Skip to main content
"ป้าไฟไหม้ ไฟไหม้ " หลานสาวส่งเสียงอยู่หน้าบ้าน

"ไฟไหม้ที่ไหน" ฉันถาม เดี๋ยวนี้อาการตื่นกลัวเรื่องไฟไหม้ป่าหลังบ้านลดลงไปแล้ว หากเป็นเมื่อสองปีก่อน ฉันจะกลัวมาก กลัวจนตัวสั่นและรีบโทรศัพท์ไปแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายทันที และบางครั้งก็ลงมือดับไฟเองก่อนที่รถดับเพลิงจะมา พร้อมกับบ่นด่าคนที่ทำไฟไหม้ คนที่มาเก็บของกินในสวนร้างแต่ไม่เคยสนใจหน้าแล้งยามที่ไม่ค่อยมีอะไรเก็บกิน และเจ้าของสวนที่ทิ้งสวนตัวเองไว้แล้วไม่มาดูแล  รวมถึงดับเพลิงที่มาช้าไม่ทันใจ

ที่ว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่ปรับตัวง่ายนะเป็นจริง โดยดูได้จากตัวเอง

คืนนี้ฉันเดินออกไปดูไฟไหม้ได้อย่างปกติเหมือนคนอื่น ๆ หย่อมไฟเล็ก ๆ สองกอง อยู่ในสวนร้างห่างออกไปจากบ้านสักสองร้อยเมตร ดูเหมือนไฟจะลุกลามขึ้นเรื่อย ๆ เป็นกองใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น ฉันคิดว่ามันคงจะดับเองไม่ได้เพราะที่ตรงนั้นแห้งมาก เป็นดงไม้ไผ่ เสียงไม้ไผ่แตกกดดันนัก  นอกจากหย่อมบ้านที่เราอยู่กันสามสี่หลังแล้ว ห่างออกไปจากกองไฟอีกด้านมีหย่อมบ้านอีกหย่อมหนึ่ง

ยืนมองไฟอยู่ครู่หนึ่ง ฉันจึงตัดสินใจโทรศัพท์ไปยังหมายเลข 191 เองโดยเลิกรอคนอื่น
"ขอแจ้งข่าวไฟไหม้ค่ะ" ฉันพูดอย่างธรรมดา
"ไหม้อะไรครับ" เสียงถามธรรมดาเหมือนกัน
"ไหม้ป่าค่ะ"
"ที่ไหนครับ"
"หลังโรงเรียนค่ะ" เขาทวนคำหลังโรงเรียนแล้วถามต่อว่าโรงเรียนอะไร ที่ไหน เมื่อฉันบอกสถานที่เขาก็ตอบว่า ครับ ครับ

ฉันยืนดูไฟไหม้และรอรถดับเพลิงอยู่กับหลานสาววัยหกขวบ นานสิบนาที และฉันก็เริ่มกลัวว่า อาจมีลมพัดแรงทำให้ไฟลุกโหมได้ เพราะช่วงนี้กรมอุตุฯประกาศเรื่องระวังพายุฤดูร้อนในภาคเหนือตอนบนด้วย 
"ถ้าป้าทำเสียงตื่นเต้นกว่านี้สักนิด เขาก็คงรีบมาเร็ว ๆ" ฉันพูดกับหลานสาว
"นั่นนะสิ มาช้า เดี๋ยวไฟก็ไหม้หมด" หลานสาวว่า

เมื่อสองปีก่อนไฟไหม้ป่าที่สวนร้างแห่งนี้นับสิบครั้ง ตอนนั้นหลานสาวอายุสี่ขวบ ทันทีที่ไฟไหม้ป่าเธอจะต้องรีบเอาเสื้อกันหนาวมาสวม เธอกลัวจนหนาวสั่นนั่นเอง แต่ปีนี้เธอยืนดูไฟกับฉันได้อย่างที่ไม่ต้องวิ่งหาเสื้อกันหนาว แสดงว่าเธอปรับตัวได้ดีเหมือนกัน

