Skip to main content

เศษขี้ตะกอนจากแสงพระอาทิตย์เป็นสีสนิมเหล็ก เรี่มหยอดเป็นจุดเล็กจุดใหญ่ตามหุบเขาด้านทิศตะวันตก มองดูไกลๆโน้นเหมือนกับนางระบำในเทพนิยายของชาวตะวันตก เสียงสะอื้น และเสียงก่นด่าราวกับโกรธเกลียดตัวเองมานับพันปีของผู้หญิงคนหนึ่งดังลอดออกมาจากพุ่มไม้ท้ายวัดด้านทิศตะวันออกให้ได้ยิน


เอื้อยขอโทษ เอื้อยบ่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นแนวนั้น! บ่แม่นเอื้อยบ่อยากให้น้องเป็นแนวนั้น! เอื้อยบ่ได้ต้องการให้น้องมาตายจากเอื้อยไป น้องฮู้บ่?”

ฟังจากเสียงร้องไห้แบบนี้ก็คงพอเดาได้ว่าผู้ตายต้องเป็นญาติใกล้ชิดกับเจ้าของเสียงร้องไห้นั้น เธอร้องไห้โหยหวนเหมือนกับว่าเธอได้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งผิดพลาดอย่างร้ายแรงไว้กับผู้ตาย


ถึงแม้ว่าตะวันสีแดงช้ำจะลับหายไปจากขอบฟ้า แล้วปล่อยให้ความมืดเข้ามาเป็นตัวกำหนดเวลาในดินแดนแห่งนี้ เสียงร้องไห้ครวญครางนั้นก็ยังคงดังทั้งเบาและแรงสลับกันไป บางครั้งเหมือนกับจะขาดใจ และเงียบไป แต่แล้วก็ค่อยๆ ดังกลับมาให้ได้ยินอีกครั้ง


บริเวณท้ายวัดเงียบสงบวังเวงอ้างว้าง เหลือเพียงแต่เงามืดขมุกขมัว มีบางครั้งเหมือนกับว่ากำลังมีบางสิ่งเคลื่อนไหวไปมา มีบางครั้งเหมือนกับว่ามันยืดตัวสูงขึ้นเกือบถึงปลายต้นมะม่วงแล้วต่ำลง เสียงร้องไห้นั้นยังคงดังลอดกิ่งไม้ใบหญ้าในบริเวณนั้นดังออกมาเป็นครั้งคราว...


ที่ร้านกาแฟของเช้าวันต่อมา ครึกครื้นพิเศษ ผู้คนมากกว่าปกตินั่งจมอยู่กับโต๊ะใครโต๊ะมัน เสียงถกเถียงกันเงียบลง เมื่อ ผล สำเร็จ ยกเรื่องเสียงร้องไห้ของผู้หญิงคนหนึ่งเมื่อตอนค่ำที่ผ่านมาขึ้นมาพูด แล้วเรื่องนี้ก็ถูกนำไปวิเคราะห์ต่างๆ นานาตามทัศนะของใครของมันตามสถานภาพของผู้แทนสภากาแฟ มีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย


อย่าเว้าเรื่องนี้อีก จักหน่อยวิญญาณของผู้ตายสิบ่ได้ไปเกิด มันสิกลายเป็นวิญญาณร้าย” คู่สนทนาต่างโต๊ะคนหนึ่งพูดขึ้นแกมอมยิ้ม

แม่นแท้ ท่าเป็นวิญญาณของคนตายโหง!” ผล สำเร็จ สรุปคำพูดของตัวเอง

การสนทนาเงียบไปนาน แล้วก็เริ่มขึ้นใหม่ หลังจากชายวัยกลางคนทรงผมรากไทรคนหนึ่งถือแก้วกาแฟเดินเข้ามาขอนั่งร่วมโต๊ะสนทนา


เรื่องนี้มันมีที่มาครึ่งมิดครึ่งแจ้ง...”

แล้วสายตาทุกคู่ก็เพ่งมองมาที่เขา แม้แต่ผล สำเร็จ ก็นัยน์ตาลุกวาวเช่นกัน แล้วหลายคนก็มองหน้ากันอย่างไม่กระพริบตา เมื่อเห็นหลายคนสนใจ เขาจึงมองซ้ายมองขวา แล้วเล่าเรื่องนั้นแบบลำดับเหตุการณ์โดยสังเขป


