Skip to main content

1 

ฉันเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับความตายครั้งแรกเมื่อพ่อตายจากไป ในวันที่แม่ พี่ ๆและ ญาติ ๆ ต่างช่วยกันจัดงานให้พ่อ ผู้หญิงเตรียมอาหาร ปอกหอมกระเทียม เด็ดก้านพริกขี้หนู หั่นตะไคร้ ผู้ชายเตรียมไม้ฟืนเพื่อทำอาหาร หุงข้าว ต้มแกง ต้องหุงข้าวด้วยกระทะใบใหญ่  ต้องทำอาหารจำนวนมากในเวลาหลายวัน เรามีญาติเยอะ มีเพื่อนบ้าน และคนรู้จักมากมาย เพราะเราไม่ได้มีพ่อที่ดีต่อลูกเท่านั้นแต่มีพ่อที่ดีต่อผู้อื่นด้วย

นอกจากไม้ฟืนก็ต้องเตรียมไม้ทำโลงอีก ได้ยินใครสักคนหนึ่งพูดว่า เหมือนพ่อเตรียมไม้ไว้แล้ว แค่เอามาตอกต่อประกอบเข้าเท่านั่น เรารู้สึกดีที่พ่อได้นอนในโลงไม้ใหม่

ในขณะใครต่อใครกำลังทำงานกันฉันได้อยู่เฉย ๆ เพราะฉันบอกแม่ว่า ปวดหัว ฉันมีอาการปวดหัวอยู่เสมอเมื่อวัยเยาว์ ดังนั้นเมื่อฉันพูดคำว่าปวดหัว แม่จึงบอกให้ฉันอยู่เฉย ๆ นั่งนิ่ง ๆ  ทันที แม่คงกลัวว่าโรคปวดหัวจะกลับมาอีก

เมื่อฉันได้นั่งนิ่ง ๆ อยู่เฉย ๆ ฉันจึงนั่งเขียนถึงพ่อ ฉันเขียนเรื่อง "ถนนสายเดียวดายที่พ่อรออยู่" ตอนนั้นฉันรู้สึกว่า ดีแล้วที่พ่อตาย เพราะฉันรู้สึกว่าในโลกแห่งการมีชีวิตช่วงสุดท้ายของพ่อ มีแต่ความเจ็บปวด แม้จะมีลูกหลานญาติมิตรมากมายแต่ไม่มีใครแบ่งปันความเจ็บปวดได้  ฉันเชื่อว่าความตายไม่เจ็บปวดเท่ากับการมีชีวิตอยู่ที่เจ็บป่วยอันยาวนานของพ่อ  เส้นทางที่พ่อเดินไปนั้นน่าจะเป็นถนนที่ดีกว่าแม้จะเดียวดายเพราะพ่อเดินทางไปคนเดียว           

พ่อจะรอพวกเราอยู่ที่ถนนสายเดียวดายและเมื่อถึงวันที่พวกเราลูก ๆ ไป เราก็จะไม่เดียวดายเพราะมีพ่อรออยู่แล้ว เหมือนที่พ่อรอให้รถไฟเข้าเทียบชานชลา เมื่อเราก้าวลงจากรถไฟเราก็จะพบพ่อรออยู่ทุกครั้ง

ผ่านมานานเกือบสามสิบปี ฉันคิดว่าพ่อไม่รอพวกเราแล้ว มันนานเกินไปที่จะให้พ่อรอและแม่ก็ทำบุญอุทิศสวนกุศลให้พ่อทุกวันตลอดเวลาสามสิบปี แม่ตักบาตรทุกเช้า ไปวัดทุกวันพระ เรียกลูก ๆ กลับมาทำบุญประจำปีให้พ่อทุกปี ลูกคนไหนไมได้กลับแม่ก็จะโทร.มาเตือน และลูกก็จะพูดว่า  ปีนี้ไม่ได้กลับแต่ลูกจะไปทำบุญที่วัดใกล้บ้านที่ลูกอยู่          