"ป้ามอเตอร์ไชค์มาแล้ว"
"หรือพวกเขาคงจะมาดูก่อนว่าไฟไหม้ไปแค่ไหนแล้ว เรื่องไฟไหม้ป่าพวกเขาคงจะได้รับแจ้งอยู่เรื่อย ๆ จนเลิกตื่นเต้นแล้วเหมือนกัน"
มอเตอร์ไชค์หยุดดู และผ่านเลยไป  อาจจะไม่ใช่ไม่เกี่ยวกับดับเพลิง

เคยพูดคุยกับเพื่อนบ้านเรื่องไฟไหม้ป่า และเคยได้ยินชาวบ้านเขาพูดว่าปล่อยให้ไหม้ไป ให้ไหม้ให้หมดจะได้ไม่ต้องไหม้อีก เพราะถ้าไม่ไหม้ตอนนี้ก็ต้องไหม้สักวันอยู่ดี ความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องไฟก็ต่างกันออกไป

ไฟไหม้ป่าแถบนี้ทุกปี ในบริเวณสวนร้างสี่ห้าไร่ ฉันคิดว่าความคิดหลักที่เหมือนกันคือ อย่าให้ไฟไหม้บ้านเป็นใช้ได้ เพราะฉะนั้นถ้าไฟไหม้อยู่ใกล้บ้านไหนมากที่สุดบ้านนั้นก็จัดการไป จะไปดับไฟเองหรือแจ้งดับเพลิงก็ตามใจ   ส่วนปัญหาหมอกควันที่ได้รับกันทั่วถึงเป็นเรื่องหลัง  เพราะมันเป็นเรื่องใหม่ที่เพิ่งจะวิกฤติเมื่อสองสามปีนี้เอง และปัญหาหมอกควันก็ไม่ได้ทำให้ใครตายในทันทีทันใดด้วยแค่ตายแบบผ่อนส่งไม่ค่อยรู้ตัวยังถือว่าห่างไกล

ไฟป่าไม่ได้เกิดขึ้นเอง ฉันรู้สึกว่า ตัวเองถูกหลอกมานาน สมัยเรียนเด็ก ๆ รุ่นฉันจะท่องว่า ไฟป่าเกิดขึ้นจากการเสียดสีของไม้ทำให้ลุกเป็นไฟ ต่อมาก็ถูกบอกว่า ไฟคุขึ้นจากใต้ดิน มาภายหลังได้รับคำยืนยันว่า ไม่จริงส่วนใหญ่เกิดจากคน ไฟป่าเกิดขึ้นเองหรือเกิดจากไม้เสียดสีเพียงไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์เกิดจากคนทำแน่นอน ทั้งตั้งใจจุดไฟเผา และโดยประมาท

และต่อมาก็ถูกทำให้รู้อีกว่า เกิดจากชาวบ้าน ชาวเขาเผาป่าทำให้เกิดไฟไหม้และเป็นหมอกควันไปทั่ว นานทีเดียวกว่าจะรู้ว่า ไฟไหม้เกิดจากใครก็ได้  เช่นครั้งหนึ่งเพื่อนครูที่เพชรบูรณ์ เขียนจดหมายมาเล่าว่า เขาทำไฟไหม้ไปนับสิบไร่ เหตุเพราะเขาชวนเด็ก ๆ ทำความสะอาดโรงเรียนและกวาดขยะใบไม้เอาไปเผา ลมพัดแรงเพียงไม่นานมันก็ลุกลามไปใหญ่โต เขาถูกสอบ และถูกปรับ หลังจากนั้นก็ต้องย้ายออกจากพื้นที่ ตอนนั้นฉันหัวเราะขำเพราะก่อนทำไฟไหม้เขาได้รับรางวัลเป็นครูดีเด่นสาขาอะไรสักอย่างเป็นเกียรติเป็นศรีแก่เพื่อนฝูงมาก แต่การที่เขาทำไฟไหม้ป่าครั้งนั้นทำให้ฉันเลิกบ่นด่าว่าชาวบ้านชาวเขาว่าเป็นผู้เผาป่าทำไฟไหม้ป่า เพราะตระหนักว่าคนอื่นก็ทำให้ไฟไหม้ป่าได้ เช่นเพื่อนครูก็ทำได้  นักเดินทางนักท่องเที่ยวก็ทำได้