เขายกแก้วกาแฟขึ้นดื่มอึกหนึ่งแล้วพูดขึ้นมาว่า

เช้ามื้อหนึ่งในต้นเดือนก่อนนี้ มีรถเก๋งคันหนึ่งแล่นมาแต่เบื้องเทิงพูเพียงลงสู่เบื้องลุ่มด้วยความเร็วสูง พอแล่นมาฮอดโนนคังไปได้ระยะหนึ่งก็แล่นซ้ายแล่นขวาแล้วหายลิบเข้าไปในดงส้มคังเบื้องทิศใต้ ถัดมาประมาณ 10 นาทีก็มีคนมาให้ข่าวว่า รถเก๋งคันนั้นตายแล้วค้างอยู่ตะลิ่งขอบทาง ห่างจากบ้านคนไปประมาณ 250 เมตร ชาวบ้านต่างก็หุ้มไปเบิ่งรถเก๋งอยู่ท่าหงายท้อง พาดค้างต้นไม้ อยู่ในรถเก๋งมี 2 คน ผู้ชายอยู่ในท่ากำพวงมาลัย อีกเบื้องหนึ่งกอดเอวผู้หญิงสาวไว้ ผู้ชายมีอายุประมาณ 50 ปี ส่วนหญิงสาวคนนั้นตามบัตรประจำตัวแม่นอายุ 18 ปี ชายแก่คนนั้นเสียชีวิต ศพของเขาถูกหาบขึ้นมาไว้แคมทาง ส่วนแม่หญิงถูกนำส่งโรงหมอ เพราะยังพอมีลมหายใจอยู่ วันต่อมาก็มีข่าวแจ้งออกมาว่า ‘สาวน้อยคนนั้นแม่นน้องสาวของเจ้าของร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่ง

สาวน้อยคนนี้กำลังเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยมปลาย เวลาเลิกเรียนเธอจะมาช่วยเวียกเอื้อยอยู่ร้านอาหาร ตามข่าวบอกว่า เธอสาวน้อยคนนี้เป็นคนเรียนเก่งมีอนาคตไกล ตามข่าวบอกว่า เธอมีความตั้งใจในการเรียน และมีความหวังจะเรียนให้ได้สูงที่สุด ความหวังของเธออยากจะเรียนจบให้ถึงชั้นปริญญาโท ปริญญาเอก เธอบ่ปรารถนาอันใดนอกจากการเรียนเป็นต้นต่อและช่วยเวียกเอื้อยในยามว่าง แต่อยู่มามื้อหนึ่งแขกรายใหญ่ประจำร้านมาเห็น เขาจึงหมายมั่นปั้นมือ เพื่อครองสาวน้อยคนนี้ให้ได้ เธอชื่อว่า ‘อลิดา’ เพราะความที่เป็นสาวน้อยขึ้นใหม่ อลิดาจึงตกเป็นเป้าสายตาของเสือเฒ่าจำศีลที่มีแต่ความหิวกระหาย”


สามวันต่อมา อลิดาต้องชะงักเท้าก้าวสุดท้ายก่อนที่จะก้าวเข้าไปในห้องของพี่สาว เพราะการสนทนาทั้งแขก และพี่สาวเอ่ยถึงชื่อของตนเอง

อ้ายฮู้บ่นั่นแม่นอลิดาน้องสาวของน้อง!”

ข้อยบ่ฮู้ดอกว่าแม่นไผ แต่มันแม่นความต้องการของข้อย!”

ขอร้องเทาะอ้าย อย่าให้น้องต้องมาเป็นคนทำบาป ด้วยการทำลายน้องสาวของตนเองเทาะ!”

ข้อยบ่ได้ให้เจ้าเฮ็ดหยังให้ลาว เพียงแต่ข้อยต้องการลาวเท่านั้น และข้อยบ่ได้ต้องการเจ้า แล้วเจ้าจะเดือดร้อนเฮ็ดหยัง?


ตอนนี้มันเหมือนกับภูหินล้านก้อนหล่นทับหัวใจของอลิดา ขาทั้งสองข้างอ่อนลงทันที แต่เธอตั้งสติไว้ และรวบรวมพละกำลัง เพื่อประครองตัวเองไว้พร้อมทั้งฟังการสนทนาต่อไป

เจ้าคิดบ่ว่า กิจการของเจ้ามันยืนยาวมาฮอดทุกมื้อนี้ย้อนไผ? ไผเฮ็ดให้สามารถยืนอยู่ได้เท่าทุกมื้อนี้?” แขกผู้มาเยี่ยมพี่สาวอธิบาย

ก็แม่นอยูดอกว่า แม่นอ้ายแม่นพี่ แต่ก็บ่ได้หมายถึงว่า น้องต้องขายน้องสาวของตนเอง”

