Skip to main content

 ฉันเชื่อว่า หากคนเรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทุกอย่างก็จะดีได้ไปกว่าครึ่ง

บางคนบอกว่า ต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน เช่น เรื่องทัศนคติที่มีต่อคนอื่น และตัดสินอย่างช้า ๆ
 
สามีของฉันบอกว่า จงรวดเร็วในการฟัง แต่จงเชื่องช้าในการตอบ คือให้ความสำคัญในการฟังมากๆ ก่อนจะตอบจึงจะดี จริงของเขาเพราะเดี๋ยวนี้มีแต่คนพูดและพูด แต่ไม่ค่อยฟังคนอื่น

ฉันเอาเรื่องนี้มาเขียนเพราะได้แรงบันดาลใจมาจากไปสังเกตการณ์เขาพูดคุยทบทวนประสบการณ์การทำงานกันของโครงการ (CHAMPION/MSM) และสมาคมฟ้าสีรุ้ง
 
 
                     
งานนี้เขาเรียกว่า การถ่ายทอดประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาว่า ทำงานได้ดีไหม สามารถไปสู่เป้าหมายได้หรือไม่ ในขณะที่นั่งฟังพวกเขาก็ทำให้คิดถึงตัวเองและแอบถอดประสบการณ์ตัวเองเงียบ ๆ ว่า งานที่ทำอยู่หรือการดำเนินชีวิตของเราในทุกวันนี้สามารถไปสู่เป้าหมายได้หรือไม่

เช่น งานปลูกต้นไม้ ฉันอยากให้หน้าบ้านมีรั้วต้นไม้แน่นหนา จนคนจากถนนมองเข้ามาในบ้านตัวเองไม่ได้ภายในหนึ่งปี หรือเพื่อนของฉันออกชวนชาวบ้านปลูกต้นไม้หวังเพิ่มพื้นที่สีเขียว ทำอยู่อย่างนี้จะเป็นไปได้ไหม

แต่ในส่วนของงานกิจกรรมโครงการ (
CHAMPION/MSM) และสมาคมฟ้าสีรุ้ง เขาทบทวนการทำงานในสายงานการป้องกันการติดเชื้อHIV ในรายใหม่ ตามเป้าหมาย 3 ปีไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ของชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย

และส่วนหนึ่งของการทำงานก็มีเรื่องความสัมพันธ์ของคนเป็นหลัก เพื่อจะไปสู่เป้าหมาย คือความสัมพันธ์กับชุมชน การยอมรับ การมีทัศนคติที่ดี การไม่ต้องตีตราว่ากล่าว
 

ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดว่า
“ถ้าคนเรามีความเคารพต่อคนอื่น ไม่ว่าเขาจะมีรูปร่างหน้าตา จิตใจ เพศ และความคิดเห็นต่างกับเราอย่างไร เราก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ เพราะเราต่างเคารพในความต่าง”
 
มีการตั้งคำถามทบทวนว่าเราเป็นใคร เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้ทบทวนตนเอง ทบทวนแนวคิดและความเชื่อพื้นฐาน อันเป็นตัวกำหนดแนวคิดและแนวทางในการทำงาน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของประสบการณ์ทำงานที่แตกต่างกันด้วยคำถามว่า
“อะไร คือสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่า เราเป็นคนมีวัฒนธรรม
 
คุณจะตอบว่าอย่างไร หากถูกถามหรือถามตัวเอง มีคำตอบมากมาย เช่น สามารถสืบพันธุ์ได้ เป็นคนดี คนเก่ง และทำให้เพื่อนมีความสุขได้ ด้วยการหัวเราะ มีศีลธรรม  มีให้มากกว่ารับ มีความรัก ความยุติธรรม อยู่ร่วมกับมนุษย์ได้ สามารถสื่อสารได้ สามารถพูดกับคนอื่นได้ มีสิทธิในการดำเนินชีวิตอยู่ในปัจจุบัน มีอารมณ์ความรู้สึก มีความเมตตา ฯลฯ (นี่คือในสิ่งที่ผู้คนในที่ประชุมตอบมา)
คำถามใหม่คือ ศักยภาพที่บ่งบอกความเป็นมนุษย์ 5 อย่างที่เรามี
มีความหวัง ในสิ่งที่ตนได้ตั้งใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีการดูแลซึ่งกันและกัน คือ ความเห็นอกเห็นใจ รับฟังปัญหากันและกัน ร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรค์ (มีคำตอบมากมาย แต่ฉันเลือกที่ชอบ ๆ มาไว้กับตัวเองและนำมาฝากผู้อ่าน)

