Skip to main content

 

ฤดูนี้เป็นฤดูตามหาดอกไม้ ฉันยอมรับกับตัวเองเมื่อสำรวจผืนดินแล้วพบว่า ที่หัวใจใฝ่หาคือมวลมาลีสวยสด มากยิ่งกว่าพืชผัก ผุดขึ้นก่อนปากท้องคืออาหารตาอาหารใจ เถอะน่า ติดตามหัวใจไป ใช่จะละทิ้งร่างกายเสียเมื่อไหร่ ผักบุ้งปลูกแล้ว รวมทั้งผักชี กุยช่าย แคต้น กะเพราขาว กระเพราแดง ผักชีฝรั่ง มะกรูด มะนาว แมงลัก ถั่วพูที่เพาะไว้ในกระถางแอบเลื้อยไว ๆ เมล็ดน้ำเต้าที่น้องสาวเก็บมาฝากจากสวนพันพรรณของพี่โจน จันใด แตกใบ แต่ตกเป็นอาหารหอยทาก
\\/--break--\>

ฝนล่ามาแล้วไป หลังพรำพรมจนพื้นดินชื้นฉ่ำ ตกก่อนจันทร์เต็มดวง ไม่เลิกไม่ซาอยู่สี่ซ้าห้าวัน ได้ฤกษ์อีกรอบแล้ว ฉันร่ายบัญชีออกล่าหาดอกไม้ ยาวเหยียดเป็นหางว่าว คุณนายตื่นสายสีเหลืองได้มาวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน ขอปันจากหน้าร้านค้า ผ่านสวนข้ามไร่นา ได้ดอกยี่โถ กับดอกไม้ไม่รู้จักชื่อเหลือง ๆ เรืองอุไร เย็นนี้ กลับจากจ่ายตลาดริมขัวน้ำปิง หัวโค้งทางเข้าบ้าน เจ้าเฒ่าเขียวที่จอดทิ้งเพราะขาดน้ำมันมีหนูแอบเข้ามาทำรัง มีราจุดสีดำแต้มตามเบาะระหว่างวันสายฝนพาเราไป ฉันขอเจ้าที่เจ้าทางแล้วเด็ดดึงพวงแสดริมถนน เจ้าของสวนไม่อยู่ เขาเป็นคนเมือง มาแล้วไป เสียงโวยวายดังจากเบาะหลัง "ขโมย ๆ" ชิชะ แม่ลูกสาวตัวดี

 

  

 

 

ต้นไม้นั้นแบ่งปันกันได้ ตัดก้าน ตอนกิ่ง ทาบตา เพาะเมล็ด ทำอะไรต่อมิอะไรแต่ต้นแม่ก็ยังอยู่ สุขสบายดีเหมือนเก่า ชีวิตไม่ได้พรากจาก เรามาแลกเปลี่ยนต้นไม้กันดีกว่านะ ไม่ต้องซื้อหา เธอมีดอกนั้น ฉันมีดอกนี้ อยากได้อะไรก็มาเด็ดไป หรือรอต้นอ่อนงอกใหม่ใต้ต้นเก่า ขอเพียงเราอดใจรอ ขอเพียงเฝ้าดู เมื่อเธอรดน้ำให้ปุ๋ย ฟ้า ฝน ดวงตะวันและฤดูกาลก็จะทำหน้าที่ของมัน กี่วันก็คอยได้ กี่คืนก็เฝ้ารอ ได้มองดูเขาเติบใหญ่ จวบจนถึงวันเบ่งบาน

 

ซอมพอฝักแก่จากบ้านสวนธรรมชาติที่ฉวยใส่ย่ามงอกมาชื่นใจแล้วต้นหนึ่ง ชะเง้อดูกระถางทุกวัน รอดพ้นเงื้อมมือหอยทากแน่ รอแค่ให้โตอีกซักหน่อย จะปลูกเจ้าไว้ ให้ดอกสีส้มทาบทาผนังสีเหลืองแก่ จริตราคะนั้นไม่เหือดหายง่าย ๆ อีกหนึ่งที่หมายตาหมายใจ จากบ้านผ่านลาดเนินสูงต่ำ สลับมุมมองขุนเขาสวยจับตา พร้อมนาขั้นบันได หนทางไปบ้านถ้ำมีซอมพอเหลืองและชมพูรออยู่ เหลือเพียงวันดี ๆ สำหรับผ่านทาง เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ปีนี้หรือไม่ก็ปีหน้า หัวใจผูกพัน ไม่จางคลายจากเธอ