เจ้าเว้าแปลก มันแม่นการขายอยู่ใส ข้อยก็เพียงต้องการความสุขชั่วคราว น้องสาวเจ้าก็มีความสุข เพราะเธอก็มีเงินมีคำ กิจการของเจ้าก็ดำเนินไปได้ดี เจ้าบ่อต้องเว้าหยังอีก! เอา! เอาไป 50,000 บาท ให้มันแล้ว อธิบายให้มันเข้าใจทุกอย่าง มันจะไหลมาเทมา ของเท่านี้บ่เสียหายหยังดอก! เจ้าก็ได้ น้องเจ้าก็ได้ และข้อยก็ได้” พูดเสร็จแล้วเขาก็หัวเราะขึ้นด้วยเสียงอันดังคล้ายกับว่าโลกนี้เป็นของเขาเพียงคนเดียว


อลิดาไม่สามารถยืนฟังต่อไปได้ เธอรีบวิ่งกลับบ้าน เมื่อถึงห้องเธอทิ้งร่างลงบนเตียงนอนแล้วปล่อยเสียงร้องไห้ หยาดน้ำตาไหลลงตามความต้องการของมัน อลิดารู้ว่า คำพูดของแขกใจหนุ่มอายุแก่คนนั้นหมายถึงคงไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่หากว่าเขาหมายถึงเธอ เพราะอลิดามีเพียงพี่สาวคนเดียว และเธอก็เป็นน้องสาวคนเดียวของพี่สาว เธอไม่อยากคิดเลยว่าพี่สาวที่เป็นทั้งพี่สาวและแม่ในคราวเดียวกันคนนี้จะทิ้งน้องสาวให้แร้ง-กาเพียงเพื่อผลสำเร็จของตัวเอง คิดมาถึงตรงนี้ก็ทำให้ทุกอย่างผ่อนคลายลงได้บ้าง แล้วเธอก็ม่อยหลับไปท่ามกลางอากาศที่เยือกเย็นเข้ากระดูก...


ทุกคนพากันนั่งฟังอย่างไม่พูดกันเลย เสียงถอนลมหายใจของคนหลายคนดังขึ้นก่อนที่จะเหลียวมองหน้ากัน เขายกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่ม แล้วเริ่มเล่าต่อ


สามมื้อต่อมาก็เป็นวันบุญปีใหม่ อลิดากำลังนั่งอยู่ริมระเบียง เอื้อยกำลังเดินมุ่งหน้ามาหา อลิดามองเห็นเอื้อยแล้วยิ้มให้ อลิดาพยายามเฮ็ดสีหน้าให้เป็นปกติ แต่ในความจริงเธออยากถามเรื่องราวๆ ให้แจ้งข่าวมาแม่นหยังกันแท้ สิ่งที่เธอรู้แท้ๆ ก็คือเอื้อยกำลังเฮ็ดธุรกิจร้านอาหาร-กินดื่ม และอลิดาก็รู้ว่า มีหลายร้านที่สร้างขึ้นมาพร้อมกับร้านเอื้อยของเธอได้ตกอับไปแล้ว แต่กิจการของเอื้อยยังคงตัว และขยายตัวดีอีกด้วย”

อลิดา น้องนอนหลับดีอยู่บ่” พี่สาวถามอลิดาด้วยสำเนียงของคนเมา

หลับสบายดี เอื้อยนอนบ่หลับหวะ คือหน้าตาบ่ค่อยสดชื่นปานใด?”

นอนหลับดี!” พี่สาวก้มหน้าตอบด้วยเสียงแผ่วเบา

เอื้อยมีหยังอยากให้น้องช่วยอยู่บ่”


พี่สาวส่ายศีรษะไปมา ทั้งยิ้มให้อลิดา ถึงแม้ว่าพี่สาวจะพยายามซ่อนความในใจเอาไว้ แต่ความเศร้ายังคงปรากฏริ้วรอยให้เห็นบนใบหน้า อลิดาเข้าใจความรู้สึกของพี่สาวดี แต่ก็ไม่เข้าใจว่าด้วยเหตุผลใด? เพราะอะไรพี่สาวถึงได้พูดคุยกับชายแก่คนที่มาหาพี่สาวเมื่อวาน และพูดคุยกันอย่างที่เธอได้ยิน เธออยากถามพี่สาว แต่ความกล้าหาญมีไม่พอ เพราะพี่สาวก็เปรียบเหมือนแม่ซึ่งเป็นทั้งพี่สาวและแม่ที่เธอเคารพอยู่ดี น้ำตาของอลิดาเริ่มล้นเบ้าตาแล้วไหลลงดินอีกครั้งเมื่อพี่สาวเดินทางกลับไป อลิดาคิดถึงพ่อ แม่ เวลาที่ทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ คิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาในชีวิต เธอไม่เคยพบกับความลำบาก เมื่อพ่อแม่จากไปด้วยไม่มีวันกลับมา เธอยังมีพี่สาวผู้ซึ่งให้ทุกสิ่งทุกอย่างแก่เธอ


เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน แป๊บเดียวก็เป็นเดือน พี่สาวไม่รู้ว่าจะหาคำตอบใดให้กับแขกประจำรายใหญ่คนนี้ คำพูดของแขกคนนั้นยังคงก้องอยู่ในหูตลอดเวลา

มันแม่นความต้องการของข้อย! ข้อยต้องการน้องสาวของเจ้า แต่บ่แม่นต้องการเจ้า เว้าหลายให้เปลืองน้ำลายเฮ็ดหยังเจ้าต้องอ่อยนางให้ได้...!”


พี่สาวยกมือขึ้นปิดหูทั้งสองข้างแล้วร้องดังๆ ออกมา เพื่อหวังผ่อนคลายความทุกข์ใจให้มันมอดดับลง ร้องเพื่อทุกอย่างจะได้สว่างออก แต่มันก็จนปัญญา ทุกอย่างยังคงมืดมนอยู่เช่นเดิม


แขกรายใหญ่เขาปรากฏตัวอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับรอยยิ้มของผู้ชายเจ้าเล่ห์ เขามาครั้งนี้เพื่อคำตอบในสิ่งที่เขาคิดว่าควรจะได้ สายตาของเขาจ้องพี่สาวของอลิดาไม่กระพริบ ตาแดงผิดปกติ เหมือนดวงตาถูกย้อมด้วยเลือดจากการประหัตถ์ประหารของเพชฌฆาต

อย่าสิเว้าว่า เจ้าบ่ได้เว้าหยังกับอลิดา!”

เจ้าสิให้ข้อยเฮ็ดแนวใด ในเมื่อลิดาแม่นน้องสาวของข้อย!” พี่สาวของอลิดาทั้งพูดทั้งร้องไห้

เจ้านี้สิเฮ็ดการค้าใหญ่โตเพียงส่ำนี้ยังเฮ็ดบ่ได้! เจ้าอย่าลืมว่า ถ้าบ่มีข้อย เจ้าบ่สามารถดำเนินมาฮอดมื้อนี้ได้! ถ้าเจ้าบ่ลงมือก็อย่า แล้วอย่ามาเว้าว่าข้อยใจดำแล้วกัน” เขาพูดด้วยเสียงดังสะท้อนไปทั้งห้อง ใบหน้าแดงเข้มด้วยอารมณ์อันร้อนแรง เมื่อพูดจบเขาก็เดินออกจากห้องไป พี่สาวของอลิดาคว่ำหน้าลงกับหมอนส่งเสียงสะอื้นด้วยความเจ็บปวดอันร้าวลึกเหลือประมาณ เธอปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาจนหมอนข้างเปียก แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะสามารถทำให้มันหยุดไหลได้ แล้วเวลาก็ผ่านไปจนเที่ยงคืน และล่วงเลยไปจนสว่างทั้งที่พี่สาวของอลิดาไม่ได้เอนกายลงหลับตาเลยแม้แต่น้อย


สามวันต่อมา แขกรายใหญ่ประจำร้านก็มาปรากฏตัว เขาสั่งวิสกี้มาหนึ่งชุดดื่มจนหมดสองแก้วจากนั้นก็ขึ้นไปบนเวที

ท่านแขกผู้มีเกียรติ มื้อนี้เป็นมื้อที่ข้าพเจ้ามีเกียรติที่สุด ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขอประกาศให้ทราบว่า ทุกโต๊ะในร้านนี้ขอเป็นหน้าที่ของข้าพเจ้า มื้อนี่กินดื่มให้สุดใจ บ่ต้องเกรงใจ ข้าพเจ้าขอเป็นเจ้ามือจ่ายค่าอาหาร และเครื่องดื่มให้ทุกท่านทุกอย่าง...” เมื่อพูดจบเขาก็เดินลงจากเวที