เดือนที่ผ่านมาไฟไหม้ดอยหลวงเชียงดาวครั้งใหญ่ คนที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่า เพียงห้านาทีไฟก็ลุกไปถึงยอดดอยแล้ว และต่อมามีนักพัฒนาในพื้นที่คนหนึ่งเดินขึ้นไปดูร่องรอยไฟไหม้ เขากลับลงมาบอกว่า ต้นเพลิงน่าจะมาจากกลุ่มนักท่องเที่ยวนักเดินทางหุงหาอาหารกินเพราะเขาพบว่ามีร่องรอยมีเตาไฟด้วย หากเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นความประมาทโดยแท้ เพราะในช่วงที่ร้อนแล้งขนาดนั้นพวกเขาไม่ควรก่อไฟบนดอย เพราะมีกฎห้ามอยู่แล้วว่าห้ามก่อไฟ นักท่องเที่ยวนักเดินทางก็ควรจะรู้หรือบอกว่าไม่รู้ไม่ได้เลย และที่สำคัญพวกที่เอาเตาไฟขึ้นไปก็ต้องเป็นพวกผู้นำทาง ลูกหาบเพราะนักเดินทางนักท่องเที่ยวจะไม่แบกขึ้นไปดังนั้นที่บอกว่าผู้นำทางเชี่ยวชาญมีความรับผิดชอบและลูกหาบผ่านการอบรมมาอย่างดีก็ต้องคิดใหม่แล้วว่าจริงหรือไม่



ภาพดอยหลวงหลังไฟไหม้
จาก http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=rosymirror&month=03-2009&date=27&group=1&gblog=8

ฉันเคยเดินทางสู่ยอดดอยหลวงเชียงดาวในช่วงแล้ง แต่ไม่แล้งมากเหมือนปีนี้ ตอนนั้นเรามีแก๊สเล็ก ๆ ขนาดกระเป๋าหิ้วไปด้วย แต่พวกลูกหาบและผู้นำทางก็ยังก่อไฟหุงหาอาหารให้เรากินกัน ซึ่งโชคดีที่ไม่มีไฟไหม้ป่าในช่วงนั้นจากการจุดไฟครั้งนั้น ไม่เช่นนั้นจะรู้สึกผิดบาปและฝันร้ายไปจนตายทีเดียว แต่ที่คิดขึ้นมาแล้วน่าตกใจก็คือ ตัวเองเดินทางไปโดยไม่มีความรู้เรื่องใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่รู้วิธีการจัดการกับไฟเลยแม้แต่นิดเดียว และ เรามอบความไว้วางใจให้กับผู้นำทางและลูกหาบ ดังนั้นเราจึงไม่ห้ามเขาเมื่อเขาจุดไฟ และไม่ได้ดูด้วยว่าพวกเขาดับไฟสนิทหรือไม่  แต่ก็โชคดีอีกที่เราได้ผู้นำทางที่ดี นั่นเป็นการเดินทางในหน้าร้อนครั้งแรกและถือว่าทำผิดกฎระเบียบแม้ไม่ทำเองก็ปล่อยให้ผู้ร่วมทางทำผิดเพราะยอมให้มีการก่อไฟทั้งที่เป็นช่วงแล้วและแห้งมาก อีกทั้งเราก็ไม่ควรเดินทางไปในหน้าแล้งด้วย

