Skip to main content


 

ตัวแทนฝ่ายขาย คสช. เจ้าเก่าได้โทรมาหาผมเป็นระยะๆเป็นเวลากว่าสองเดือนแล้วเพื่อให้ผมไปพบปะกินกาแฟด้วย ในที่สุดเราจะพบกันวันพุธนี้ ผู้ที่โทรเชิญผมไปนั่งกินกาแฟนั้นต่างจากพวกคนของ คสช.ที่อุ้มจ่านิว ซึ่งจ่านิวกล่าวหาว่ามีการพูดจาไม่สุภาพ เอาผ้าคลุมหัวปิดตาและใช้ความรุนแรงเล็กน้อยพอหอมปากหอมคอ ก่อนจะนำตัวจ่านิวไปปล่อยที่สถานีตำรวจ เพราะเจ้าหน้าที่ฝ่ายของ คสช.ที่โทรมาหาผมนั้นสุภาพยิ่ง

ผมพบเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายคนนี้ที่ชื่อ ร้อยโท ชลภัทร์ ผึ่งผาย (รอง ผบ.ทก.ชป.พท.ร.12 พัน 2 รอ. – ปล. ใครอ่านชื่อย่อตำแหน่งคุณชลภัทร์ออกว่ามันคืออะไรช่วยแจ้งผมด้วยจะกรุณายิ่ง) ครั้งหลังสุดเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว ตอนนี้ผมถูก คสช. ‘เชิญ’ ไปรายงานตัวเพื่อปรับทัศนคติรอบ 2 หลังวิพากษ์ประยุทธ์เรื่องความชอบธรรม ซึ่งนำไปสู่การขังผมสามวันสองคืนในห้องเล็กขนาด 4 คูณ 4 เมตร ที่หน้าต่างไม้ทึบทั้งสามบานปิดสนิท ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ร้อยโทชลภัทร์เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ของเผด็จการทหาร คสช. ประมาณ 6 คนที่สอบปากคำผมเป็นเวลารวมประมาณ 6 ชั่วโมงก่อนที่ผมจะถูกปิดตานำตัวไปขังในห้องขังลับอีกแห่งแบบติดต่อผู้ใดจากโลกภายนอกมิได้ ชลภัทร์นั้นดูท่าทางพยายามเข้าใจจุดยืนเพื่อประชาธิปไตยของผม เขาและหัวหน้าเขาชื่อ พันโท กิตติพงศ์ จรัณยานนท์ ยังได้ถามผมก่อนที่ชายเสื้อซาฟารีแขนสั้นสีดำ 4 คน จะปิดตานำผมใส่รถตู้เก่าๆติดฟิมล์มืดที่ดูไม่ออกว่าเป็นของทางการเพื่อนำตัวผมไปขังว่ามีอะไรที่ต้องการไหม ผมตอบว่าหนังสือพิมพ์ – หนังสือพิมพ์อะไรก็ได้ ผมบอก และช่วงสายของวันที่ 3 ของการขังผม ก็มาการจัดส่งหนังสือพิมพ์และนิตยสารมาถึงห้องขัง

หลังจากผมได้รับการปล่อยตัวจาก คสช. และ ‘ขอให้ลาออก’ จากหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น ร้อยโทชลภัทร์ก็ได้โทรมาหาผมและบอกว่า คสช.มิได้มีส่วนอะไรกับแรงบีบที่นำไปสู่การลาออกจากหนังสือพิมพ์ที่ผมทำงานมากว่า 23 ปี พอผมฝากขอบคุณผู้บังคับบัญชาแกเรื่องที่ส่งหนังสือพิมพ์และนิตยสารหลายฉบับมาให้ในห้องขัง ชลภัทร์ก็ออกตัวว่าแกเป็นคนจัดหามาให้ผมเอง แถมไม่รู้ด้วยว่าในที่สุดจะสามารถส่งได้ถึงหรือไม่ ซึ่งผมก็ขอขอบคุณ นายทหารผู้นี้ยังได้แจ้งผมอีกว่าหัวหน้า (พ.ท.กิตติพงศ์ ซึ่งดูแลคนหัวดื้อในเขตบางกะปิ) ได้ย้ายไปอยู่หน่วยอื่นแล้ว และหัวหน้าใหม่อยากพบผม หลังจากที่แกโทรมาตื้ออยู่หลายครั้ง ผมจึงตัดสินใจนัดพบชลภัทร์และผู้บังคับบัญชาคนใหม่ของแกที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งในเมืองในวันพุธนี้