มีคำหนึ่งว่า  ถ้าต้นไม้โดนตัดทำอย่างไร
พวกเขาตอบว่า เรามีภาคีช่วย
คำตอบนี้แสดงว่า พวกเขามีความหวังในเครือข่าย หรือการทำงานอย่างเป็นเครือข่าย การมีภาคีเครือข่าย เป็นสิ่งที่สำคัญในการดำเนินงาน เนื่องจากเขาต้องขยายการทำงาน และลดการติดเชื้อให้ได้ ถ้าทำเพียงกลุ่มเล็กๆ เราจะไม่เห็นพลังในการทำงาน และเครือข่ายเป็นผู้ที่ให้ความรู้ ในการทำงานกับพื้นที่ จึงทำให้เรากล้าที่จะทำงานตรงนี้อย่างภาคภูมิใจ
 
ข้อสุดท้าย เทคนิคการทำงานให้ประสบความสำเร็จ
คำตอบมีหลายอย่างเหมือนกันแต่ฉันเลือกมา คือ เราต้องไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น  ไม่ตีตราผู้อื่น สร้างความเข้าใจ เรื่องการสื่อสาร ”คำพูด” ต้องเหมาะสมกับกลุ่มนั้นๆ ต้องมีพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ อย่าคิดว่าเด็กๆต้องอยู่ใต้เราเสมอ การสื่อสารต้องใช้ภาษาที่ง่าย เราต้องเปิดใจตนเองรับฟังผู้อื่นให้มาก โดยไม่เอาตนเป็นที่ตั้ง การเชื่อมโยง ประสานงานกับเครือข่าย แตกต่างแต่ไม่แตกแยก คำนึง
ถึงเวลาที่กลุ่มเป้าหมายมีให้ อย่าพูดมากเกินไป ทำให้น่าเบื่อ...

 
นี่คือข้อคิดที่ดี ๆ ที่ได้จากเวทีของ สมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย และองค์กรภาคี ร่วมจัดงานเวทีสรุปบทเรียนแลกเปลี่ยนเรียนรู้และนำเสนอการดำเนินงาน  โครงการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี โดยส่งเสริมบูรณาการและสร้างเครือข่ายการเข้าถึงการบริการของกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (CHAMPION/MSM) ในวันที่ 12-15 ที่ เชียงใหม่ ผ่านมา.
 