ฉันใช้คำว่า โชคดี แน่นอนเมื่อมีคำว่า โชคดี ก็ต้องมีคำว่า โชคร้าย ซึ่งเราไม่น่าจะอยู่กับคำว่าโชคดีหรือโชคร้าย แต่ในความเป็นจริงชีวิตเราอยู่กับสองคำนี้มาโดยตลอด เมื่อรอดเราก็จะรู้สึกว่าโชคดี เมื่อไม่รอดก็จะเป็นโชคร้าย เช่นเมื่อสองวันก่อน เพื่อนเช่ารถขึ้นดอยรถไปเสียระหว่างทาง  เราบอกกันว่า โชคดีที่ไม่เสียบนดอยไม่เช่นนั้นรถตกดอยตายแน่ แต่ความจริงก็คือเราไม่ได้ดูสภาพรถให้ดีก่อนใช้และเป็นเช่นนี้มาหลายครั้ง และเราเอาโชคดีมาเป็นที่ตั้ง

ฉันกลับมานั่งคิดและเขียนเล่น ๆ หลังจากที่รถดับเพลิงมาดับไฟไหม้ป่าในสวนร้างหลังบ้านแล้ว และเหลือทิ้งไว้แต่กลิ่นไหม้ ตอนนี้ฤดูแล้งยังไม่หมดไฟยังไหม้ต่อไป และฉันก็ต้องคิดว่าจะโชคดีต่อไป 

 

