Skip to main content

 

เล่าเรื่องงาน อำลา ’รงค์ วงษ์สวรรค์ เปิดงานไปเมื่อวันที่ 9 มกราคม ยามแดดร่มลมตก หน้าที่ของฉันในงานนี้ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลงานขายหนังสือ ฉันรับปากไปว่า “ได้ค่ะ” ทั้งที่ไม่มีความชำนาญเรื่องการขาย หรือเรียกว่าไม่มีทักษะสักนิดเดียว และมักจะคิดตัวเลขผิด วิชาคณิตศาสตร์ตั้งแต่บวกลบคูณหารไม่เก่งเลย ยิ่งวิชาเลขคณิตคิดในใจนี้ไม่ได้เลย แต่ เพราะว่าในช่วงที่เขาประชุมเรื่องการดำเนินการจัดงานฉันไมได้เข้าร่วมประชุม ไปจัดการเรื่องขอประนอมหนี้ธนาคารอาคารสงเคราะห์เพราะถ้าเขายึดคอนโดฯห้องเท่าแมวดิ้นตายไปกลัวว่าเมื่อธนาคารเอาไปขายทอดตลาดแล้วยังเป็นหนี้จนถูกฟ้องล้มลายแบบนักแสดงตลกท่านหนึ่ง


\\/--break--\>

เมื่อไม่ได้มาประชุมก็เขียนไปในทวิตเตอร์ว่า ขอเสนอตัวช่วยงานด้วยคน ยกเว้นการจัดสถานที่ให้สวยงามนั่นทำไม่เป็น ยกของยกเก้าอี้โต๊ะก็ไม่เอาเพราะแรงไม่พอ ฉันจึงได้ช่วยงานอยู่สองงานผ่านทางคุณเสย องอาจ ฤทธิ์ปรีชา คือช่วยโทรศัพท์ไปเชิญวิทยากรอยู่สองสามราย และก่อนงานเล็กน้อย คุณอ้อม กรรณิการ์ ก็ส่งงานให้ช่วยดูเรื่องการขายหนังสือในงาน


คำตอบคือไม่ถนัด แต่ถือว่าเป็นเกียรติที่ได้เป็นผู้รับผิดชอบขายหนังสือของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์

 


ด้วยความเป็นมืออาชีพในการกระจายงาน และฉันเป็นคนมีน้องนุ่งเยอะ ฉันรีบโทรศัทพ์ไปหาน้อง ๆ ที่เป็นนักขายมาช่วยงานทันทีเพราะนอกจากไม่มีทักษะในการคิดเงินทอนเงินแล้ว ฉันยังเป็นคนชอบเดินไปเดินมานั่งไม่ค่อยติดที่อันเป็นนิสัยของคนทำงานข่าวมาก่อน เอาล่ะได้คุณอ๊อดมือขายอันดับต้น ๆ ของคนเขียนป้ายตามงานต่าง ๆ เขามีประสบการณ์การขายมาตั้งแต่สมัยชุมชนคนรักป่าทำหนังสือ น้องปุ้ย สาวเซอร์ ๆ น้องเอ๋ สาวเอ็นจีโอ มือวางอันดับสองในสัปดาห์ที่อ๊อดไม่ว่าง น้องอุ๋ยโทร.มาสมัครขอช่วยอีกคนแต่บอกไปว่าให้ไปช่วยคุณดวงทำน้ำยาขนมจีน

ฉันเดินทางมาถึงช่วงบ่ายโมงกว่า ๆ คุณอ๊อดผู้น่ารักจัดเตรียมหนังสือขึ้นโต๊ะเรียบร้อย ฉันไม่ได้มาคนเดียว เพราะมีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น ก่อนจะออกจากบ้านหลานชายคนโตเดินมาบอกว่า

ป้าครับ ขอไปงานอำลา ’รงค์ วงษ์สวรรค์ด้วยได้ไหม”
โอ
...ฉันยิ้มให้กับต้นมะขาม ได้คนช่วยขายหนังสืออีกคนแล้ว วันแรกจึงได้สองหนุ่มน้องซันกับคุณอ๊อด

