Skip to main content

 

เล่าเรื่องงาน อำลา ’รงค์ วงษ์สวรรค์ เปิดงานไปเมื่อวันที่ 9 มกราคม ยามแดดร่มลมตก หน้าที่ของฉันในงานนี้ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลงานขายหนังสือ ฉันรับปากไปว่า “ได้ค่ะ” ทั้งที่ไม่มีความชำนาญเรื่องการขาย หรือเรียกว่าไม่มีทักษะสักนิดเดียว และมักจะคิดตัวเลขผิด วิชาคณิตศาสตร์ตั้งแต่บวกลบคูณหารไม่เก่งเลย ยิ่งวิชาเลขคณิตคิดในใจนี้ไม่ได้เลย แต่ เพราะว่าในช่วงที่เขาประชุมเรื่องการดำเนินการจัดงานฉันไมได้เข้าร่วมประชุม ไปจัดการเรื่องขอประนอมหนี้ธนาคารอาคารสงเคราะห์เพราะถ้าเขายึดคอนโดฯห้องเท่าแมวดิ้นตายไปกลัวว่าเมื่อธนาคารเอาไปขายทอดตลาดแล้วยังเป็นหนี้จนถูกฟ้องล้มลายแบบนักแสดงตลกท่านหนึ่ง


\\/--break--\>

เมื่อไม่ได้มาประชุมก็เขียนไปในทวิตเตอร์ว่า ขอเสนอตัวช่วยงานด้วยคน ยกเว้นการจัดสถานที่ให้สวยงามนั่นทำไม่เป็น ยกของยกเก้าอี้โต๊ะก็ไม่เอาเพราะแรงไม่พอ ฉันจึงได้ช่วยงานอยู่สองงานผ่านทางคุณเสย องอาจ ฤทธิ์ปรีชา คือช่วยโทรศัพท์ไปเชิญวิทยากรอยู่สองสามราย และก่อนงานเล็กน้อย คุณอ้อม กรรณิการ์ ก็ส่งงานให้ช่วยดูเรื่องการขายหนังสือในงาน


คำตอบคือไม่ถนัด แต่ถือว่าเป็นเกียรติที่ได้เป็นผู้รับผิดชอบขายหนังสือของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์

 


ด้วยความเป็นมืออาชีพในการกระจายงาน และฉันเป็นคนมีน้องนุ่งเยอะ ฉันรีบโทรศัทพ์ไปหาน้อง ๆ ที่เป็นนักขายมาช่วยงานทันทีเพราะนอกจากไม่มีทักษะในการคิดเงินทอนเงินแล้ว ฉันยังเป็นคนชอบเดินไปเดินมานั่งไม่ค่อยติดที่อันเป็นนิสัยของคนทำงานข่าวมาก่อน เอาล่ะได้คุณอ๊อดมือขายอันดับต้น ๆ ของคนเขียนป้ายตามงานต่าง ๆ เขามีประสบการณ์การขายมาตั้งแต่สมัยชุมชนคนรักป่าทำหนังสือ น้องปุ้ย สาวเซอร์ ๆ น้องเอ๋ สาวเอ็นจีโอ มือวางอันดับสองในสัปดาห์ที่อ๊อดไม่ว่าง น้องอุ๋ยโทร.มาสมัครขอช่วยอีกคนแต่บอกไปว่าให้ไปช่วยคุณดวงทำน้ำยาขนมจีน

ฉันเดินทางมาถึงช่วงบ่ายโมงกว่า ๆ คุณอ๊อดผู้น่ารักจัดเตรียมหนังสือขึ้นโต๊ะเรียบร้อย ฉันไม่ได้มาคนเดียว เพราะมีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น ก่อนจะออกจากบ้านหลานชายคนโตเดินมาบอกว่า

ป้าครับ ขอไปงานอำลา ’รงค์ วงษ์สวรรค์ด้วยได้ไหม”
โอ
...ฉันยิ้มให้กับต้นมะขาม ได้คนช่วยขายหนังสืออีกคนแล้ว วันแรกจึงได้สองหนุ่มน้องซันกับคุณอ๊อด