นี้คือการเขียนถึงความตายครั้งแรก ในช่วงวัยเยาว์ แต่ไม่ได้ทำหนังสืองานศพ ต่อมาฉันส่งไปลงในนิตยสารแพรวสุดสัปดาห์และนำมารวมเล่มในบทสุดท้าย เรื่องแผ่นหลังของพ่อ
                                  

2

เดือนที่ผ่านมา ฉันได้รับโปสการ์ดจากน้องคนหนึ่ง เธอบอกว่า พวกพี่ ๆ เขาฝากมา ให้พี่เขียนและส่งไปที่สวนทูนอิน เพื่อจัดทำหนังสือ ให้คุณรงค์ วงษ์สวรรค์

โปสการ์ดสีขาว ด้านหน้าภาพวาดลายเส้นใบหน้าของ นักเขียน รงค์ วงษ์สวรรค์  เขียนโดย   เทพศิริ สุขโสภา และบทกวี ของ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

สองบรรทัดสุดท้าย เขียนว่า
เอกอักขราจารย์
คือ รงค์ วงษ์สวรรค์
(ที่เขียนมาไม่หมดยกมาสองบรรทัด เพราะกลัวผิดค่ะ ตัวอักษรลายมือหวัดอ่านยาก) แต่สองบรรทัดนี้ก็พอเพียงแล้ว 

ด้านหลังของโปสการ์ด แบ่งเป็นสองส่วน  มีตัวอักษรเล็ก ๆ ขั้นระหว่างส่วนว่า พญาอินทรี...ขยับปีกบินกลับรัง ในส่วนหนึ่งสำหรับเขียนที่อยู่ส่งไปที่สวนทูนอิน อีกซีกหนึ่งสำหรับเขียนข้อความไว้อาลัย สำหรับฉันคิดว่า เนื้อที่มันน้อยไปจริง ๆ น้อยจนไม่รู้ว่าจะเขียนอะไร หรือถ้าเขียนลงไปก็คงได้ตัวเล็ก ๆ เหมือนบทกวีสั้น ๆ แค่หกบรรทัดของคุณเนาวรัตน์ซึ่งก็เกือบจะอ่านไม่ออกหรืออ่านออกก็อาจจะผิด

ฉันจึงไม่เขียนแต่เก็บโปสการ์ดที่สะอาดสวยงามไว้เป็นที่ระลึกและไว้อาลัยอยู่ในใจเพราะกระดาษบรรจุตัวอักษรไม่พอ

 

 

