่วงเกินด้วยวาจา ทั้งที่ไม่ตั้งใจ ซึ่งเธอเคยขอโทษมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้เธอจะทำเพิ่มขึ้น คือเธอจะบอกเล่าแก่เขาว่า เมื่อครั้งที่เธอพบเขาเธอรู้สึกยินดีอย่างไร และในช่วงเวลาที่ผ่านมาเธอประทับใจเขาเช่นไร


และเธอก็ได้ทำไปแล้ว เธอเขียนขดหมายถึงเขาอีกครั้งนอกจากเสียใจที่เธอได้ทำให้เพื่อนโกรธแล้ว เธอยังบอกเล่าว่า เมื่อเธอพบเขาเธอรู้สึกดีอย่างไร เราต่างมีช่วงเวลาที่ดีน่าประทับใจ


ฉันไม่รู้ว่าการทดลองปฏิบัติของเธอจะเป็นอย่างไร ซึ่งมันอาจจะได้ผลหรือไม่ได้ผลก็ได้ ฉันเคยอ่านมาจากไหนไม่รู้ ว่าเราไม่ควรจะหวังผลจากเขาแต่ให้หวังผลจากตัวเราเอง ทำให้ความหวาดระแวงของเราจะต้องหมดไปให้ได้ เมื่อเราไม่หวังผลไม่หวาดระแวง เราก็จะรู้สึกสบาย เพราะเราไม่อาจจะทำกับอารมณ์ผู้อื่นได้ แต่ทำกับอารมณ์ตัวเองได้ (นี่ฉันไปอ่านมาจากทีไหนจำไมได้แล้ว)


บางคนว่าทำเป็นลืม ๆ ไปเดี๋ยวก็จบไปเอง ชีวิตมีเรื่องใหม่ ๆ ทุกวัน


ต่อมาเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งบอกว่า การทำเป็นลืมเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากเพราะเราไม่มีวันลืมมันจริง เราต้องเผชิญหน้ากับมันและบอกตัวเองว่า เรื่องนี้มีอยู่จริงมันเป็นเรื่องที่อยู่เหนือการควบคุมและเราจะต้องทำความเข้าใจกับมันให้ได้ และดูง่าย ๆ ว่า ถ้าให้อภัยแล้วก็จะหมดความสงสัยหรือระแวงว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่สงสัยว่าหากเป็นเช่นนั้น หรือหากเป็นเช่นนี้


ไม่หวาดระแวงว่า เขาจะกล่าวโทษเราอย่างไร หรือเขาจะว่าอะไรเรากับใคร ฯลฯ


เพื่อนอีกคนบอกว่า “สำหรับฉันบางครั้งฉันก็รู้สึกว่า ถ้าใครสักคนทำให้โกรธแล้ว ก็ไม่ต้องมาจุ๊กจิ๊กขอโทษเลย หรือพยายามพูดอะไรเลย ให้เวลาสักพัก ฉันก็จะหายโกรธเอง”


วันนี้เอามาฝากกันแค่นี้ก่อนนะคะ มีคำเพราะ ๆ มาฝากอีกประโยคหนึ่ง โลกจะสวยงามเพราะมีความรัก โลกคงสวยดีเพราะมีความจริงใจ บทเพลงที่คนข้างบ้านเปิดดังผ่านมา ดูมันเป็นเชิงอุดมคติมาก ๆ แต่ฟังแล้วสบายใจดี