หนังสือเล่มใหญ่ ’รงค์ วงษ์สวรรค์
(หนุ่ม) นิรันดร์กาล พิมพ์โดย แพรวสำนักพิมพ์ เป็นชุดพิเศษ ห้าเรื่องเอก หรือเรียกว่า ห้าเล่มเอกก็ได้ เอามารวมเป็นเล่มเดียว มีสนิมสร้อย เสเพลบอยชาวไร่ มาเฟียก้นซอย มาดเกี้ยว และปีนตลิ่ง เล่มใหญ่ งดงาม และเบาด้วย ปกแข็ง นี้เป็นการทำด้วยใจ

 


คุณชีวา ชีวา ผู้ทำงานอยู่ที่สำนักพิมพ์แพรวยาวนาน และเป็นเพื่อนกับฉันยาวนานด้วย ครั้งนี้เขาคงมาพร้อมกับหนังสือเล่มใหญ่

คุณอิ๋วหนึ่งในผู้เกี่ยวข้องจัดงานบอกฉันว่า หนังสือที่ฉันให้เธอช่วยเป็นธุระจัดพิมพ์เสร็จแล้ว กองอยู่บนโต๊ะรอพี่มาแกะห่อ ฉันดึงหนังสือปกเหลือง สวนของนักเขียน ออกมา พร้อมกับพูดเล่น ๆ ว่า “พวกสำนักพิมพ์บอกว่า อาจจะขายไม่ได้ถ้าเราเชื่อเช่นนั้นเราก็จำยอมเกินไปเราจึงพิมพ์เอง”

ใช่แล้ว นักเขียนต้องช่วยกันผลักดันกันเอง แล้วเราก็ช่วยกันอ่านเอง” ใครสักคนหนึ่งพูดขึ้น

สวนของนักเขียน ’รงค์ วงษ์สวรรค์ หนังสือเล่มนี้ คนสองคนที่มีอาชีพเป็นคนเขียนหนังสือและอยู่บ้านเดียวกัน เขียนถึงคุณรงค์ ซึ่งเป็นงานแรกที่เราสองคนเขียนถึงคนคนหนึ่งด้วยความรู้สึกดี ๆ โดยที่เราไม่ได้ปรึกษาพูดคุยกันต่างคนต่างเขียน และเป็นครั้งแรกที่เราอยากจะเอางานของเรามารวมไว้ด้วยกัน

เป็นการทำด้วยใจมากกว่าเหตุผล

นอกจากนี้ก็ยังมีหนังสืออีกหลายปกที่เป็นหนังสือที่คุณ’รงค์ วงษ์สวรรค์ เขียน เป็นหนังสือที่สัมภาษณ์คุณ’รงค์ ของสำนักพิมพ์ต่าง ๆ เช่น ฟรีฟอร์ม ฯลฯ

เดินเข้าไปดูในหอประชุมดอกไม้สีขาวถูกจัดเตรียมไว้คาระคุณรงค์ ฝ่ายจัดสถานที่กำลังตัดแปะตัวอักษรอยู่ ลูกชายและภรรยา นักเขียน นักอ่านเริ่มทยอยกันมา

พิธีเปิดงานเริ่มขึ้นหลานชายมาบอกว่า “ป้า ไม่เอาดอกไม้ขาวไปไหว้คุณรงค์เหรอ เขาไหว้กันหมดแล้วนะ”

คุณประภัสสร เสวิกุล มาปาฐกถาพิเศษ
นำปาฐกถามาวางให้อ่านกันสักสองย่อหน้านะคะ

ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกครับในการที่ปลาซิวปลาสร้อยจะพรรณนาถึงความอลังการของมหาสมุทร หรือนกปรอทจะบรรยายถึงความโอฬารของเวิ้งฟ้า และเป็นเรื่องยากขึ้นไปกว่านั้นเมื่อผมจะต้องพูดถึง รงค์ วงษ์สวรรค์ ซึ่งในความรู้สึกของผมนั้นยิ่งใหญ่มโหฬารเหนือท้องน้ำและน่านฟ้าแห่งบรรณภพไทย


