พอจะลงมือเขียนอะไรก็มีเหตุให้ต้องครุ่นคิดระแวดระวังเสียมากมาย
แต่หากไม่เขียน ใครเลยจะรู้เรื่องราวที่เราอยากบอก
หรือแม้แต่ได้เขียนออกไป ใครเลยจะสนใจรื่องราวที่เราอยากบอก
...
พวกเราไปถึงเรือนจำพิเศษเมื่อเลยเที่ยงวันไปแล้ว
เพราะใช้เวลาพักใหญ่กับการเลือกซื้อหนังสือ
มันไม่ง่ายเลยกับการเลือกหนังสือไปให้คนอื่นอ่าน
โดยเฉพาะเมื่อพวกเราไม่ได้รู้จักมักจี่กันมากขนาดนั้น
เราเดินเลยชั้นหนังสือพระและเจ้าไปโดยไม่ต้องคิด
ฉันเลือกหนังสือดูโหงวเฮ้ง ดูลายมือ เกมตัวเลข วิธีการดัดตน
วิธีการพับกระดาษ และนิทานอ่านเพลิน ๆ อีกจำนวนหนึ่ง
รวมกันกับที่เพื่อนเลือกได้มากกว่าสิบเล่มในถุงใหญ่ ๆ ใบหนึ่ง
ผู้คุมขออนุญาตใช้เวลาตรวจตามระเบียบก่อนจะนำไปส่งมอบต่อ
...
เมื่อเห็นพวกเรา ทั้งสี่คนยิ้มเบิกบานราวพบเพื่อนสนิท
สังเกตเห็นได้ชัดเจนว่าทุกคนหน้าตาสดใสกว่าที่พบกันครั้งก่อน
ยกเว้นแต่ สนอง ที่ยังคงเคร่งเครียดทั้งสีหน้าและเรื่องราวที่พูดคุย
...
ธีระวัฒน์ เล่าว่าทุกวันนี้เขาได้เรียนหนังสือสัปดาห์ละ 2 วัน
วันหนึ่งเป็นอาจารย์ฟิลิปปินส์มาสอนภาษาอังกฤษ
อีกวันอาจารย์หวานเข้ามาสอนหนังสือและบอกเล่าข่าวคราวอื่น ๆ
เขาสนุกกับการเรียนมากเพราะอย่างน้อยก็มีอะไรทำมากขึ้น
เขาได้ออกกำลังกายด้วยการชกกระสอบทราย
ส่วน ปัทมา บอกว่าได้เล่นปิงปอง
...
พบกันคราวนี้ ปัทมา ยิ้มกว้างกว่าที่เคย และหน้าใสเป็นพิเศษ
เธอเลิกกินยาคลายเครียดและนอนหลับสบายขึ้น
เธอบอกว่าไม่ได้ตั้งความหวังเรื่องจะได้รับการประกันตัวอีกต่อไป
เพราะได้ข่าวมาว่าเพิ่งมีการยื่นเรื่องประกันไปอีกแต่ก็ถูกปฏิเสธ
อย่างไรก็ตาม เธอยังหวังว่าจะได้รับการนิรโทษกรรมในไม่ช้า
สนอง และ ปัทมา เริ่มกังวลกับเสถียรภาพของรัฐบาล
ซึ่งย่อมส่งผลกระทบต่อความหวังที่ผู้ต้องขังเสื้อแดงจะได้รับอิสรภาพ
...
สนอง ยังคงพร่ำพูดถึงเหตุการณ์วันนั้น
และข้อเท็จจริงที่ว่าเขาไม่ได้กระทำความผิด
"มันเป็นการชุมนุมทางการเมือง
ผมไปเรียกร้องประชาธิปไตย
ผมไม่ใช่อาชญากร"
เรื่องราวต่าง ๆ พร่างพรูผ่านสายโทรศัพท์โดยที่เราทำได้เพียงรับฟัง
...
สมศักดิ์ หน้าตาแช่มชื่นมาก บทสนทนาปนเสียงหัวเราะร่วน
เขาเพียรถามถึงสารทุกข์สุกดิบของพวกเรา
เขาเป็นฝ่ายเขียนจดหมายมาหาโดยที่พวกเราไม่ได้เขียนตอบ
เขาจึงไม่รู้ว่าพวกเราเป็นอยู่อย่างไร
"เห็นพวกอาจารย์สุขภาพแข็งแรงผมก็ดีใจ"
ประโยคนั้นควรเป็นพวกเราที่เป็นฝ่ายพูด
กลายเป็นว่าคนอยู่สุขสบายดีนอกที่คุมขังกลับได้รับความห่วงใยจากผู้ไร้อิสรภาพ
สมศักดิ์บอกเล่าอาการเจ็บไข้ของตนเอง
ตอนอยู่ที่เรือนจำจังหวัดอุบลราชธานี
เขาเคยรับการเอ็กซเรย์และทราบว่าปอดผิดปกติ
แต่มาที่นี่เมื่อเขาบอกเล่าอาการเจ็บหน้าอก
หมอให้ทดลองกินยาโรคกระเพาะไปก่อน
"อย่าให้รักษาไม่ทันจนต้องตายไปเสียก่อนเหมือนอากง" สมศักดิ์พูด
...
ความจริงมีเรื่องราวในบทสนทนาระหว่างพวกเรามากมายกว่านี้
แต่ฉันไม่แน่ใจนักว่าพวกเขาและพวกเรามีสิทธิจะพูดได้มากขนาดไหน
หลังจากจดหมายของพวกเขาที่เขียนมาถึง อาจารย์ธีระพล
ได้รับการเผยแพร่ผ่านทางบล็อกประชาไทและข่าวสด
พวกเขาได้รับคำเตือนว่าไม่ควรพูดบางเรื่อง
หากไม่อยากให้สถานการณ์ของผู้ถูกคุมขังเลวร้ายไปกว่านี้
พวกเราก็คงต้องระวังมากขึ้นด้วย
ไม่ใช่เฉพาะผู้ที่ถูกคุมขังเท่านั้นที่สูญเสียอิสรภาพ
เสรีภาพของผู้อยู่ข้างนอกอย่างพวกเราก็มีจำกัดด้วยเช่นกัน
มันเป็นความเศร้าเสียยิ่งกว่าเศร้า
ที่เราไม่อาจบอกเล่าความเศร้าให้ใครได้รับรู้
...
บ่ายแก่ล่วงไปแล้ว..
ปัทมา บ่นหิวข้าวเพราะยังไม่ได้กินข้าวเที่ยง
วันนี้ไม่มีมวลชนมาทำกับข้าวเลี้ยง และอาหารที่ส่งมาล่าช้ากว่าเคย
เพื่อนแยกออกไปซื้อข้าวกล่องพร้อมน้ำอัดลมกระป๋อง
เมื่อข้าวกล่องมาถึง
ฉันชักไม่แน่ใจว่ารอยยิ้มนั้นสำหรับพวกเราหรือสำหรับข้าวทั้งสี่กล่อง :)
แต่การเห็นรอยยิ้มในสถานการณ์อันแห้งแล้งเช่นนี้
ก็นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีที่สุดแล้ว