** ภาพจาก สายหมอกกับดอกไม้


บล็อกของ แพร จารุ

แพร จารุ
มีคำกล่าวว่า "อาหารอายุสั้น คนกินอายุยืน อาหารอายุยืน คนกินอายุสั้น" แรกที่ฟังก็รู้สึกรำคาญคนพูดนิด ๆ เพราะเรากำลังกินอาหารอายุยืนแต่เราไม่อยากอายุสั้น สงสัยใช่ไหมคะว่าอาหารแบบไหนที่อายุยืน อาหารที่ปรุงแต่งมาเรียบร้อยแล้ว แช่ตู้ไว้ได้นานๆ นั่นคืออาหารอายุยืน กินกันได้นานๆ แช่ไว้ในตู้เย็น อาหารพวกนี้คนกินอายุสั้น แต่อาหารอายุสั้นก็พวกเห็ด ผักบุ้ง พวกเหล่านี้เป็นอาหารอายุสั้นอยู่ได้ไม่นาน แต่คนกินอายุยืน แต่เดี๋ยวนี้มีมะเขือเทศอายุยืนด้วยนะคะ เป็นพวกตัดต่อพันธุกรรมแบบให้ผิวแข็งไม่บอบช้ำในระหว่างขนส่ง
แพร จารุ
  1   เป็นนักเขียนมีความสุขไหม   วันหนึ่งฉันต้องตอบคำถามนี้ “เป็นนักเขียนมีความสุขไหม” ผู้ที่ถามคำถามนี้เป็นเด็กนักเรียนตัวเล็กๆ ชั้นประถมปีที่ 5 ฉันรู้สึกดีใจที่มีเด็กถามเรื่องความสุขมากกว่าเรื่องรายได้
แพร จารุ
ฉันห่างกรุงเทพฯ มานานจริงๆ นานจนไปไหนไม่ถูก ก่อนฟ้าสางรถทัวร์จอดตรงหัวมุมถนน ฉันเดินตรงเข้าไปทางถนนข้าวสารตามพื้นถนนแฉะ หาที่นั่งรอหลานมารับแต่ก็หาไม่ได้ พื้นแฉะ ๆ ผู้คนกำลังล้างพื้นกันอยู่ จึงตัดสินใจ เดินออกจากถนนข้าวสารมุ่งตรงไปทางกองฉลากกินแบ่งรัฐบาล มีคนจรนอนห่มผ้าเก่า ๆ อยู่มากมาย ตามทางเดิน  
แพร จารุ
มีเพื่อนอย่างน้อยสองคนตกหล่นไปจากชีวิต ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเราเขียนจดหมายคุยกันอยู่เสมอ ๆ ต่อมาฉันเลิกตอบจดหมายเพื่อนทั้งสองคน 
แพร จารุ
2 กันยายน 2552 นั่งกินมะขามหวานเพลิน ๆ มะขามก็เปรี้ยวขมขึ้นมาทันที เพื่อนโทรมาบอกว่า เธอไปที่โรงพยาบาลนครพิงค์ ได้ยินเสียงตามสายที่ รพ.ขอบริจาคเงินช่วยเหลือเด็กชาวเขาที่แม่มาคลอดตายที่โรงพยาบาล “แม่มาคลอดตายที่โรงพยาบาล แสดงว่าเธอตายระหว่างคลอด” เพื่อนตอบว่าใช่ “เด็กยังอยู่รอดปลอดภัย” “ใช่”    
แพร จารุ
"อะไรเอ่ยมันโผล่ขึ้นมาจากดิน" คำถามเล่น ๆ ของเด็ก ๆ สมัยก่อนเราจะตอบว่า ขอม เพราะเคยเรียนเรื่องพระร่วง  ตอนขอมดำดิน แต่ เดี๋ยวนี้ถ้าไปตอบว่า "ขอม" เด็กไม่เข้าใจ
แพร จารุ
1 วันก่อนไปท่ากาน (ท่ากานเป็นหมู่บ้านหนึ่ง ในอำเภอสันป่าตอง เชียงใหม่ ) พบเด็ก หญิงสองคน เอาก้านกล้วยมาแกว่งไปมากระโดดเล่นกัน ดูน่ารักดี เป็นการเล่นแบบหาของใกล้ตัวมาเล่นกัน
แพร จารุ
10 กันยายน 2552 น้องคนหนึ่งโทรศัพท์มาบอกว่า “มีเรื่องตลกเศร้ามาเล่าให้ฟัง” ฉันหัวเราะ ไม่อยากฟังเธอเล่าอะไรเลยเพราะกำลังเจ็บหูอย่างแรง กำลังจะไปหาหมอ แต่เธอรีบบอกก่อนว่า “พี่ยังไม่รู้ใช่ไหม ลุงหมื่นแกฝายพญาคำ กับพ่อหลวงสมบูรณ์ ผู้ช่วยแกฝาย เขาเซ็นยินยอมให้กรมชลประทานสร้างประตูระบายน้ำแล้ว”
แพร จารุ
   บก.สุชาติ สวัสดิ์ศรี เทียบเชิญฉันเขียนเรื่องสั้น ช่อการะเกด ฉบับเทียบเชิญนักเขียนเก่าที่เคยเขียนช่อการะเกด
แพร จารุ
เธอนิ่งเงียบหลังจากกินอาหารเสร็จ "เศร้าทำไม" ฉันถามเธอ "กำลังดูกระถางต้นไม้อยู่" เธอตอบไม่ตรงกับคำถาม ฉันมองไปที่กระถางต้นไม้ มีอะไรตายอยู่ในนั้นที่ทำให้เธอเศร้า หรือว่าเศร้าที่ต้องมากินอาหารใต้ที่เมืองเหนือทั้งที่เธอเพิ่งเดินทางมาจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
แพร จารุ
 ผู้ชายคนหนึ่ง เลี้ยงปลวกเพื่อเอาปลวกไปเลี้ยงปลาดุก เขาบอกว่า เขาเฝ้ามองปลวกตัวอ้วน ๆ ที่ค่อยเติบโตขึ้น และเอาปลวกไปให้ปลาดุกกิน เขาอธิบายตัวเองว่าเป็นวิถีแห่งสัตว์โลก วิธีการใช้ชีวิตให้อยู่รอดฉันแค่สะดุดใจตรงที่เลี้ยงดูเขาไว้ก่อนแล้วค่อยจัดการ ฉันคิดว่า ถ้ามันกินกันเองตามวิถีชีวิตไม่เป็นไรฉันคิดถึงถ้อยคำหนึ่ง จำไม่ได้แล้วว่า ใครพูด "เขารัก...เหมือนคนเลี้ยงหมูรักหมูที่เลี้ยงไว้" นั่นหมายถึงรักและดูแลอย่างดีเพื่อเอาไว้ฆ่าและขาย
แพร จารุ
1  ฉันเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับความตายครั้งแรกเมื่อพ่อตายจากไป ในวันที่แม่ พี่ ๆและ ญาติ ๆ ต่างช่วยกันจัดงานให้พ่อ ผู้หญิงเตรียมอาหาร ปอกหอมกระเทียม เด็ดก้านพริกขี้หนู หั่นตะไคร้ ผู้ชายเตรียมไม้ฟืนเพื่อทำอาหาร หุงข้าว ต้มแกง ต้องหุงข้าวด้วยกระทะใบใหญ่  ต้องทำอาหารจำนวนมากในเวลาหลายวัน เรามีญาติเยอะ มีเพื่อนบ้าน และคนรู้จักมากมาย เพราะเราไม่ได้มีพ่อที่ดีต่อลูกเท่านั้นแต่มีพ่อที่ดีต่อผู้อื่นด้วย