บล็อกของ แพร จารุ

แพร จารุ
ถ้าฉันพูดว่า อย่าเอาดอกไม้มาให้ฉันถ้าเธอไม่ได้ปลูกเอง เธออย่าโกรธฉันนะ ฉันจะเล่าให้เธอฟัง วันหนึ่งก่อนฤดูฝน ฉันเดินทางไปหมู่บ้านหลังดอยอินทนนท์  ฉันพบผู้ชายคนหนึ่ง เขาพูดว่า"เอาดอกไม้ของฉันออกจากหน้าอกเธอ"หนุ่มใหญ่คนหนึ่งพูดขึ้น หญิงสาวมีสีหน้าแปลกใจคงสงสัยว่าเธอทำอะไรให้เขาไม่พอใจ จึงไม่ยอมเอาดอกไม้ออกจากกระเป๋าเสื้อ "เอาออกเถอะ" เขายืนยันอีกครั้ง แต่หญิงสาวยังไม่ทำตาม ยังคงเอาดอกไม้เหน็บในกระเป๋าเสื้อตรงหน้าอกต่อ ในที่สุดเขาก็บอกว่า " มันอันตราย ดอกไม้ฉันมีแต่ยา"
แพร จารุ
หมู่บ้านหายโรงเรียนร้าง เดือนก่อนฉันเดินทางไปที่หมู่บ้านหนึ่ง แถวเชียงดาว ไกลเข้าไปในป่า พบโรงเรียนร้างไม่มีเด็ก ไม่มีครู โรงเรียนถูกปิดเพราะไม่มีเด็กเรียน และไม่ใช่แค่โรงเรียนร้างเท่านั้น หมู่บ้านก็หายไปด้วย  ผู้ชายคนหนึ่งเล่าให้ฉันฟังว่าหมู่บ้านนี้ถูกซื้อไปแล้ว "จริงเหรอ เหมือนโฆษณาเลย โฆษณาอะไรนะ ที่ผู้ชายคนหนึ่งถามซื้อเกาะให้ผู้หญิง" ใครคนหนึ่งพูดขึ้น"ไม่ใช่แค่โฆษณาหรอก ละครโทรทัศน์ก็มีเหมือนกัน ชายหนุ่มคนหนึ่งเขาซื้อเกาะให้หญิงสาวเป็นของขวัญหากเธอแต่งงานกับเขา" ฉันบอกพวกเขา
แพร จารุ
แปลกใจใช่ไหมค่ะ ต้นไม้ใหญ่ อ่างเก็บน้ำและหมีแพนด้า  มันเกี่ยวกันอย่างไร  เรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะ  เดือนฉันก่อนไปศาลากลางมา  ที่หน้าศาลากลางมีคนมากมาย มีชาวบ้านมาประท้วงเรื่องการสร้างอ่างเก็บน้ำ 
แพร จารุ
ในขณะที่ผู้คนที่มาดูต้นไม้ ต่างตื่นเต้นกับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ใหญ่ที่สุดที่นี่คือต้นจามจุรีหรือต้นก้ามปูที่สโมสรเชียงใหม่ยิมคานา เป็นสนามกอล์ฟเก่า เขาเล่ากันว่าต้นไม้นี้มีอายุมากกว่าร้อยปี ส่วนสูง 15 เมตร ผ่านการประกวดต้นไม้ใหญ่ที่ได้รับรางวัลของเทศบาลมาแล้ว
แพร จารุ
"ที่ซึ่งหนุ่มสาวหอบฝันมาทิ้ง" ฉันบอกเพื่อน ฟังดูน่าตกใจและดูจะเป็นคนใจร้ายไปสักหน่อย และหากว่าน้อง ๆ หนุ่มสาวที่นี่ได้ยินฉันพูดทำนองนี้ พวกเธออาจเสียกำลังใจ เพราะการเดินทางครั้งนี้เราพบหนุ่มสาวพวกที่ฉันคิดว่าเป็นพวก"หอบความฝัน"มากมายหลายคนทีเดียว
แพร จารุ
"ปายแบบเมื่อก่อนจะไม่กลับมาอีกแล้ว เรามาค้นหาคุณค่าใหม่กันเถอะ" เพื่อนคงรำคาญที่ฉันพร่ำเพ้อถึงความหลังครั้งก่อน (ฉันเขียนมาถึงตอนนี้เมื่อฉบับที่แล้ว )  เราได้เพื่อนใหม่ทันที เธอชื่อเนเน่ เธอบอกว่า เธอเดินทางมาที่นี่ปีละหลาย ๆ ครั้ง และแม้ปายจะเปลี่ยนไปอย่างไรเธอก็ยังชอบปาย เธอมาเพื่อหาที่นั่งอ่านหนังสือสบาย ๆ ช่วง เย็น ๆ ก็ออกเดินเล่นไปตามถนน เดินคุยกับคนโน้นคนนี้เพราะผู้คนส่วนมากเป็นมิตร