บล็อกของ แพร จารุ

แพร จารุ
“รู้สึกว่า ปีนี้ ไม่ค่อยจะมีความสดชื่น รื่นเริง  ความรื่นเริงและความสุขดูเหมือนจะหายไป ลุงรู้สึกเช่นนั้นไหม”ลุงว่า ใครมันจะมารื่นเริงอยู่ได้ในสถานการณ์เมืองไทยเป็นเช่นนี้ หมายความว่า น่าจะมาจากการเปลี่ยนแปลงระดับประเทศ โดยเฉพาะการเมืองที่สับสนและดูไม่กระจ่างใส  เป็นความเครียดทางสังคม เครียดจากการปกครองโดยทหารที่ลึกลงไป และเข้าใจว่า แม้จะยอมรับก็ยอมรับแบบหวานอมขมกลืน และยิ่งเครียดเข้าไปอีกเมื่อมีการเลือกตั้งในช่วงใกล้ปีใหม่ ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นของฝ่ายไหนก็ไม่น่าจะทำให้ใครสบายใจได้ เมื่อประชาชนถูกแบ่งเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจนมากขึ้น…
แพร จารุ
  ฉันรู้สึกว่ามันเป็นช่วงปีใหม่ที่ไม่รู้สึกสดชื่นนัก ดูเหงา ๆ วังเวง ในท่ามกลางงานเลี้ยงรื่นเริงที่มีอยู่และเป็นไปตามวาระของมัน ความรู้สึกอย่างนี้มันอยู่ลึกลงไปแต่ฉันสัมผัสได้อย่างเย็นเยียบจริง ๆ ฉันไม่รู้ว่าคนอื่นจะรู้สึกหรือไม่ หรือว่าฉันรู้สึกอยู่คนเดียว ว่าเป็นปีใหม่ที่ไม่มีความรื่นเริงอยู่จริง มันหดหู่อยู่ภายในหัวใจอย่างไรไม่รู้ คล้ายรู้สึกว่า ความเศร้ามารอคอยเคาะประตูอยู่หลังบ้าน... หลังจากงานรื่นเริงจบลงฉันถามตัวเองหลายครั้งว่าความรู้สึกนี้เป็นจริง หรือว่าฉันกำลังจะป่วยด้วยอาการกลัวหรือกำลังจะเป็นโรคซึมเศร้า อะไรทำให้ฉันคิดอย่างนั้น หรือเป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจของตัวเอง…
แพร จารุ
ฉันได้รับหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อว่า อาหารบ้านฉัน  เป็นสูตรอาหารพื้นถิ่น ของกินจากป่าหลังบ้าน และที่สำคัญกว่านั้น เขียนว่าอร่อยไปถึงหัวใจ “ฉันเติบโตมาจากอาหารที่หลังบ้าน เธออยากรู้ไหมว่า อาหารบ้านฉันอร่อยแค่ไหน  เธอไม่ต้องกลัวหรอก บ้านฉันมีอาหารมากมาย กินกันอย่างไม่หมด” หนังสือเล่มนี้ มีผู้ร่วมดูแลหรือผู้ร่วมทำงานด้วย เขาคือ ธนภูมิ อโศกตระกูล เป็นคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญด้านอาหาร โดยเฉพาะอาหารสุขภาพ การกินอยู่แบบง่าย ๆ เช่น จานอร่อยปลอดเนื้อ มหัศจรรย์แห่งเต้าหู้ เจไม่จำเจ เป็นต้นธนภูมิ อโศกตระกูลเขาเล่าว่า “ได้เข้ามาเที่ยวในแม่เหียะใน เมื่อประมาณสองปีที่แล้ว…
แพร จารุ
“หนาวไหม หนาวหรือยัง”“หนาวแล้ว เชียงไหมหนาวแล้ว”“ฉันจะไปเชียงใหม่”บทสนทนาหนึ่ง ที่เราได้ยินได้ฟังอยู่เสมอ รายงานข่าว ขณะนี้ยอดดอยอากาศหนาวมาก โดยเฉพาะดอยสูงอุณหภูมิติดลบแล้ว เกิดน้ำค้างแข็ง มีคำถามว่า นักท่องเที่ยวหรือคนที่จะมาเชียงใหม่ควรได้รับรู้ข่าวคราวอะไรบ้างนอกจากว่า หนาวแล้วหรือหนาวกี่องศา ชายคนหนึ่งพูดขึ้นในยามบ่าย เขาพูดต่อว่า ถ้าอยากให้คนอื่นที่มาเที่ยวเชียงใหม่ รู้ว่าเขาควรจะเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลเมืองและรักเมืองนี้ เราต้องให้ข่าวสารเขามากกว่านี้  เราควรต้องทำงานกับสื่อให้มากว่านี้  เขาเป็นหนึ่งในคนทำงานภาคีฯการมุ่งเน้นให้คนเชียงใหม่ดูแลเมืองเชียงใหม่…