ผมเรียกนายทหารอย่างชลภัทร์ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายของเผด็จการทหาร คสช.เพราะว่าส่วนหนึ่งของหน้าที่แกคือการโน้มน้าวให้คนเห็นต่างอย่างผมเห็นคล้อยว่าแท้จริงแล้ว ผู้นำ คสช. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ก่อรัฐประหารยึดอำนาจนั้นเป็นเผด็จการคนดีหรือคนดีที่บังเอิญต้องรับบทเป็นเผด็จการ

ชลภัทร์ก็คงเหมือนกับบรรดาโฆษก คสช. – พวกเขาสุภาพ ดูไม่สุดโต่ง (ต่างจากนายใหญ่ของพวกเขา) และสามารถพูดได้อย่างไม่รู้สึกย้อนแย้งหรือละอายปากว่าเผด็จการทหาร คสช.เคารพสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อีกหน้าที่หนึ่งของชลภัทร์คือสอดส่องการแสดงความเห็นของผมทางทวิตเตอร์และเฟซบุ๊ก  ผมทราบเรื่องนี้เพราะระหว่างถูกสอบปากคำเมื่อปีที่แล้ว แกสามารถจำทวีตเก่าอันหนึ่งผมได้ขึ้นใจ แถมเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ชลภัทร์ยังโทรมาหาผมเพื่อบอกอย่างสุภาพว่าผู้บังคับบัญชาไม่พอใจกับความเห็นผมในทวีตเตอร์และเฟซบุ๊กหนึ่งชิ้นและขอให้ผมลบทิ้งซะ ซึ่งผมก็ได้ยืนยันปฎิเสธที่จะลบทิ้งด้วยความสุภาพเช่นเดียวกัน

จะว่าไปแล้ว ผมค่อนข้างรู้สึกสบายใจกว่าที่ต้องคุยกับคนอย่างร้อยโทชลภัทร์ เมื่อเทียบกับพวกที่ปิดตาขังผมหรืออุ้มจ่านิว เพราะทหารอย่างชลภัทร์ดูแตกต่างจากนายทหารที่ไม่สุภาพหรือต้องทำงาน ‘สกปรก’ อย่างไรก็ตาม ผมก็ตระหนักว่าทหารอย่างชลภัทร์ก็เป็นส่วนหนึ่งของแพ็คเกจเผด็จการทหาร คสช. ที่กดขี่และละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน

ไม่ว่าร้อยโทชลภัทร์จะสุภาพหรือจริงใจกับผมเพียงไร คนอย่างร้อยโทชลภัทร์ย่อมปฎิบัติตามคำสั่งของนายที่เป็นเผด็จการทหาร (ผมจำได้ว่าวันที่ถูกปล่อยตัวหลังการขังรอบที่สอง พันเอกผู้หนึ่งขับรถไปส่งผมที่สถานีรถไฟฟ้า BTS ระหว่างเดินทาง นายทหารผู้นี้ก็ได้ออกตัวขออภัยผมหากเขาได้ล่วงเกินใดๆ พร้อมบอกกับผมว่าเขาไม่ได้มีอะไรเป็นส่วนตัวกับผม เพียงแต่ทำตามคำสั่งและเล่นไปตามบทหน้าที่ที่เขากำหนดให้เท่านั้น ซึ่งผมก็บอกว่าผมเข้าใจและไม่ว่าอะไร)

ในแง่นี้แล้ว ทหารอย่างชลภัทร์ คือฝ่ายพยายามสู้ด้วยการชนะใจคนที่ไม่ยอมรับเผด็จการ พวกเขาเป็นเสมือนผู้ใช้แครอทล่อลา แทนที่จะใช้ไม้เรียว พวกเขาทำให้ระบอบเผด็จการทหารดูมีเหตุผล สุภาพและมีความเป็นมนุษย์ขึ้น อย่างไรก็ตาม การที่เจ้าหน้าที่ของเผด็จการทหารโทรมาหาซ้ำๆเพื่อขอพบย่อมเป็น ‘คำเชิญ’ ที่มิอาจปฎิเสธได้ในที่สุดหากคุณมิต้องการหนีลี้ภัยไปต่างแดนหรืออยากเห็นทหารบุกเข้าหาคุณและตั้งขอหาว่าขัดคำสั่งเผด็จการทหาร