เสียงปรบมือกึกก้องไปทั่วร้านแล้วทุกอย่างก็ผ่านไปท่ามกลางราตรีกาล มีหลายสิ่งหลายอย่างวุ่นวายขึ้น การทวงหนี้จากลูกค้าทั้งประจำและไม่ประจำเริ่มยากขึ้น คนที่เป็นขาประจำใหญ่ที่สุดของร้านเพียงคืนเดียวที่เขาเหมาก็นับได้เป็นเงิน 2-3 ล้านกีบ พี่สาวของอลิดารู้ดีว่าสาเหตุที่เขาไม่ยอมจ่ายค่าอาหาร และเครื่องดื่มในคืนนั้น เขามีเป้าหมายอย่างไร การที่มีลูกค้าติดหนี้คืนหนึ่งอย่างมากก็เพียง 3 แสนกีบ แต่คืนนี้ยอดหนี้กลับพุ่งไปที่หลักล้าน มันเป็นการจงใจแกล้งกันชัดๆ ในที่สุดเหตุการณ์นี้ก็บังคับให้เธอตัดสินใจโทรศัพท์ ละคำตอบที่ได้รับกลับมาคือเธอต้องยอมตามที่เขาต้องการทุกอย่าง เมื่อได้ตามที่เขาต้องการแล้ว เขาจะจ่ายหนี้ทั้งหมดรวมทั้งดอกเบี้ย และคืนนี้ก็เช่นเดียวกัน เขาเดินเข้ามาในร้าน แล้วก็ขึ้นเวทีประกาศ


ข้าพเจ้าขอประกาศให้ทราบอีกว่า ข้าพเจ้าจะจ่ายค่าอาหาร และเครื่องดื่มให้พวกท่าน ขอให้ทุกคนกิน และดื่ม เพื่อความสุข...” แล้วเขาก็เดินลงจากเวที เสียงปรบมือ และเสียงกระซิบบอกถึงความแปลกประหลาดใจของคนที่มากินดื่มในร้านถึงเหตุผลที่เขาขันอาสาเป็นเจ้ามือก็แทรกอยู่ในเสียงปรบมือด้วย แต่คืนนี้เขาแปลกประหลาด เพราะเห็นพี่สาวของอลิดายืนจ้องหน้าเขาอยู่เนิ่นนาน เขานั่งลงจับแก้ววิสกี้ขึ้นมาดื่มพร้อมทั้งพูดว่า


มีหยังจะเว้า รีบเว้าแล้วก็รีบไปจากโต๊ะ ข้อยกำลังม่วน” พูดจบเขาก็ยกเท้าขึ้นมาไขว่ห้าง

อ้ายเอย น้องขอร้อง อย่าเฮ็ดให้น้องซ้ำใจกว่านี้เลย! ส่ำนี้น้องกะใจสิขาดอยู่แล้ว”

ข้อยเฮ็ดหยังให้เจ้าซ้ำใจ”

อ้ายบ่อี่โตนน้องบ่ เพียง 4-5 คืนไล่ใส่กันมันก็ฮอด 10 ล้านแล้ว ธุรกิจน้องคือสิไปบ่ฮอดแล้ว” น้ำเสียงของพี่สาวอลิดาสั่นเครือทั้งดวงตาก็แดงก่ำคล้ายกำลังจะร้องไห้


เจ้าฮู้บ่ ข้อยสร้างเจ้าขึ้นมาได้ ข้อยก็หักคอเจ้าได้เช่นกัน” น้ำเสียงของแขกดังขึ้นผิดปกติ

น้องเข้าใจ....” พี่สาวของอลิดาต้องหยุดพูด เพราะเขาชิงพูดขึ้นมาก่อน

เจ้ากล้าพอบ่ที่จะขึ้นไปเทิงเวทีแล้วประกาศว่า ‘ขอลบล้างคำประกาศของข้อยเมื่อกี้นี้’ และจงเข้าใจไว้ด้วย ถ้าเฮาตกลงกันบ่ได้ก็หยุด แต่ถ้าตกลงกันได้ เงินจะไหลมาเทมาหลายกว่านี้... ” พูดเสร็จเขาก็ลุกขึ้น และเดินหนีออกไปจากร้านกินดื่มทันที คืนนี้ก็เป็นเช่นคืนที่ผ่านมา ทางร้านไม่สามารถเก็บเงินได้แม้แต่กีบเดียว หัวใจของพี่สาวอลิดาเหมือนกับถูกติดห้อยไว้ด้วยระเบิดเวลา ซึ่งไม่รู้ว่าวันใดมันจะทำงาน


เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของอลิดาตลอด แต่เธอก็ยังไม่เข้าใจแจ่มชัดว่า เป็นเพราะเรื่องใดกันแน่จึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ หลังจากจัดแจงการงานของตัวเองเสร็จสิ้น อลิดาก็เข้าไปหาพี่สาว แต่แล้วต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของพี่สาวดังเล็ดลอดออกมาจากข้างใน


อลิดาเอย ท่าน้องฮู้ น้องจะหาว่าเอื้อยขายน้องสาวตัวเอง อลิดา เอื้อยบ่ได้มีเจตนาแนวนั้น...เอื้อยจะเว้าแนวใดกับน้องดี”