หนังสือเล่มใหญ่ ’รงค์ วงษ์สวรรค์
(หนุ่ม) นิรันดร์กาล พิมพ์โดย แพรวสำนักพิมพ์ เป็นชุดพิเศษ ห้าเรื่องเอก หรือเรียกว่า ห้าเล่มเอกก็ได้ เอามารวมเป็นเล่มเดียว มีสนิมสร้อย เสเพลบอยชาวไร่ มาเฟียก้นซอย มาดเกี้ยว และปีนตลิ่ง เล่มใหญ่ งดงาม และเบาด้วย ปกแข็ง นี้เป็นการทำด้วยใจ

 


คุณชีวา ชีวา ผู้ทำงานอยู่ที่สำนักพิมพ์แพรวยาวนาน และเป็นเพื่อนกับฉันยาวนานด้วย ครั้งนี้เขาคงมาพร้อมกับหนังสือเล่มใหญ่

คุณอิ๋วหนึ่งในผู้เกี่ยวข้องจัดงานบอกฉันว่า หนังสือที่ฉันให้เธอช่วยเป็นธุระจัดพิมพ์เสร็จแล้ว กองอยู่บนโต๊ะรอพี่มาแกะห่อ ฉันดึงหนังสือปกเหลือง สวนของนักเขียน ออกมา พร้อมกับพูดเล่น ๆ ว่า “พวกสำนักพิมพ์บอกว่า อาจจะขายไม่ได้ถ้าเราเชื่อเช่นนั้นเราก็จำยอมเกินไปเราจึงพิมพ์เอง”

ใช่แล้ว นักเขียนต้องช่วยกันผลักดันกันเอง แล้วเราก็ช่วยกันอ่านเอง” ใครสักคนหนึ่งพูดขึ้น

สวนของนักเขียน ’รงค์ วงษ์สวรรค์ หนังสือเล่มนี้ คนสองคนที่มีอาชีพเป็นคนเขียนหนังสือและอยู่บ้านเดียวกัน เขียนถึงคุณรงค์ ซึ่งเป็นงานแรกที่เราสองคนเขียนถึงคนคนหนึ่งด้วยความรู้สึกดี ๆ โดยที่เราไม่ได้ปรึกษาพูดคุยกันต่างคนต่างเขียน และเป็นครั้งแรกที่เราอยากจะเอางานของเรามารวมไว้ด้วยกัน

เป็นการทำด้วยใจมากกว่าเหตุผล

นอกจากนี้ก็ยังมีหนังสืออีกหลายปกที่เป็นหนังสือที่คุณ’รงค์ วงษ์สวรรค์ เขียน เป็นหนังสือที่สัมภาษณ์คุณ’รงค์ ของสำนักพิมพ์ต่าง ๆ เช่น ฟรีฟอร์ม ฯลฯ

เดินเข้าไปดูในหอประชุมดอกไม้สีขาวถูกจัดเตรียมไว้คาระคุณรงค์ ฝ่ายจัดสถานที่กำลังตัดแปะตัวอักษรอยู่ ลูกชายและภรรยา นักเขียน นักอ่านเริ่มทยอยกันมา

พิธีเปิดงานเริ่มขึ้นหลานชายมาบอกว่า “ป้า ไม่เอาดอกไม้ขาวไปไหว้คุณรงค์เหรอ เขาไหว้กันหมดแล้วนะ”

คุณประภัสสร เสวิกุล มาปาฐกถาพิเศษ
นำปาฐกถามาวางให้อ่านกันสักสองย่อหน้านะคะ

ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกครับในการที่ปลาซิวปลาสร้อยจะพรรณนาถึงความอลังการของมหาสมุทร หรือนกปรอทจะบรรยายถึงความโอฬารของเวิ้งฟ้า และเป็นเรื่องยากขึ้นไปกว่านั้นเมื่อผมจะต้องพูดถึง รงค์ วงษ์สวรรค์ ซึ่งในความรู้สึกของผมนั้นยิ่งใหญ่มโหฬารเหนือท้องน้ำและน่านฟ้าแห่งบรรณภพไทย