คำเชิญของเผด็จการแท้จริงแล้วคือ ‘คำสั่ง’ ในคราบของคำเชิญนั่นเอง คำเชิญของเผด็จการทหารเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการกดขี่ละเมิดสิทธิเสรีภาพประชาชน การขู่เข็ญบังคับผ่านการเชิญอย่างสุภาพเป็นอีกหนึ่งความจริงของชีวิตประจำวันภายใต้ระบอบเผด็จการทหารสำหรับผู้ที่รักเสรีภาพประชาธิปไตยที่ไม่ยอมเงียบ

ผมจะพบร้อยโทชลภัทธ์และผู้บังคับบัญชาคนใหม่ของแกเวลา 11 โมงของวันพุธเพื่อดื่มกาแฟภาคบังคับ ถ้าคุณไม่ได้ยินอะไรจากผมหลังจากนั้นก็แปลว่ากาแฟคงบูดกระทันหัน แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมคงไม่โกรธคนอย่างร้อยโทชลภัทร์ เพราะมันคงมิใช่เรื่องโกรธแค้นส่วนตัวใดๆ ร้อยโทชลภัทร์คงเพียงปฎิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของเผด็จการทหาร ไม่ว่าแกจะมีความเห็นส่วนตัวว่าอะไรถูกผิดชอบธรรมหรือไม่ อย่างไร

 

ปล. บทความนี้ถอดความปรับปรุงจากต้นฉบับภาษาอังกฤษชื่อ Junta’s Coffee Coercion โดย Pravit Rojanaphruk ใน KhaododEnglish (ข่าวสดอิงลิช) ในวันที่ 30 มกราคม 2016

แปลจาก: http://www.khaosodenglish.com/detail.php?newsid=1454142380

บล็อกของ ประวิตร โรจนพฤกษ์

ประวิตร โรจนพฤกษ์
 ลึกๆในจิตใต้สำนึกของบรรดาผู้นำเผด็จการทหาร พวกเขาคงตระหนักว่าเขาปราศจากความชอบธรรมใดๆ พวกเขาจึงออกอาการวิตกจริตและปราบปรามการขัดขืนทุกรูปแบบ ไม่ว่าในโลกเสมือนจริงของอินเทอร์เน็ตหรือในโลกแห่งความเป็นจริงประจำวัน
ประวิตร โรจนพฤกษ์
การรับร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากรัฐประหารรังแต่จะเป็นการสนับสนุนให้มีการก่อรัฐประหารปล้นอำนาจประชาชนซ้ำๆจนชั่วลูกชั่วหลาน วันที่ 31 กรกฎา ผมจะเป็นหนึ่งเสียงในการพยายามยุติวัฐจักรอุบาทว์ปล้นอำนาจประชาชนผ่านรัฐประหารโดยการโหวตโน
ประวิตร โรจนพฤกษ์
การปรับทัศนคติ: คําสวยหรูที่ใช้โดยเผด็จการทหาร คสช. (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) ในการจัดการกับผู้ที่มีอิทธิพลทางความคิดที่แสดงความเห็นไม่ยอมรับรัฐประหาร หรือตั้งคําถามถึงความชอบธรรม หรือความไร้ความชอบธรรมของการก่อรัฐประหารยึดอํานาจฉีกรัฐธรรมนูญ
ประวิตร โรจนพฤกษ์
ข่าวที่น่าเป็นห่วงเกี่ยวกับเมืองไทยในหมู่ผู้สื่อข่าวต่างชาติในไทยในปัจจุบันได้แก่การที่พวกเขาจำนวนหนึ่งรู้สึกว่าการขอวีซ่าทำงานในฐานะนักข่าวในไทยนั้นยากมากขึ้นตั้งแต่เกิดรัฐประหารปี 2557