อลิดาเองเมื่อได้ฟังก็ไม่สามารถทนได้ น้ำตาจึงไหลลงมาอาบแก้ม ทุกอย่างมันบังคับให้เธอเปิดประตูเข้าไปหาพี่สาว เธอส่งเสียงร้องไห้ออกมาก่อนจะเอ่ยถามพี่สาวทั้งน้ำตา


เอื้อยเอยมันแม่นหยังกันแท้ คนโหดเหี้ยมปานนี้กะมีหวะ”

ดา! เอื้อย...เอื้อย...ย”

เอื้อยบ่ต้องเว้า น้องเข้าใจหมดแล้วละ”


แล้วทั้งหมดก็หยุดอยู่ตรงนั้น มีเพียงเสียงร้องไห้ครำครวญรำพึงรำพันต่อกัน สิ่งที่เป็นเพื่อนและมาพร้อมกับเสียงร้องไห้นั้นก็คือความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ทุกอย่างอัดแน่นสุมรุมจนแทบจะไม่เหลือช่องให้หายใจ ความน้อยเนื้อต่ำใจและความเอารัดเอาเปรียบมันเสียบแทงกลางใจให้เจ็บแสบ...


พี่สาวของอลิดาพยายามอดกลั้นและอธิบายความจริงให้อลิดาฟังจนหมดทุกอย่าง ทุกคำพูดที่กลั่นออกมาจากริมฝีปากมันเป็นคำพูดที่ขาดวรรคตอนจนแทบจับใจความไม่ได้ ในที่สุดเหตุการณ์ทุกอย่างก็ถูกเปิดเผยออกมา อลิดาลุกจากเตียงรีบเช็ดน้ำตา แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเข้มแข็ง


แนวใดน้องก็บ่เฮ็ด เอื้อยฮู้บ่ น้องจะเรียนให้จบด๊อกเตอร์พุ้น! น้องบ่แม่นผู้หญิงหาเงินแนวนี้”

แล้วอลิดาสิให้เอื้อยเฮ็ดแนวใดซั้นน่า”

เอื้อยจะเฮ็ดแนวใดก็ตามใจเอื้อย! แต่น้องบ่เฮ็ดนำ น้องจะบ่ขายความสาวของตนเองแน่นอน”


บรรยากาศสองเอื้อยน้องเริ่มก่อแรงเจ็บปวดเล็กๆ ขึ้นในขั้วหัวใจของทั้งสอง ปัญหาของขาประจำรายใหญ่กับอลิดา มันก็ยังคอยหลอกหลอนหัวใจของพี่สาวอลิดาให้สั่นไหวในหัวใจ และรอยร้าวระหว่างพี่สาว และน้องสาวก็เริ่มแผ่ขยายออกกว้างขึ้นทุกที


อลิดาปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาแล้วหยดลงพื้นดิน เพื่อจะให้เจ้าแม่ธรณีรับรู้ความเจ็บปวดของเธอ และหยดน้ำตาก็อาจจะไหลออกมาอย่างนั้น เพื่อว่าวันหนึ่งในอนาคตข้างหน้ามันจะไหลออกสู่มหาสมุทรคงคา เพื่อพญานาคได้รับรู้ และช่วยเธอให้พ้นภัยพิบัติ หากว่าสิ่งทั้งหมดนั้นเป็นจริง


หยดน้ำตายังไม่ทันเหือดแห้ง เหตุการณ์ที่ไม่นึกไม่ฝัน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เด็กหญิงสาวอายุ 18 ปีอย่างอลิดาคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น มีมือขนาดใหญ่จากด้านหลังอุดปากของเธอไว้ อีกข้างหนึ่งก็อุ้มเอาเธอขึ้นไปบนรถปาเจโร่ติดฟิล์มกรองแสงหนาทึบ ฝ่ามือใหญ่นั้นอุดปากของเธอเอาไว้แน่นขึ้นกว่าเดิมจนในที่สุดเธอก็สลบไป


อลิดารู้สึกว่าหน้ามืด แหงนหน้าขึ้นมองเพดานเหมือนกับว่า เธอกำลังล่องลอยอยู่กลางแม่น้ำกว้างใหญ่ เธอพยายามหลับตากลืนน้ำลายลงคอ ตั้งสะติมั่น แล้วลืมตาขึ้นครั้งใหม่จึงรู้สึกว่า ตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงที่ปูด้วยผ้านวมกลิ่นแปลกๆ ผืนใหญ่ เธอพยายามขยับไปมา แต่เหมือนกับมีใครเอาหินก้อนใหญ่มามัดแขนไว้ โอย...นี่เธอถูกชายผู้มากด้วยตัณหาข่มเหงหรือนี่ อลิดาร้องไห้สุดเสียง แต่เสียงนั้นไม่ดังพอและเธอก็ค่อยๆ สิ้นเรี่ยวแรงลง