ผมรู้จัก ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ มาเป็นเวลานานกว่า 40 ปี เริ่มแรกของการรู้จักมาจากการเป็นแฟนพันธุ์แท้ของนักเขียนที่ใช้นามปากกาแปลกจากนักเขียนคนอื่น ๆ ในยุคนั้น ถ้าถามต่อไปว่าเหตุใดผมจึงชอบงานของ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ คงตอบด้วยสำนวนวัยรุ่นสมัยนี้ว่าเพราะ “โดนใจวัยโจ๋”แต่ ใน พ..นั้น ก็ต้องตอบด้วยสำนวนออเหลนว่า “เข้าไส้”

อะไรคือ ออเหลน หลายคนอาจจะงง ๆ ออเหลน คือคำแสลงที่ใช้เรียกวัยรุ่นยุค พ..2500 เศษ ๆ จากการที่นิยมแต่งกายด้วยกางเกงขาลีบ เสื้อเชิ้ตแนบตัว เมื่อประกอบกับรูปร่างที่ผอมแห้งแรงน้อยซึ่งเป็นพิมพ์นิยมในสมัยนั้น มองดูแล้วก็ชวนให้นึกถึงจิ้งเหลน จนมีคำเรียกว่าหนุ่มทรงจิ้งเหลน แต่ไป ๆ มา ๆ ทำไมถึงกลายเป็นออเหลนไปได้ ผมก็ยังนึกไม่ออก


(
ฉบับเต็ม ๆ ไปอ่านที่เนื้อข่าวประชาไทค่ะ)

 

 

ในงานยังมี กาแฟดอยช้างมาบริการให้ดื่มกันฟรี ๆ พร้อมกับชา และขนมสวย ๆ ของร้าน กรีนโทน ไอศครีมมีส ซิสไอซี่

งานจบลงด้วยการบรรเลงเพลงของวงสุดสะแนน ในช่วงเวลาหกโมง มีเสียงบ่นว่าทำไมผู้คนที่เดินทางมาในงานจึงไม่มาก มีการทำประชาสัมพันธ์น้อยไปหรือเปล่า

ฉันไม่ได้ตอบ แต่คิดในใจว่า งานนักเขียนมีคนร้อยกว่าคนก็ถือว่า ใช้ได้แล้ว เพราะนักเขียนไม่ใช่นักแสดง และนักเขียนบางคนเขาก็ไม่ค่อยอยากจะออกมา วันนี้เป็นวันเปิดงานวันแรก คนที่อยู่กรุงเทพฯเขาก็ยังไม่มา มีงานนิทรรศการทุกวันตั้งแต่วันที่
9 ถึง 31 มกราคม ทุกเสาร์อาทิตย์มีกิจกรรมเสวนา มีดนตรี ใครจะมาวันไหนก็ได้ นักเขียนบางคนอาจจะแอบมาในช่วงกลางวันที่ไม่มีใครก็ได้

ส่วนตัวฉันว่า เรียบง่ายงดงามดีแล้วค่ะ คนที่เดินเข้ามาในงานไม่ว่านักอ่านหรือนักเขียนก็เป็นคล้ายเจ้าภาพกันทุกคน


ปล
.มาบอกกันอีกครั้งหนึ่งค่ะ 9 – 31 มกราคม มีกิจกรรมเสวนา ดนตรี ที่หอศิลป์ม.. ตั้งแต่บ่ายสองโมงเป็นต้นไปค่ะ เสาร์ อาทิตย์นี้มี

16 มกราคม 2533

13.00
. เสวนา "พินิจวรรณกรรม สำนวนเพรียวลม โดย  สุมิตรา จันทร์เงา และ พิบูลย์ศักดิ์ ละครพล
15.30
. เสวนา "กว่าจะเป็นภาพประกอบและปกหนังสือ"ช่วง มูลพินิจ ทองธัช เทพารักษ์
17.00
. คอนเสิร์ต " Rong Wong - Savun...Fly To Heaven" จากวงดนตรี 20 กว่าวง พร้อมกับการประมูลภาพเขียนและภาพถ่าย 'รงค์ วงษ์สวรรค์