 

แล้งที่ผ่าน ว่านสี่ทิศทั้งหลายหรุบคืนดิน รวมทั้งดอกพฤษภา ฉันมองหาบ้านบานสะพรั่งด้วยดอกไม้ขาวไม่เจอ เขาเคยปลูกว่านสี่ทิศสีขาวเป็นแนวยาวริมรั้ว รู้หรือไม่ ที่ฉันคลั่งไคล้ติดตามหา เพราะเขากลีบใหญ่ หอมหวนยวนใจยิ่งกว่าลิลลี่มีราคา

 

 

ฝนพรำอ่อน ๆ แล้วหยุด หยุดแล้วแต่ยังตั้งท่าขณะอยู่ในตัวอำเภอ เมืองอันเล็กน่ารัก ผู้คนทายทักด้วยอัชฌาศัย ฉันเพลินคุยกับบรรณารักษ์ บริจาคพร้อมกับยืมหนังสือเล่มใหม่ อูว โน่นไง ดอกบัวดินสีเหลืองสดใส เฝ้ามองเขามาสามปีแล้ว บัวดินที่สายฝนปลุกเรียก ใบเขียวๆ เรียวๆ ลำต้นแบบบาง ชูช่อเบ่งบานพร้อมเพรียงคราวใดเหมือนเด็กเล็ก ๆ ยืนเข้าแถวรื่นเริง ครุ่นคิดด้วยปรารถนา จะทำอย่างไรดี ประตูบานนั้นมักปิดอยู่เสมอ จากลานปูนถึงตัวบ้านมองไปไม่เห็นใคร ปีนี้ตั้งใจไว้ จะฝ่าฟันไปถึงเธอให้จงได้ หลายวันก่อน ฉันย้ายบัวดินสีชมพูจากกระถาง แบ่งออกหลายกอ ส่วนหนึ่งใส่ถุงดำใบเล็ก ๆ เตรียมไว้ แปลกมากนักหรือที่จะตากหน้าไปขอดอกไม้จากคนไม่รู้จัก ประหลาดพิลึก ไม่น่าไว้ใจไหม ถ้ามีใครแปลกหน้ามาเคาะประตู ไม่ได้ขอเฉย ๆ จะให้ซื้อก็ได้ เราจริงใจ แถมยังมีดอกไม้ไปแลก ก็บัวดินสีชมพูไง

 

ที่ร้านขนมจีน เราได้คุณนายตื่นสายและแพรเซี่ยงไฮ้ ตายายบอกให้แบ่งไป ปักชำง่ายๆ ไม่ตายหรอกลูก เดี๋ยวก็แตกยอดต่อชีวิต วันนี้เบ่งบานเต็มที่สมใจ เย็นย่ำก่อนทำอาหาร สองคนช่วยกันทำสวน เยลโลว์ไอริสเด็ดมาแช่น้ำ แยกอะเมซอนใส่ในแก้วกาแฟบิ่น ๆ ไว้ ใกล้มืดแล้ว แต่ยังทันตัดกิ่งหม่อน ชำไว้หลายๆกิ่ง ปลูกหลายๆต้น จะได้พอทำแยม มือเหนียว ๆ ของสายน้ำผึ้งและพวงครามนั้นให้ใช้มีดตัด ย้ายกอราตรีไปริมรั้วเสีย กลิ่นหอมแรงไม่ดีต่อปอด ส่วนกิ่งที่เหลือ ชำไว้ฝากมิตร

 

ต้นไม้มากมายกำลังเดินทางมา หัวใจพองโตเมื่อรับทราบข่าว สีสันจะกระจายทั่วสวน ใครบ้างล่ะหนอไม่ชมชอบดอกไม้