บ่ต้องร้องไห้ดอก! ทุกอย่างมันเป็นไปตามธรรมชาติของมนุษย์ ทุกอย่างอ้ายจะรับผิดชอบเอง” คำว่า ‘อ้าย’ ทำให้อลิดาตกใจ ทั้งรู้สึกตัว หลังจากนั้นความสยดสยองสะอิดสะเอียนก็เดินทางมา แต่ทุกอย่างมันก็ถูกกำหนดขึ้นมาแล้ว ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก


อลิดาได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญ และเธอก็คิดถึงอนาคตอันสว่างไสว แต่ก้อนเมฆสีดำทะมึนก็วิ่งมาขวางทางความคิดนั้นเสีย ก้อนเมฆสีดำมันไม่อนุญาตให้เธอก้าวไปสู่ความสว่างไสวข้างหน้า เธอไม่กล้าแม้แต่จะก้าวขาออกไปข้างนอก เพราะเป็นอาทิตย์แล้วที่เธอต้องตกเป็นทาสบำเรอให้กับคนมักมากในกาม เธอคงไม่สามารถโทษใครได้ แต่เธอได้แต่โทษตัวเองที่เกิดมาเป็นคนสวย เป็นคนดี ชอบสวนทางกับความชั่วที่ต้องการทุกอย่าง เพื่อบำเรอราคะตัณหา ซึ่งคนพวกนั้นเรียกมันว่า ‘ความสุข’


อลิดาเหมือนหมดสิ้นหนทางที่จะเลือกตามสิ่งที่ตนเองต้องการ เธอพาตัวเองมุ่งหน้าไปสู่การสนองความต้องการของคนมากตัณหา เพื่อดับมอดตัณหาของเขาลง เธอลุกขึ้นเช็ดน้ำตา ทาแป้ง แต่งตัวเหมือนคนตะวันตก ใช้น้ำหอมราคาแพงขวดละเป็นแสน เพื่ออยากรู้ว่า เมื่อใดราคะตัณหาของคนจะหมดไป เธอเคลื่อนไหวอย่างนั้นครึ่งสว่างครึ่งมืดกับแขกประจำคนนี้ อลิดาขึ้นเหนือล่องใต้ ในที่สุดเธอได้ประสบอุบัติเหตุ แม้ว่ารอดตาย แต่ขาข้างขวาหัก ภายหลังหายดีแล้ว อยู่ต่อมาอีกประมาณ 3 เดือนก็เป็นระยะเวลาของการอยู่กับคราบน้ำตา กินอาหารกับความแค้น และความน้อยเนื้อต่ำใจ


อลิดาไม่ต้องการแม้แต่อ้าปาก เพื่อกินอาหารเลี้ยงชีวิตให้อยู่ต่อไปในแต่ละวัน ชีวิตของเธอทรุดโทรมลงเป็นลำดับ และเปรอะเปื้อนด้วยน้ำตาที่ไม่ยอมหยุดไหล แต่น้ำตาก็ไม่สามารถล้างความทรงจำอันเปรียบเหมือนพายุร้ายที่ปิดฉากความสาวของเธอ ถึงแม้ว่าผู้เป็นพี่สาวจะทำทุกอย่าง เพื่อให้อลิดาหายจากความโศกเศร้าเสียใจ...แต่ในที่สุด เธอก็ต้องลาจากโลกใบนี้ไป เพื่อปิดฉากละครชีวิตของเธอเอง...


หลายคนถอนหายใจยาวๆ พร้อมกับส่ายศีรษะไปมา ความเศร้าปรากฏให้เห็นอยู่บนใบหน้าของใครหลายคน ผล สำเร็จ เดินออกมาจากร้านกาแฟพร้อมกับพึมพำกับตัวเอง “สมพอดอก เสียงร้องไห้โหยหวนที่ท้ายวัดเมื่อค่ำวานนี้จึงคือกับมีความกินแหนงแคลงใจของคนในวงจรละครชีวิต...”