20 ก.ค. 54
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่

บล็อกของ แพร จารุ

แพร จารุ
ถ้าฉันพูดว่า อย่าเอาดอกไม้มาให้ฉันถ้าเธอไม่ได้ปลูกเอง เธออย่าโกรธฉันนะ ฉันจะเล่าให้เธอฟัง วันหนึ่งก่อนฤดูฝน ฉันเดินทางไปหมู่บ้านหลังดอยอินทนนท์  ฉันพบผู้ชายคนหนึ่ง เขาพูดว่า"เอาดอกไม้ของฉันออกจากหน้าอกเธอ"หนุ่มใหญ่คนหนึ่งพูดขึ้น หญิงสาวมีสีหน้าแปลกใจคงสงสัยว่าเธอทำอะไรให้เขาไม่พอใจ จึงไม่ยอมเอาดอกไม้ออกจากกระเป๋าเสื้อ "เอาออกเถอะ" เขายืนยันอีกครั้ง แต่หญิงสาวยังไม่ทำตาม ยังคงเอาดอกไม้เหน็บในกระเป๋าเสื้อตรงหน้าอกต่อ ในที่สุดเขาก็บอกว่า " มันอันตราย ดอกไม้ฉันมีแต่ยา"
แพร จารุ
หมู่บ้านหายโรงเรียนร้าง เดือนก่อนฉันเดินทางไปที่หมู่บ้านหนึ่ง แถวเชียงดาว ไกลเข้าไปในป่า พบโรงเรียนร้างไม่มีเด็ก ไม่มีครู โรงเรียนถูกปิดเพราะไม่มีเด็กเรียน และไม่ใช่แค่โรงเรียนร้างเท่านั้น หมู่บ้านก็หายไปด้วย  ผู้ชายคนหนึ่งเล่าให้ฉันฟังว่าหมู่บ้านนี้ถูกซื้อไปแล้ว "จริงเหรอ เหมือนโฆษณาเลย โฆษณาอะไรนะ ที่ผู้ชายคนหนึ่งถามซื้อเกาะให้ผู้หญิง" ใครคนหนึ่งพูดขึ้น"ไม่ใช่แค่โฆษณาหรอก ละครโทรทัศน์ก็มีเหมือนกัน ชายหนุ่มคนหนึ่งเขาซื้อเกาะให้หญิงสาวเป็นของขวัญหากเธอแต่งงานกับเขา" ฉันบอกพวกเขา
แพร จารุ
แปลกใจใช่ไหมค่ะ ต้นไม้ใหญ่ อ่างเก็บน้ำและหมีแพนด้า  มันเกี่ยวกันอย่างไร  เรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะ  เดือนฉันก่อนไปศาลากลางมา  ที่หน้าศาลากลางมีคนมากมาย มีชาวบ้านมาประท้วงเรื่องการสร้างอ่างเก็บน้ำ 
แพร จารุ
ในขณะที่ผู้คนที่มาดูต้นไม้ ต่างตื่นเต้นกับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ใหญ่ที่สุดที่นี่คือต้นจามจุรีหรือต้นก้ามปูที่สโมสรเชียงใหม่ยิมคานา เป็นสนามกอล์ฟเก่า เขาเล่ากันว่าต้นไม้นี้มีอายุมากกว่าร้อยปี ส่วนสูง 15 เมตร ผ่านการประกวดต้นไม้ใหญ่ที่ได้รับรางวัลของเทศบาลมาแล้ว
แพร จารุ
"ที่ซึ่งหนุ่มสาวหอบฝันมาทิ้ง" ฉันบอกเพื่อน ฟังดูน่าตกใจและดูจะเป็นคนใจร้ายไปสักหน่อย และหากว่าน้อง ๆ หนุ่มสาวที่นี่ได้ยินฉันพูดทำนองนี้ พวกเธออาจเสียกำลังใจ เพราะการเดินทางครั้งนี้เราพบหนุ่มสาวพวกที่ฉันคิดว่าเป็นพวก"หอบความฝัน"มากมายหลายคนทีเดียว
แพร จารุ
"ปายแบบเมื่อก่อนจะไม่กลับมาอีกแล้ว เรามาค้นหาคุณค่าใหม่กันเถอะ" เพื่อนคงรำคาญที่ฉันพร่ำเพ้อถึงความหลังครั้งก่อน (ฉันเขียนมาถึงตอนนี้เมื่อฉบับที่แล้ว )  เราได้เพื่อนใหม่ทันที เธอชื่อเนเน่ เธอบอกว่า เธอเดินทางมาที่นี่ปีละหลาย ๆ ครั้ง และแม้ปายจะเปลี่ยนไปอย่างไรเธอก็ยังชอบปาย เธอมาเพื่อหาที่นั่งอ่านหนังสือสบาย ๆ ช่วง เย็น ๆ ก็ออกเดินเล่นไปตามถนน เดินคุยกับคนโน้นคนนี้เพราะผู้คนส่วนมากเป็นมิตร