บุปผชาติทำให้ใจสดชื่น ลดความกร้าวกระด้าง ดอกไม้ทำให้หายป่วย ช่วยให้คนเป็นคนดี ไม่เชื่อลองอ่านติสตูดู

 

ที่ฉันออกไล่ล่า ฝักคูนที่ฉันเก็บมา ทานตะวันป่าที่ได้มาโดยไม่คาดฝัน มันจะเติบโตสวยงามเพียงใด จะบานทาบทาเป็นฉากหน้าขุนเขาเหมือนที่จินตนาการไหม บัวตองกับดอกเสี้ยวนั้นได้มาจากค่ายเยาวชนบ้านยางปู่โต๊ะ พร้อมไม้ป่าแปลกประหลาดอีกมากมาย วาดภาพต้นไม้เหมือนเด็กฝันถึงขนม ยังมีมากและอีกมากเหลือเกิน ทั้งผลไม้ ดอกไม้ อีกไม่กี่วันน้องสาวจะนำดอกไม้สีม่วงมาให้แล้ว อินทะนิลกับชงโค รวมทั้งทองกวาว รานีสีเพลิงแห่งท้องทุ่ง กับหางนกยูง ดอกไม้แห่งธรรมศาสตร์ที่ฉันรัก

 

ไปด้วยกันกับฉันไหม ยังองค์กรน่ารักเพื่อนของเรา ขอปันดอกไม้จากชาวมะขามป้อมเขา พุทธรักษาดอกแดงพอมีอยู่ แต่เขามีสีชมพู กับคล้าน้ำและพรรณไม้อื่น เราจะเอาอะไรไปฝากเขาดี ต้นที่เขาไม่มี เขาคงยินดีกับหมู่ผกา

 

ทีละต้น ๆ นะ วันละนิดละน้อย ค่อยๆ เพาะ ค่อย ๆ ปลูก ฝนกำลังจะมา ฝนจะโปรยปรายลงมาระลอกแล้วระลอกเล่า นี่ล่ะฤดูเพาะหว่าน เราควรสุขสำราญกับการบำรุงเลี้ยง ดอกไม้ทั้งหลายจะนำพาไปสู่ที่ใด ดอกไม้ไม่นำพาไปที่ใด แต่ละดวงดอกคือความประทับใจ มีความฝัน ความทรงจำแห่งวันวัย มีการเดินทาง เรื่องเล่า ที่มา เมื่อเธอพิศมองดอกไม้นั้นยิ่งกว่าดอกไม้ มวลมาลีที่เบ่งบานสดใสทำให้ใจสุขชื่น ไม่ว่าคน นก ผีเสื้อหรือแมลง แหละหากเธอแวะเวียนมา ฉันจะจัดสำรับดอกไม้รอท่า หุงข้าวสวยสีม่วงอัญชัญ แกงส้มดอกแค ผัดดอกโสนสีเหลือง กับเด็ดดอกข่าขาวอ่อนซ่านซ่ามาให้เธอชิม

 

 