ผมรู้จัก ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ มาเป็นเวลานานกว่า 40 ปี เริ่มแรกของการรู้จักมาจากการเป็นแฟนพันธุ์แท้ของนักเขียนที่ใช้นามปากกาแปลกจากนักเขียนคนอื่น ๆ ในยุคนั้น ถ้าถามต่อไปว่าเหตุใดผมจึงชอบงานของ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ คงตอบด้วยสำนวนวัยรุ่นสมัยนี้ว่าเพราะ “โดนใจวัยโจ๋”แต่ ใน พ..นั้น ก็ต้องตอบด้วยสำนวนออเหลนว่า “เข้าไส้”

อะไรคือ ออเหลน หลายคนอาจจะงง ๆ ออเหลน คือคำแสลงที่ใช้เรียกวัยรุ่นยุค พ..2500 เศษ ๆ จากการที่นิยมแต่งกายด้วยกางเกงขาลีบ เสื้อเชิ้ตแนบตัว เมื่อประกอบกับรูปร่างที่ผอมแห้งแรงน้อยซึ่งเป็นพิมพ์นิยมในสมัยนั้น มองดูแล้วก็ชวนให้นึกถึงจิ้งเหลน จนมีคำเรียกว่าหนุ่มทรงจิ้งเหลน แต่ไป ๆ มา ๆ ทำไมถึงกลายเป็นออเหลนไปได้ ผมก็ยังนึกไม่ออก


(
ฉบับเต็ม ๆ ไปอ่านที่เนื้อข่าวประชาไทค่ะ)

 

 

ในงานยังมี กาแฟดอยช้างมาบริการให้ดื่มกันฟรี ๆ พร้อมกับชา และขนมสวย ๆ ของร้าน กรีนโทน ไอศครีมมีส ซิสไอซี่

งานจบลงด้วยการบรรเลงเพลงของวงสุดสะแนน ในช่วงเวลาหกโมง มีเสียงบ่นว่าทำไมผู้คนที่เดินทางมาในงานจึงไม่มาก มีการทำประชาสัมพันธ์น้อยไปหรือเปล่า

ฉันไม่ได้ตอบ แต่คิดในใจว่า งานนักเขียนมีคนร้อยกว่าคนก็ถือว่า ใช้ได้แล้ว เพราะนักเขียนไม่ใช่นักแสดง และนักเขียนบางคนเขาก็ไม่ค่อยอยากจะออกมา วันนี้เป็นวันเปิดงานวันแรก คนที่อยู่กรุงเทพฯเขาก็ยังไม่มา มีงานนิทรรศการทุกวันตั้งแต่วันที่
9 ถึง 31 มกราคม ทุกเสาร์อาทิตย์มีกิจกรรมเสวนา มีดนตรี ใครจะมาวันไหนก็ได้ นักเขียนบางคนอาจจะแอบมาในช่วงกลางวันที่ไม่มีใครก็ได้

ส่วนตัวฉันว่า เรียบง่ายงดงามดีแล้วค่ะ คนที่เดินเข้ามาในงานไม่ว่านักอ่านหรือนักเขียนก็เป็นคล้ายเจ้าภาพกันทุกคน


ปล
.มาบอกกันอีกครั้งหนึ่งค่ะ 9 – 31 มกราคม มีกิจกรรมเสวนา ดนตรี ที่หอศิลป์ม.. ตั้งแต่บ่ายสองโมงเป็นต้นไปค่ะ เสาร์ อาทิตย์นี้มี