แพร จารุ
  1 ปาย เปลี่ยนไปมาก และที่ฉันไม่กล้าไปปายก็เพราะกลัวความเปลี่ยนแปลง กลัวจะเสียใจกับความเปลี่ยนแปลงก็เลยพยายามจะลืมปายทำเหมือนหนึ่งว่าไม่เคยมี ไม่เคยไป
แพร จารุ
"ป้าไฟไหม้ ไฟไหม้ " หลานสาวส่งเสียงอยู่หน้าบ้าน "ไฟไหม้ที่ไหน" ฉันถาม เดี๋ยวนี้อาการตื่นกลัวเรื่องไฟไหม้ป่าหลังบ้านลดลงไปแล้ว หากเป็นเมื่อสองปีก่อน ฉันจะกลัวมาก กลัวจนตัวสั่นและรีบโทรศัพท์ไปแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายทันที และบางครั้งก็ลงมือดับไฟเองก่อนที่รถดับเพลิงจะมา พร้อมกับบ่นด่าคนที่ทำไฟไหม้ คนที่มาเก็บของกินในสวนร้างแต่ไม่เคยสนใจหน้าแล้งยามที่ไม่ค่อยมีอะไรเก็บกิน และเจ้าของสวนที่ทิ้งสวนตัวเองไว้แล้วไม่มาดูแล  รวมถึงดับเพลิงที่มาช้าไม่ทันใจ
แพร จารุ
"อย่าลืมเอาถุงผ้าไปซื้อของ" ฉันเคยบอกใครต่อใครจนเขาเบื่อหน่ายกันแล้ว "อย่าเอาถุงพลาสติกเข้าบ้านถ้าไม่จำเป็น"และทุกครั้งที่ฉันเห็นถุงพลาสติกที่ใส่อาหารแล้ววางทิ้งไว้บนโต๊ะ ก็จะรู้สึกโกรธขึ้นมาทันทีและรีบเก็บแต่ถุงพลาสติกก็ไม่เคยหมดไปจากบ้านฉัน มันวางอยู่ตรงโน้นตรงนี้เสมอ ๆ
แพร จารุ
ผู้ชายคนหนึ่งนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เขาขยันมาก นั่งทำงานทุกวัน เขามีเมียขี้คร้านกับหมาพุดเดิ้ลตัวเล็ก ๆ ที่ส่งเสียงเห่าแหลมเล็กทั้งวันทั้งคืน เสียงหมาเห่าดังมาก  แต่เขายังนั่งทำงานอย่างไม่สนใจ  เมียเขานอกจากขี้คร้านแล้วขี้รำคาญด้วย เธอจึงลุกขึ้นไปที่ประตูอย่างหงุดหงิดรำคาญใจเพราะเธอกำลังนอนอ่านหนังสืออย่างสำราญอยู่ ประตูบ้านยังไม่ปิด บ้านนี้ประตูจะไม่ปิดจนกว่าเจ้าของบ้านจะนอน  ลักษณะพิเศษคือเจ้าของบ้านไม่ชอบปิดประตู เปิดไว้ทั้งวันทั้งคืน
แพร จารุ
 หน้าร้อนใคร ๆ ก็ไม่อยากมาเชียงใหม่ อย่าว่าแต่นักท่องเที่ยวเลย คนที่อยู่เชียงใหม่ที่พอออกจากเมืองได้ก็จะพากันออกจากเมืองไปพักผ่อนที่อื่นฉันเป็นคนหนึ่งที่หนีออกจากเมืองเชียงใหม่ในช่วงหน้าร้อนเสมอ ให้เหตุผลกับตัวเองว่า ถือโอกาสกลับใต้ เป็นการกลับบ้านปีละครั้ง
แพร จารุ
“บ้านฉันไม่ได้อยู่ใกล้สถานบันเทิงเลยค่ะ แต่หนวกหูมากเหมือนกัน” ฉันบอกเพื่อนที่โทรศัพท์มาปรึกษาเรื่องที่บ้านของเธออยู่ใกล้สถานบันเทิง หลังจากที่ ฟังเธอบ่นปรับทุกข์ เรื่องเสียงเพลงหนวกหูจากสถานบันเทิง เธอเล่าว่าย้ายบ้านจากกรุงเทพฯ มาอยู่ต่างจังหวัดได้ไม่นาน ร้านอาหารคาราโอเกะก็มาเปิดข้างบ้าน