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
“ตื่นมาทุกเช้า อย่าลืมทำดีให้ตัวเอง”  ประโยคนี้นึกขึ้นเมื่อสาย  ยังดีเป็นสายที่มีแดดส่อง  ไม่ใช่สายเกินไป  สายเกินการณ์......“เขียนหนังสือ”  เขียนทุกวันไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ใช่เรื่องง่าย  ไม่ยากเนื่องจากเรารู้ และคิดหัวข้อเรื่องไว้มากมาย  แต่ที่ไม่ง่ายคือ  แรงบันดาลใจสดใหม่ขณะเขียนสำหรับฉันแล้ว “แรงบันดาลใจ”  คือความรู้สึกล้นปรี่ที่ขับความปรารถนา  ความสุข และความกระหายภายในพรั่งพรูออกมาเป็นตัวอักษร  ความรู้สึกเช่นนั้นเป็นความรู้สึกของความสุขหรรษา และการสร้างสรรค์อันเบิกบาน  วันใดที่เริ่มต้นยามเช้าด้วยความขุ่นข้องหมองจิต …
รวิวาร
มีตาน้ำในตัวฉันไหม ผุดพุ่งเป็นตัวอักษร  สายน้ำน้อยๆที่ใสสะอาด ดื่มกินได้  ชะล้างร่างกายและจิตวิญญาณ  ลำธารที่ไม่มีวันหมดสิ้น  ซับน้ำริน ๆ ที่มองไม่เห็น  ซึ่งผุดขึ้นมาจากมหาสมุทรชีวิตใต้พื้นพิภพ ............
รวิวาร
เธอบอกให้ฉันเขียนถึงความรื่นรมย์  ฉันกล่าวตอบเธอในใจ“ความรื่นรมย์ที่ขมขื่นจะเอาไหม?”   ความจริง ฉันมีความรื่นรมย์ที่เผาไหม้ สนุกสนานสำราญใจที่ถูกแผดเผา  .........................................................................
รวิวาร
...ไม่กี่วันมานี้พบว่า การอาศัยอยู่ที่นี่เหมาะแก่การอ่าน วอลเดน* อย่างยิ่ง มีสิ่งร่วมในความคิดและประสบการณ์หลายอย่างบรรจุอยู่ในหนังสือเล่มที่เคยอ่านมาเนิ่นนาน ข้ามผ่านกาลเวลานับร้อย ๆ ปี ไม่น่าเชื่อเลยว่า บันทึกการใช้ชีวิตอย่างสมถะริมบึงชายป่าของธอโรจะหวนกลับมาสัมผัสใจ ทั้งที่ต่างยุคห่างสมัย......................................................... ฟ้าเย็นวานกว้างใหญ่ไพศาล แถบแสงจากดวงตะวันหลังเขาระบายเมฆเป็นขีดสีชมพูยาว ลูกสาวคนโตเมียงมองจากอ่างล้างจาน ร้องเรียกแม่ให้รีบมาดูก่อนเลือนหาย โลกเบื้องบนเปลี่ยนสีไปทีละน้อย ความมืดเติมส่วนผสมลงไป แปรเปลี่ยนสีสันของฟากฟ้า ค่อย ๆ เจือจาง…
รวิวาร
เรามาอยู่ที่นี่ใช่โดยน้ำพักน้ำแรงเราลำพัง  กว่าจะปลูกสร้างกระต๊อบได้ทั้งหลัง  อาศัยน้ำจิตน้ำใจและการหยิบยื่นไมตรีจากหลายชีวิตขอขอบคุณคุณแม่ของเราทั้งสองที่เลี้ยงดูเรามา ให้ได้รับการศึกษาอย่างดี  จากสถาบันที่มีเนื้อหา มีทรัพยากรและประวัติศาสตร์ซึ่งเอื้อโอกาสให้เราได้เป็นอย่างเช่นทุกวันนี้  ขอบคุณที่แม่ไม่เคยปล่อยให้เราอดอยาก   แม้จะมีช่วงเวลายากลำบาก  แต่ก็ได้เรียนรู้  ฝ่าฟัน  เข้าอกเข้าใจ (ลูกขอบคุณและซาบซึ้งใจอย่างที่สุดที่แม่เพียรพยายามแม้จะยากลำบากเพื่อที่จะเข้าใจวิถีของลูก  และปล่อยให้ลูกได้เลือกเส้นทางชีวิตของตนอย่างอิสระ)
รวิวาร