16 มกราคม 2533

13.00
. เสวนา "พินิจวรรณกรรม สำนวนเพรียวลม โดย  สุมิตรา จันทร์เงา และ พิบูลย์ศักดิ์ ละครพล
15.30
. เสวนา "กว่าจะเป็นภาพประกอบและปกหนังสือ"ช่วง มูลพินิจ ทองธัช เทพารักษ์
17.00
. คอนเสิร์ต " Rong Wong - Savun...Fly To Heaven" จากวงดนตรี 20 กว่าวง พร้อมกับการประมูลภาพเขียนและภาพถ่าย 'รงค์ วงษ์สวรรค์

17
มกราคม 2553

13.00
. เสวนา “จากฮิปปี้ถึงฮิปฮอป...หนัง และเพลงในช่วงชีวิตของ’รงค์ วงษ์สวรรค์” โดย ทิวา สาระจูฑะ อารี แท่นคำ ขุนทอง อสุนี ณ อยุธยา นรเศรษฐ์ หมัดคง ตุ๊ก บราส เซอรี่
16.00
. เสวนา “อะไรอีกมากมาย...เบื้องหลังการทำหนังสืองานศพ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ ” โดย บินหลา สันกาลาคีรีวรพจน์ พันธุ์พงศ์ ภิญโญ ไตรสุริยะธรรมา ฯลฯ


(18
มกราคม 2553พระราชทานเพลิงศพ ที่สุสานสันกู่เหล็ก)

 

 

 

 