17
มกราคม 2553

13.00
. เสวนา “จากฮิปปี้ถึงฮิปฮอป...หนัง และเพลงในช่วงชีวิตของ’รงค์ วงษ์สวรรค์” โดย ทิวา สาระจูฑะ อารี แท่นคำ ขุนทอง อสุนี ณ อยุธยา นรเศรษฐ์ หมัดคง ตุ๊ก บราส เซอรี่
16.00
. เสวนา “อะไรอีกมากมาย...เบื้องหลังการทำหนังสืองานศพ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ ” โดย บินหลา สันกาลาคีรีวรพจน์ พันธุ์พงศ์ ภิญโญ ไตรสุริยะธรรมา ฯลฯ


(18
มกราคม 2553พระราชทานเพลิงศพ ที่สุสานสันกู่เหล็ก)

 

 

 

 

บล็อกของ แพร จารุ

แพร จารุ
นี้ไม่ใช่เรื่องสั้นหรือเรื่องแต่งแต่เป็นเรื่องจริง และนี้เป็นเรื่องน่าเศร้า ไม่ใช่เรื่องตลกแต่ถ้าคุณจะหัวเราะก็มีสิทธิที่จะทำได้ เพราะฉันก็หัวเราะไปแล้ว  เรื่องจริงที่จะเล่าให้ฟัง ...เรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะ  ที่เชียงใหม่ ยามค่ำคืน มีหญิงสาวคนหนึ่งขับรถโฟล์คสีบานเย็น อยู่บนถนนสายหางดงเชียงใหม่ ในขณะขับรถไปนั้น น้ำมันหมด เพราะที่วัดระดับน้ำมันเสีย เธอรีบโทรศัพท์ไปหาน้องสาว บอกเส้นทางที่ตัวเองอยู่ แต่โทรศัพท์แบต หมดก่อนที่จะทันคุยกันรู้เรื่อง
แพร จารุ
"สงสารท่านผู้นำ" นาน ๆ ฉันถึงจะได้ยินคำพูดแบบนี้ ฉันจึงหยุดมองเธอคนพูด และเห็นว่าในมือของเธอถือหนังสือพิมพ์การเมืองรายสัปดาห์ที่หน้าปกมีรูปท่านผู้นำของเธอ "ทำไมถึงสงสาร" ฉันเสี่ยงถาม "ก็เขาไม่ได้กลับบ้าน"ฉันพยักหน้ารับคำแบบสงวนท่าที่ ไม่ผลีผลามแสดงความคิดเห็น แต่ก็รู้สึกประทับใจในเหตุผล เพราะไม่ว่าจะเป็นใครที่ไม่ได้กลับบ้านน่าสงสารทั้งนั้น ฉันเองก็เป็นหนึ่งคนที่ไม่ได้กลับบ้านในช่วงปีใหม่ คนไม่ได้กลับบ้านน่าสงสารจริงๆ ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไรมาก
แพร จารุ
เมื่อฉันดูข่าวสารบ้านเมืองในปัจจุบันนี้ ทำให้นึกถึงเหตุการณ์เมื่อวัยเยาว์ และอยากจะเล่าเอาไว้ เพราะพฤติกรรมของผู้ใหญ่ส่งผลต่อเด็กจริง ๆ ค่ะ ใครบางคนอาจจะไม่ทันคิดว่า การแสดงพฤติกรรมบางอย่างของผู้ใหญ่ เป็นได้มากกว่าการสอนเด็ก ๆ พฤติกรรมของผู้ใหญ่บางอย่างอาจส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของเด็กในอนาคตได้
แพร จารุ
ไนท์ซาฟารีที่อยู่ของสัตว์กลางคืน ฉันไม่เคยไปที่นั่นสักครั้งเดียว แม้ว่าจะมีงานเปิดอย่างยิ่งใหญ่ ใครต่อใครก็เดินทางไปที่นั่น และฉันถูกถามบ่อยๆ ว่า “ไปไนท์ซาฟารีมาหรือยัง” “ทำไมไม่ไป” ฉันได้แต่ยิ้มๆ ไม่ได้ตอบอะไร นอกจากว่า คนถามมีเวลาจริง ๆ ฉันก็จะอธิบายให้เขาฟังว่า ที่ไม่ไปเพราะไม่เห็นด้วยกับการสร้างไนท์ซาฟารีตั้งแต่ต้นและเห็นด้วยกับกลุ่มคัดค้านมาโดยตลอด ไปประชุมสัมมนากับเขาเสมอ