 บางครั้งหมอกก็ไหลมาตั้งแต่ดื่นดึก ห้อมล้อมบ้านของเราไว้เหมือนกองทัพสีขาวหนาวเย็น แล้วเมื่อแสงแรกจากเรือนจุดสว่างขึ้นยามสาง ลำแสงสีส้มก็ผ่าละอองหมอกออกเป็นทาง ธรรมชาติของหมอกนั้นอย่างไร บางคราว เราตื่นขึ้น แลเห็นรอบตัวได้ชัดเจนเป็นรูปเป็นร่าง เห็นชายฟ้าด้านตะวันออกหลังแนวไผ่คู่หน้าประตูเป็นสีชมพูอ่อนๆ แต่แล้วไม่นาน สายธารแห่งหมอกกลับไหลรินสู่หุบเขา ทั้งจากด้านดงดอย ยอดเขาสูง แม่น้ำ ที่ลุ่ม และถนนจากเมือง ดาหน้ามาจากทุกทิศทาง ปิดกั้นบ้านน้อยของเราไว้ บางทีความคิดของเราก็ทำทีอย่างหมอก มียามที่มองอะไรไม่เห็น นอกจากฝ้าละอองเปียกชื้นเยียบหนาว ยามเดินออกจากตัวบ้าน…
รวิวาร
 ที่มาภาพ : http://www.geocities.com/thaishow2004/image/khonhead01.jpg หากเราจะรู้จักกัน  ฉันขอรู้จักเธอในฐานะมนุษย์ได้ไหม?  ไม่ใช่อะไรที่แวดล้อมเธอ  ภาพลักษณ์ บทบาท  ตำแหน่ง สถานะ  ไม่ว่าเธอจะเป็นดารา นักร้อง นักเคลื่อนไหวเพื่อสังคม ครู ผู้มีอำนาจ  ผู้ทรงความรู้  ที่ฉันอยากรู้จักจริง  ๆ คือมนุษย์คนหนึ่ง  ก็เมื่อเราปอกเปลือกหุ้มออกจนหมดสิ้นแล้ว เธอ ฉัน เราทุกคนจะเหลือสิ่งใดเล่า  นอกจากความเป็นมนุษย์ เปล่าเปลือยล่อนจ้อน  เธอย่อมรู้สึกหิวเหมือนที่ฉันหิว ทุกข์สุขโศกเศร้าเหมือนที่ฉันรู้สึก  เธอมีความรักเหมือนเช่นที่ฉันรัก …
รวิวาร
เริ่มแรกที่เขียนทำให้ได้พบว่า ฉันไม่เคยสื่อสารในลักษณะนี้มาก่อน ฉันพูดกับตัวเองมาตลอด เขียนบันทึก ห้วงรำพึง  โดยไม่ได้คำนึงว่ากำลังพูดอยู่กับใคร ไม่เคยหวั่นว่าเนื้อหาจะลอย ข้ามไปข้ามมา อ่านไม่รู้เรื่อง เรื่องสั้นหรือบทกวีที่เคยเขียนล้วนแต่เป็นส่วนตัวอย่างยิ่ง  เหมือนเล่าออกไปในน่านฟ้าอากาศ  เป็นรูปแบบที่เมื่อเผยแพร่ออกไปแล้วมีผู้คนมากมายได้อ่าน แต่ก็เสมือนผู้อ่านนามธรรม จนกว่าเราจะรู้จักกันจริง ๆ ฉัน ซึ่งคิดว่าการเขียนเป็นเรื่องง่ายดายเมื่อรู้แน่ว่าจะกล่าวสิ่งใด จึงรู้สึกติดขัด ไม่ลื่นไหล     คิดถึง “ต้นไม้”  แต่ก็ไม่รู้แน่ว่าอย่างไร…
รวิวาร
...หัวใจของฉันพยายามบอกหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกิน ขณะที่ความคิดเวียนวนสอดแทรก เจ้าความคิดนั้นเหมือนเครื่องกำเนิดอะไรสักอย่าง มันมีหน้าที่ขับส่งบางสิ่งออกมาไม่มีขาดตอน บางสิ่งที่ไม่ต่อเนื่อง ขาดระเบียบ ไร้จุดจบ เว้นเสียแต่ว่าเราจะพยายามบีบเค้น หรือกำหนดทิศทางแก่มัน เช่น การใคร่ครวญเรื่องบางเรื่อง การคิดพล็อตเรื่อง หรือขบคิดปัญหาที่แก้ไม่ตก  ฉันกำลังรู้สึกว่า หัวใจถวิลหากระดาษสีนวลตา และปากกาหมึกซึมดี ๆ โต๊ะริมหน้าต่าง แสงแดดอ่อน ๆ ไม่ใช่ห้องหนาวเหน็บ ไฟโคมสีส้ม และแป้นคีย์บอร์ดอย่างนี้ แต่ก็เอาเถอะหัวใจเอ๋ย ค่อย ๆ ปลดปล่อยตัวเอง จนกว่าฉันจะพบคำเฉลยที่ดีสำหรับเจ้า…