บล็อกของ แพร จารุ

แพร จารุ
“จึงขอตั้งจิตมั่นว่าจะพูดแต่ความจริงด้วยถ้อยคำที่ก่อให้เกิดความมั่นใจ ความเบิกบาน และความหวัง โดยไม่กระพือข่าวที่ตัวเองไม่รู้แน่ชัด รวมทั้งไม่วิพากษ์วิจารณ์ หรือกล่าวโทษในสิ่งที่ตัวเองไม่แน่ใจ” ฉันชอบถ้อยคำนี้มาก เป็นถ้อยคำ ที่เพื่อนนำมาฝากหลังจากที่เธอกลับมาจากภาวนา เรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะ... เพื่อนของฉันกลับมาจาก “ภาวนา” แบบหมู่บ้านพลัม เธอว่าดีงามมาก ใช้กับชีวิตได้ เธอพูดถึง ข้ออบรมสติ 5 ประการ แต่เธอเน้นข้อฝึกอบรม ข้อที่ 4 เธอเขียนส่งมาให้ฉันอ่าน ฉันคิดว่าเธอคงอยากให้ฉันตระหนักรู้ หรือไม่เธอก็บอกอ้อม ๆ ว่า ฉันเป็นคนที่ควรจะปฏิบัติเพราะฉันมีปัญหาในข้อนี้…
แพร จารุ
ระหว่างการพูดคุยกับเพื่อน เพื่อนนักเขียนของฉัน ไปอยู่ไกลถึงลอนดอน ช่วงที่ผ่านมาเธอกลับบ้านเพื่อมาส่งแม่เดินทางไกล เพราะครั้งนี้แม่ไปแล้วจะไม่กลับมาอีกเลย และไม่รู้ว่าเส้นทางสายยาวไกลของแม่อยู่ที่ไหน แต่สำหรับเธอ เชื่อว่า จะไปพบกันที่พระเจ้า เราไม่ได้พบหน้ากันมานาน ได้แต่คุยโทรศัพท์กัน ช่วงแรกเพื่อนนักเขียนของฉันนั่งทำงานเขียน นั่งวาดภาพ และปลูกต้นไม้อยู่ในเรือนกระจกอยู่ที่บ้าน ต่อมาเธอไม่เลือกที่จะนั่งเขียนหนังสืออยู่ที่บ้านแล้ว เธอไปทำงานที่พักคนชรา ทำงานอยู่กับคนแก่ ไม่ใช่เรื่องโรแมนติกแต่เป็นเรื่องจริงของชีวิต เธอมีการงานที่มีความเศร้า ความตายของคนแก่ที่นั่นอยู่เสมอ
แพร จารุ
ยามเช้าได้อ่านงานของดอกสตาร์ เธอเขียนจั่วหัวว่า เชียงใหม่แพ้ซ้ำซาก Chiangmai lost her beauties. ข้อเขียนของเธอบอกว่า ผังเมืองฉบับใหม่ซึ่งตอนนี้อยู่ในช่วง ๙๐ วัน ที่คนได้รับความเดือดร้อนจากผังเมืองฉบับนี้จะยื่นคำร้องเพื่อคัดค้าน ถ้ารัฐบาลไม่รับฟังและผังเมืองฉบับนี้ผ่าน โฉมหน้าเมืองเชียงใหม่คงจะอัปลักษณ์สุด ๆ รอวันตายลูกเดียว มีเรื่องฝายทั้งสามแห่งคือ ฝายพญาคำ ฝายหนองผึ้งและฝ่ายท่าศาลาอีก ของเก่าแก่ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษสร้างไว้ให้ลูกหลานชาวล้านนาได้ประโยชน์กลับจะรื้อทิ้งโดยเห็นแก่ประโยชน์เล็กน้อยที่เทียบไม่ได้เลยกับความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นกับบ้านเมืองกับลูกหลานในอนาคต“…
แพร จารุ
พ่อหมื่นแก่ฝายคนสุดท้าย นัดพบที่หน้าฝายพญาคำ ในวันเสาร์ที่ 13 กันยายน เวลา 10.00 น. ร่วมทำพิธีสืบชะตาอีกครั้ง ชาวบ้านยอมให้มีการสร้างประตูระบายน้ำแล้ว แต่มีข้อแม้ว่า ห้ามทุบห้ามรื้อฝายโบราณทั้งสามฝาย หรือทดลองใช้ประตูระบายน้ำก่อนสองปี ว่าสามารถทดน้ำเข้าเหมืองเพื่อส่งเลี้ยงไร่นาได้หรือไม่ คือให้ลองดูว่าประตูน้ำทำหน้าที่แทนฝายหินทิ้งเก่าแก่ได้ดีแค่ไหน การจัดการน้ำด้วยระบบเหมืองฝายจะถูกเปลี่ยนมือ จากการจัดการโดยชาวบ้านในระบบแก่ฝายมาเป็นจัดการโดยรัฐชลประทาน ชาวบ้านผู้ใช้น้ำคิดอย่างไรถึงยินยอมทั้งที่ยื้อกันมานาน ถ้านับตั้งแต่ช่วงแรกที่จะมีการรื้อก็เกือบสิบปีแล้ว