แพร จารุ
ธันวาคมเป็นเดือนที่มีญาติพี่น้องผองเพื่อนเดินทางมาเที่ยวบ้าน ดังนั้นเราจะไม่ไปไหนคือตั้งรับอยู่ที่บ้าน พวกเขามักจะมาพักหนึ่งคืนแล้วไปเที่ยวกันต่อ บางกลุ่มก็วกกลับมาอีกครั้งก่อนเดินทางกลับ พวกเขาจะค้างกันอย่างมากก็สองคืน  เรามีบ้านหลังเล็กมากๆ แต่มีบ้านพ่อหลังใหญ่ บ้านที่พ่อสามีทิ้งไว้เป็นสมบัติส่วนกลาง แรกเราคิดว่าจะให้เพื่อนๆ ไปพักชั้นบนของบ้านหลังนั้น แต่เอาเข้าจริงสองปีที่ผ่านมา ไม่มีใครไปพักหลังนั้นเลย
แพร จารุ
คราวนี้เสียงจากคนเชียงใหม่จริง ๆ ค่ะ เธอเขียนมาถึงดิฉัน พร้อมกับจดหมายสั้น ๆ ว่า ขอร่วมเขียนแถลงการณ์คัดค้าน การสร้างประตูระบายน้ำกั้นแม่น้ำปิงด้วยค่ะ เธอแนะนำตัวมาสั้นๆ ว่าเป็นคนเชียงใหม่โดยกำเนิด บ้านอยู่ข้างสถานีรถไฟ ข้ามสะพานนวรัตน์ เห็นฝายพญาคำมาตั้งแต่เล็ก ต้องขอโทษด้วยที่ทำจดหมายของเธอตกค้างอยู่นานนับเดือน กว่าจะได้เอามาลงให้ เชิญอ่านได้เลยค่ะ
แพร จารุ
 ฤดูฝนที่ผ่านมา ชาวบ้านตีนผาบ้านในหุบเขา ได้ปลูกต้นไม้บนดอย ครั้งนี้เป็นการปลูกเพื่อเป็นแนวกั้นระหว่างพื้นที่ทำกินกับเขตอุทยาน  เป็นการการทำแนวรั้วต้นไม้ในเช้าวันที่มีการปลูกต้นไม้สำหรับเป็นแนวเขตรั้ว ชาวบ้านตีนผาพร้อมเพรียงและจริงจัง ตั้งแต่เช้า กินข้าวแล้วเตรียมพร้อม มารวมตัวกันอยู่ที่หน้าโบสถ์ เพื่อขนกล้าไม้ไปปลูก มีทั้งผู้ใหญ่และเยาวชนและเด็กเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน  ผู้ช่วยหัวหน้าอุทยานและเจ้าหน้าที่มากันพร้อม ผู้ใหญ่บ้าน นายวรเดช กล่าวว่า"การทำแนวรั้วเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมพื้นฟูรักษาป่านั่นแหละ"
แพร จารุ
 วันนี้ ฉันพบดอกไม้บนดอยสูงมากมาย ดอกไม้เล็ก ๆ เหมือนดาว กระจายอยู่ทั่วหุบเขา หลากสีสดใส ทั้งเหลือง ส้ม และสีม่วง หลายครั้งที่ผ่านทางมา เรามาด้วยความเร็วมาก จุดหมายอยู่ที่หลังดอย หมู่บ้านเล็ก ๆ หมู่บ้านหนึ่ง ความเร็วความรีบเร่งทำให้เราไม่ได้เห็นอะไรมากนักระหว่างทาง  ความหมายไม่ได้อยู่ที่ปลายทางแต่อยู่ที่ระหว่างทางที่ได้พบเจอ การได้ชื่นชมกับบรรยากาศระหว่างทาง นั่นเอง การเดินทางมาครั้งนี้เรามากับทีมช่างภาพสองคนและผู้ติดตามเป็นหญิงสาวน่ารักอีกหนึ่งคน มีเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯเป็นชายหนุ่มสองคน
แพร จารุ