แพร จารุ
  1 ปาย เปลี่ยนไปมาก และที่ฉันไม่กล้าไปปายก็เพราะกลัวความเปลี่ยนแปลง กลัวจะเสียใจกับความเปลี่ยนแปลงก็เลยพยายามจะลืมปายทำเหมือนหนึ่งว่าไม่เคยมี ไม่เคยไป
แพร จารุ
"ป้าไฟไหม้ ไฟไหม้ " หลานสาวส่งเสียงอยู่หน้าบ้าน "ไฟไหม้ที่ไหน" ฉันถาม เดี๋ยวนี้อาการตื่นกลัวเรื่องไฟไหม้ป่าหลังบ้านลดลงไปแล้ว หากเป็นเมื่อสองปีก่อน ฉันจะกลัวมาก กลัวจนตัวสั่นและรีบโทรศัพท์ไปแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายทันที และบางครั้งก็ลงมือดับไฟเองก่อนที่รถดับเพลิงจะมา พร้อมกับบ่นด่าคนที่ทำไฟไหม้ คนที่มาเก็บของกินในสวนร้างแต่ไม่เคยสนใจหน้าแล้งยามที่ไม่ค่อยมีอะไรเก็บกิน และเจ้าของสวนที่ทิ้งสวนตัวเองไว้แล้วไม่มาดูแล  รวมถึงดับเพลิงที่มาช้าไม่ทันใจ
แพร จารุ
"อย่าลืมเอาถุงผ้าไปซื้อของ" ฉันเคยบอกใครต่อใครจนเขาเบื่อหน่ายกันแล้ว "อย่าเอาถุงพลาสติกเข้าบ้านถ้าไม่จำเป็น"และทุกครั้งที่ฉันเห็นถุงพลาสติกที่ใส่อาหารแล้ววางทิ้งไว้บนโต๊ะ ก็จะรู้สึกโกรธขึ้นมาทันทีและรีบเก็บแต่ถุงพลาสติกก็ไม่เคยหมดไปจากบ้านฉัน มันวางอยู่ตรงโน้นตรงนี้เสมอ ๆ
แพร จารุ
ผู้ชายคนหนึ่งนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เขาขยันมาก นั่งทำงานทุกวัน เขามีเมียขี้คร้านกับหมาพุดเดิ้ลตัวเล็ก ๆ ที่ส่งเสียงเห่าแหลมเล็กทั้งวันทั้งคืน เสียงหมาเห่าดังมาก  แต่เขายังนั่งทำงานอย่างไม่สนใจ  เมียเขานอกจากขี้คร้านแล้วขี้รำคาญด้วย เธอจึงลุกขึ้นไปที่ประตูอย่างหงุดหงิดรำคาญใจเพราะเธอกำลังนอนอ่านหนังสืออย่างสำราญอยู่ ประตูบ้านยังไม่ปิด บ้านนี้ประตูจะไม่ปิดจนกว่าเจ้าของบ้านจะนอน  ลักษณะพิเศษคือเจ้าของบ้านไม่ชอบปิดประตู เปิดไว้ทั้งวันทั้งคืน
แพร จารุ
 หน้าร้อนใคร ๆ ก็ไม่อยากมาเชียงใหม่ อย่าว่าแต่นักท่องเที่ยวเลย คนที่อยู่เชียงใหม่ที่พอออกจากเมืองได้ก็จะพากันออกจากเมืองไปพักผ่อนที่อื่นฉันเป็นคนหนึ่งที่หนีออกจากเมืองเชียงใหม่ในช่วงหน้าร้อนเสมอ ให้เหตุผลกับตัวเองว่า ถือโอกาสกลับใต้ เป็นการกลับบ้านปีละครั้ง
แพร จารุ
“บ้านฉันไม่ได้อยู่ใกล้สถานบันเทิงเลยค่ะ แต่หนวกหูมากเหมือนกัน” ฉันบอกเพื่อนที่โทรศัพท์มาปรึกษาเรื่องที่บ้านของเธออยู่ใกล้สถานบันเทิง หลังจากที่ ฟังเธอบ่นปรับทุกข์ เรื่องเสียงเพลงหนวกหูจากสถานบันเทิง เธอเล่าว่าย้ายบ้านจากกรุงเทพฯ มาอยู่ต่างจังหวัดได้ไม่นาน ร้านอาหารคาราโอเกะก็มาเปิดข้างบ้าน