แพร จารุ
ฉันได้เดินทางมายังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ตั้งใจจะมาเที่ยวตามป่าเขาแค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศ   รัฐบาล โดยนายอำเภอ และอุทยานแห่งชาติ จัดให้มีงานบวชป่า และส่งมอบอาวุธปืน มีหนังสือจากหน่วยงานของรัฐมาถึงผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านในเย็นวันหนึ่ง มีเสียงพูดกันเบา จับใจความได้ว่า พวกเขากังวล เพราะพวกเขาไม่มีปืนจะไปมอบ ฉันฟังอย่างไม่เข้าใจ ไม่รู้พวกเขาว่าจะกังวลทำไม ไม่มีก็ไม่ต้องมอบ บอกไปว่าเราไม่มีก็จบ ก็ไม่มีจะเอามาจากไหน
แพร จารุ
 “ไม่นานคนก็ตายกันหมดโลกแน่ ๆ”หญิงสาววัยเพิ่งผ่านเลขสามพูดขึ้นก่อนล้มตัวลงนอน “พี่เชื่อไหม ไม่นานผู้คนจะตายหมดโลก” เธอพูดอีกครั้ง “อะไรทำให้เธอคิดเช่นนั้น” ฉันถามออกไปด้วยความขลาดกลัว มานอนกลางป่ากลางเขาแล้วพูดถึง เรื่องความตาย  ไม่อยากจะฟังคำตอบจากเธอ รีบเตรียมถุงนอน พร้อมที่จะล้มตัวลงนอนใกล้ ๆ เธอ คืนนี้เราเลือกที่จะไม่นอนในบ้านสบาย ๆ แต่เลือกที่จะมานอนกันในป่าเปลี่ยนบรรยากาศ   เธออธิบายต่อว่า เมื่อกลางวันได้ยินข่าวแผ่นดินไหวที่เชียงราย 3.5 ริกเตอร์  เมื่อแผ่นดินไหวที่เชียงรายได้ ก็ไหวที่เชียงใหม่ได้ หรือที่อื่น ๆ ได้ และมันคงจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ “อือ...ก็น่าจะจริง…
แพร จารุ
 เธอได้ยินไหม  คนบ้านฉันเขาตัดไม้กันอยู่ เสียงดังกรูด ๆ ๆ แล้วไม่นานก็ได้ยินเสียงไม่ล้ม ฉันฟังจนแยกออกแล้วว่า เสียงที่ล้มลงมาต้นเล็กต้นใหญ่ขนาดไหน ฉันบอกเพื่อนไปเช่นนั้น ด้วยเราพูดกันอย่างไม่เห็นหน้าจึงไม่รู้ว่า เพื่อนทำหน้าตาอย่างไร เธอคงคาดไม่ถึงว่าได้ยินเสียงตอบเช่นนี้ เธอคงผิดหวังมากทีเดียวเพื่อนโทร.มาบอกให้ฉันช่วยเขียนเรื่องการปลูกต้นไม้ เป็นโครงการหนึ่งของมูลนิธิที่เธอทำงานอยู่ ชื่อว่า โครงการป่าเมือง หรือการปลูกต้นไม้ในเมืองนั่นเอง
แพร จารุ
ขอคั่นรายการหน้าโฆษณาหน่อยนะคะ บอกจริง ๆ ว่า ช่วงนี้รู้สึกโหวงเหวงอย่างบอกไม่ถูก คุณผู้อ่านรู้จักคำว่า โหวงเหวงไหม มันเป็นอาการซึม ๆ เศร้า ๆ และรู้สึกเบา ๆ ในหัวใจ  เมื่อทบทวนดูอาการแล้ว พบว่าน่าจะมาจากสภาพสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว ซึ่งน่าจะเป็นอาการผิดปกติจากข่าว ช่วงนี้มีข่าวมีคนตายเป็นหมื่นเป็นแสน และยังหายสาบสูญไปอีกเท่าไหร่ไม่รู้ อีกทั้งยังบาดเจ็บรอคอยอยู่อีกมาก
แพร จารุ