  วิถีชีวิตกับไม้ไผ่คู่กัน เมื่อลุงมาบอกว่า วิถีชีวิตปกาเก่อญอกับไม้ไผ่นั่นคู่กัน วันนี้คนรุ่นพะตี(ลุง) จึงต้องสอนให้ลูกหลานรู้จักจักสาน เพราะว่าเด็ก ๆ รุ่นใหม่ ไม่ค่อยรู้เรื่องจักสานแล้ว พะตีมาบอกว่า ถ้าไม่ได้สอนไว้หมดรุ่นพะตีแล้วก็จะหมดรุ่นไปเลย ทั้งที่วิถีปกาเก่อญอกับไม้ไผ่นั่นคู่กัน ฟังพะตีว่า ลูกหลานปกาเก่อญอไม่รู้จักการใช้ไม่ไผ่ ฉันคิดถึงลุงที่บ้านแกว่าลูกชาวเลทำปลากินไม่เป็น ไม่ใช่หาปลามากิน แต่ทำปลากินไม่เป็นนั่นคือเขาหามาให้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะทำกินอย่างไร ขูดเกล็ดปลาออกจากตัวปลาไม่เป็น ดึงขี้ปลาออกไม่เป็น เป็นต้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะอะไร…
แพร จารุ
อยู่อย่างมีสิทธิและศักดิ์ศรี“สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือ ชุมชนจะต้องเข้มแข็ง พึ่งตนเองได้ ลดการพึ่งพาภายนอก ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง และอยู่อย่างมีสิทธิและศักดิ์ศรี”แต่นั่นแหละ คำพูดเพราะๆ เช่นนี้จะเป็นจริงไปได้อย่างไร ในปัจจุบันนี้ หมู่บ้านเล็กๆ ในชุมชนหลายแห่งไม่สามารถพึ่งตนเองได้ การดำเนินชีวิตขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก เช่น ขึ้นอยู่กับราคาผลผลิตที่ถูกกำหนดโดยตลาดทุนจากพืชเศรษฐกิจ 
แพร จารุ
พื้นที่ป่าในประเทศไทย เป็นพื้นที่ที่มีคนอาศัยอยู่ก่อนแล้ว โดยเฉพาะชุมชนชาวเขาทั้งหลายที่อาศัยก่อน ต่อมาพื้นที่ป่าก็ถูกประกาศเป็นพื้นที่ในเขตอุทยานแห่งชาติ หลายแห่งที่พยายามเอาคนออกจากป่า ตัวอย่างการย้ายคนออกจากพื้นที่เดิมมีอยู่หลายแห่ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนที่ถูกย้ายและสังคมโดยรวมเป็นอย่างมาก เพราะทำให้เกิดปัญหาการย้ายถิ่นจากชนบทสู่เมือง การอพยพแรงงาน และปัญหาอื่นๆ ติดตามมาอีกมากมาย ทางออกหนึ่งก็คือการสนับสนุนให้คนที่อยู่ในป่าได้อยู่ในพื้นที่เดิมและดูแลป่าด้วยดังนั้น การทำความเข้าใจ ให้คนอยู่กับป่าได้และดูแลป่า น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี มีคำถามว่า…
แพร จารุ
ฉันเพิ่งกลับมาจากหมู่บ้านหลังดอยค่ะ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่ได้คุยกับใครนอกพื้นที่ แต่ทันทีที่ลงมาจากดอย เปิดเมลพบว่ามีรูป ฯพณฯ ท่าน "สมชาย วงศ์สวัสดิ์ " ที่มีหน้าเปื้อนสีเลือดส่งเข้ามา ใต้ภาพเขียนว่า “คนบ้านเดียวกันกับคุณ-งานหน้าไม่ล่ะ” ฉันลบภาพทิ้งทันที และรีบไปที่ก๊อกน้ำล้างหน้า แต่ความรู้สึกสลดหดหู่ไม่ได้จางหาย มันหดหู่จริง ๆ “คนบ้านเดียวกัน” กับ “เสื้อสีเดียวกัน” นอกจากแยกเสื้อแดงเสื้อเหลืองแล้ว ยังแยกคนลูกบ้านไหนกันด้วย