แพร จารุ
มีเพื่อนผู้หวังดีส่งเมลมาว่า ให้เขียนเรื่องดี ๆ เพื่อเมืองเชียงใหม่บ้าง ทำไมถึงมองไม่เห็นความงามของเมืองบ้าง  ฉันจึงเขียนบทความชิ้นนี้ขึ้นมา               1ถ้ามองลงมาจากฟ้า เราจะเห็นเมืองเชียงใหม่ ตั้งอยู่ตรงกลาง มีป่าดอยสุเทพอยู่ทางตะวันตก มีแม่น้ำปิงไหลผ่านทางตะวันออก  ช่างเป็นเมืองงดงามที่สมบูรณ์ เล่ากันว่า เดิมทีผู้คนในเมืองนี้อยู่กันอย่างสงบสันติ แต่แน่นอนเมืองที่ดีงามเช่นนี้ ย่อมมีผู้คนต้องการ เข้ามาอยู่มาครอบครอง โดยเฉพาะทรัพยากรธรรมชาติบนดอยสูง หลายร้อยปีต่อมา เมืองเชียงใหม่เติบโตอย่างรวดเร็ว…
แพร จารุ
ขอบอกก่อนว่า เป็นเรื่องเล่าที่ไม่มีสาระอะไรเลย เล่าเรื่องนี้ เพราะวันพิเศษเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ถือว่า เป็นการผจญภัยในดินแดนที่รื่นรมย์เลยทีเดียวฉันจะเรียกเขาว่า แขกพิเศษ เพราะเป็นการมาเยือนแบบไม่คาดคิดมาก่อน และต่างมาในวันเดียวกันด้วย อีกทั้งไม่ได้นัดหมายมาล่วงหน้า ต่างมาแบบตั้งตัวไม่ติดทั้งนั้น แขกคนที่หนึ่ง เขาเดินทางมาด้วยรถมอเตอร์ไชค์ มาถึงก่อนที่เจ้าของบ้านจะทันตื่น ได้ยินเขาส่งเสียงตะคอก เจ้าสองตัวแม่ลูก ที่ทำหน้าที่เฝ้าบ้าน มันเห่าเสียงแหลมเล็กตามแบบของหมาเล็ก และยังเยาว์ ฉันว่าคนเลี้ยงหมาทุกคนไม่ชอบให้ใครตะคอกหมา และยินดีที่มีคนรักหมาของตัวเอง…
แพร จารุ
ไม่รักไม่บอก  เออ...เหมือนมีใครมาพูดอยู่ข้างหู บอกว่า ฉันรักเธอนะจึงบอก แต่ว่าเรื่องที่ฉันจะบอกนั้น เธออาจไม่ชอบ เธออาจจะโกรธฉัน  แต่ที่ฉันต้องบอกเพราะว่า ฉันรักเธอและปรารถนาดีต่อเธอจริง ๆ “ฉันไม่บอกไม่ได้แล้ว”ถึงตอนนี้คุณอาจจะรู้สึกรำคาญใจ พูดพร่ำอยู่ทำไม อยากบอกอะไรก็บอกมาเถอะ ใช่...ไม่รักไม่บอกค่ะ เป็นชื่อหนังสือเล่มเล็ก ๆ บาง ๆ มีการ์ตูนน่ารักๆ เปิดไปหน้าแรก ผู้เขียนบอกว่า ที่ทำหนังสือเล่มนี้ เพราะว่า ความสัมพันธ์ของมนุษย์เป็นเรื่องน่ารัก มีเรื่องดีงามที่เขาค้นพบอยู่มากมาย เขาเล่าถึงเรื่อง เด็กชายคนหนึ่ง ตามแม่ไปซื้อของที่ร้านเกษมสโตร์ เขากินไอศกรีมรอแม่…
แพร จารุ
เรื่องขยะ ๆ มันโดนใจใครต่อใครหลายคน หลังจากที่เขียนเรื่อง แปดสิบบาทกับผู้ชายริมทางรถไฟ และในเรื่องมีขยะ ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
แพร จารุ
“สุชาติ สวัสดิ์ศรี” ยืนล้วงกระเป๋าเสื้ออยู่ริมทางรถไฟ ในขณะที่รถไฟกำลังมา  เป็นภาพปกหนังสือ ฅ คน ที่ทำให้ฉันต้องนับเงินในกระเป๋าให้ครบแปดสิบบาท ความจริงหนังสือเขาไม่แพงหรอก เพียงแต่ว่า เงินสำหรับบ้านฉันมันหายากมาก หรือจะเรียกให้ถูกก็คือฉันไม่ค่อยหาเงิน ดังนั้นเมื่อไม่หาเงินก็ต้องใช้เงินน้อย ๆ หรือไม่ใช้ไปเลยถ้าไม่จำเป็นต้องใช้จริง ๆ แม้ว่าการจะซื้อหนังสือถือเป็นความจำเป็นหนึ่ง แต่ก็ต้องเลือกอย่างพิถีพิถันในเนื้อหา ดังนั้น ถ้าร้านไหนห่อพลาสติกอย่างดีเปิดไม่ได้ ก็ผ่านเลย หนังสือเล่มนี้ก็ห่อพลาสติกอย่างดีเหมือนกัน แต่ก็รีบซื้อ  เพราะทั้งรถไฟและคุณสุชาติ  สวัสดิ์ศรี…