“พี่มันน่ากลัวจริง ๆ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ไม้พี่ไม้ ไม้เป็นหมื่น ๆ” เธอส่งเสียงมาเหมือนถูกผีหลอกกลางวัน“อยู่แดนสนธยาที่ไหน” ฉันถามกลับไปเพื่อให้ตัวเองตั้งสติหากมีเรื่องร้าย “ไม่ใช่ต้นไม้แต่เป็นไม้เป็นหมื่น ๆ ท่อนพี่ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย มันเยอะจริง เดี๋ยวจะถ่ายรูปส่งไปให้ดู บางต้นมีผ้าเหลืองผ้าแดงผูกโคนต้นด้วย” “ที่ไหน” “กิ่วคอหมาพี่ เขากำลังสร้างเขื่อนกิ่วคอหมา พี่รู้เรื่องนี้ไหม พูดแล้วขนลุกพี่ รอเดี๋ยว ๆ นะพี่นะจะส่งรูปไปให้ดู”“จ๊ะ แล้วเธอไปทำไม”“ขับรถผ่านมานะพี่  กลับมาจากลำปาง”เธอพูดหลายครั้งว่าเธอไม่เคยเห็นไม้เยอะขนาดนี้มาก่อนจริง ๆ และสงสัยว่าทำไมเขายังตัดไม้กันขนาดนี้…
แพร จารุ
เขาว่ากันว่า  เชียงใหม่เป็นเมืองแห่งธรรมชาติงดงาม เมืองวัฒนธรรมประเพณีเก่าแก่ จอดดูสักหน่อยซิเขาเล่ากันต่อว่า ช่วงสิบปีที่ผ่านมา เชียงใหม่เติบโตด้านการท่องเที่ยวสูงสุด ปีหนึ่งๆ มีคนมาเที่ยวเชียงใหม่มากมาย เชียงใหม่กลายเป็นเมืองที่ต้องรับภาระหาเงินทอง เมกกะโปรเจคขนาดใหญ่จึงเกิดขึ้นที่เมืองเชียงใหม่ว้าว! แล้วคนเชียงใหม่ คิดอย่างไรกับเมืองเชียงใหม่ หากไปถามคำถามนี้ ร้อยทั้งร้อยคนเชียงใหม่ต่างวิตกกังวล คนเชียงใหม่บอกว่า เมืองน่าอยู่นั้นคือเมื่อก่อน เมื่อก่อนซึ่งไม่นานเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวนี้ คนเชียงใหม่ลำบากกับรถติดในเมือง คนเชียงใหม่กลัวน้ำท่วมเหมือนปี 2548 ฤดูร้อน…
แพร จารุ
เมื่อไม่นานมานี้ ฉันไปร่วมงาน เปิดตัวหนังสืออาหารบ้านฉัน ที่บ้านแม่เหียะใน หัวหน้าอุทยานดอยสุเทพ มาเปิดงาน ฉันฟังเสียงของท่านไม่ค่อยได้ยิน เพราะว่ายืนไกลและที่บ้านแม่เหียะใน ไม่มีไฟฟ้าใช้ ต้องใช้เครื่องปั่นไฟ เสียงเครื่องปั่นไฟดังมาก จึงไปถามชาวบ้านที่ตั้งใจไปฟังใกล้ ๆ ว่าท่านพูดอะไร แน่นอนชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่อุทยานเขาต้องตั้งใจฟังทุกอย่างที่เจ้าหน้าที่อุทยานพูด เพราะว่าชีวิตขึ้นอยู่กับอุทยานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  หรือเรียกว่าอยู่ภายใต้กฎหมายอุทยาน “ท่านพูดว่า ท่านเข้าใจว่าที่ทำหนังสือเล่มนี้ทำขึ้นมาเพราะต้องการที่อยู่ที่กิน” หญิงสาวคนหนึ่งบอกว่าท่านพูดเช่นนั้น และเธอรู้สึกดีใจมาก“…
แพร จารุ
ป้าของฉันเป็นผู้หญิงธรรมดามาก ไม่เป็นที่รู้จักของใคร  ฉันคิดว่าคนที่ป้ารู้จักมีแต่หลาน ๆ กับคนข้างบ้านเท่านั้น และคนที่รู้จักป้าก็เช่นกัน ป้าเป็นผู้หญิงธรรมดาจริง ๆ แต่ฉันอยากเขียนถึงป้า เพราะน่าจะมีแต่ฉันที่จะเขียนถึงป้า และฉันก็น่าจะเป็นหลานคนเดียวที่ไม่เคยได้ทำอะไรให้ป้าเลยนอกจากเขียนถึงป้า ใจหายเหมือนกันเมื่อคิดว่า นี่คือสิ่งแรกที่ฉันจะทำให้ป้า ป้าฉันไม่มีอะไรพิเศษเลยนอกจากเป็นคนดี มีจิตใจที่ดีงาม ตั้งแต่ฉันรู้จักเป็นป้าหลานมา ฉันไม่เคยเห็นป้าทำอะไรไม่ดีเลย ไม่ใช่แกเป็นป้าที่ดีของพวกหลาน ๆ แกเท่านั้น แต่เป็นเพื่อนบ้านที่ดีของเพื่อนบ้าน ชีวิตป้ามีความสุขมาก ฉันคิดว่าป้ามีความสุขทุกวัน…