ผล สำเร็จยิ้มแห้งๆ ส่งเสียงหัวเราะ ฮึ ฮึ! ที่แฝงฝังไว้ด้วยความเศร้า เดินออกไปสู่ถนนใหญ่ใจกลางเมือง



บล็อกของ แสงพูไช อินทะวีคำ

แสงพูไช อินทะวีคำ
จริงๆแล้วผมพยายามถอดความจากกวีที่เป็นสำนวนภาษาลาวมาเป็นคำไทย.... แต่คงไม่ไพเราะเหมือนคำลาวที่ผมแต่งไว้เพราะการเขียนภาษาไทยไม่ดีพอ..... อย่างไรก็ตาม ผมมีความตั้งใจมากเพื่อการสื่อความเข้าใจทั้งสองด้านให้กลายเป็นพลังแห่งความรักของสองชาติลาวไทย  ผมมีความต้องการสูงสุดให้คนลาวและไทยมีความเข้าใจกันมากขื้น  ผมเข้าใจว่าในโลกใบนี้หากไม่มีคำว่า “ศัตรู” คงดีที่สุดพี่สัญญากับน้องว่าจะเปลี่ยนพี่จะเพียรแต่งแต้มแปลงเรือนผมผมไม่แดงเหมือนฝรั่งหลอกพี่ว่าแต่มาเจอเธอยิ่งกว่าเดีมผมก็แดงแทงใจน้องหูก็บ๋องมีต่างช่างเปลียนไปหูก็บ๋อง ผมก็แดงมันแทงใจก็นั้นไง…
แสงพูไช อินทะวีคำ
วันนี้ผมมีของฝากจากเมืองลาว มาให้พี่น้องได้อ่านกัน สิ่งที่ผมจะนำมาให้อ่านในประชาไทเป็นบทกลอนที่ผมแต่งขื้นเมื่อปี 2003 ระยะนั้นผมมองเห็นอะไรสักอย่างหนิ่งที่มันแฝงตัวอยู่กับสังคมลาว บางทีสิ่งที่พูดอาจไม่ใช่เป็นสิ่งที่เกีดขื้นในเมืองลาวเพียงอย่างเดียว......แต่มันอาจเป็นสิ่งที่เกีดขื้นในทั่วโลกก็เป็นได้ แต่ในที่นี้ผมขอใช้เป็นสำนวนภาษาลาว ด้านหนิ่งสมบูรณ์ด้วย  มูนมากเงินคำด้านหนิ่งต่ำเพียงดิน  คอบความจนไฮ้(ไร้)เปลียบเหมือนไฟลามไหม้  มะไลกันบ่ดับมอด   เป็นแล้วสองส้นเตาะต่อยดั้น  ครือพ้าบั่นขวานยามเมื่องกางต่อน้ำ  พัดขาดเป็นวังกางต่อฟังคำหวาน …
แสงพูไช อินทะวีคำ
ที่ ESCUDERO, ประเทศ Philippines“ไปทานข้าวกันเถอะ!”..............เธอเป็นคนค่อนข้างอ้วนท้วน  ยักไหล่เบาๆ...ปล่อยคำทักทายเหมือนกับเธอมีอำนาจสูงสุด ใช่จริงด้วยเพราะเวลานี้มันเลยเที่ยงไปแล้ว หลายคนท้องร้อง คอยให้ผู้รับผิดชอบงานสัมมนาบอกให้หยุดพักได้“วันนี้ไปรับประทานอาหารในสถานที่แปลกๆ กันนะ”....เธอร้องบอก ขณะที่ทุกคนเร่งเดินออกจากห้องประชุมมุ่งหน้าไปที่ร้านอาหาร......“เขาบอกว่าจะทานข้าวบนผิวน้ำ!”....หนุ่มฟิลิปปินส์คนหนึ่งเดินเข้ามาพูดกับผม“อ้าว! จะไปทานได้ไงล๋ะ?”“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”ผมมองหน้าเขา แล้วหนุ่มคนนั้นก็มองหน้าผม ในที่สุดเราทั้งสองก็หัวเราะ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรอีก…
แสงพูไช อินทะวีคำ
หยุดการพูดถึงวรรณคดีปฏิวัติไว้สักระยะหนึ่งก่อน แล้วค่อยพูดกันต่อไป...หันมาพูดเรื่องวัฒนธรรมให้อิ่มใจสักนิดหนึ่ง.........เพื่อนฝั่งเชียงของบอกผมว่า อยากอ่านงานเขียนเกี่ยวกับเรื่องวัฒนธรรมลาว ผมก็นึกจะเขียนตามนั้น แต่พอเอาเข้าจริงๆ มันไม่ใช่อย่างที่นึกเอาไว้ เพราะวัฒนธรรมชุมชนในบางแห่งเลือนหายไปอย่างมาก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนก็คงเป็นพิธีกรรมขอน้ำฟ้าน้ำฝนของชุมชนในชนบท   เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ผมก็คิดไปว่า เราจะพูดเรื่องนี้ให้ใครฟัง?  จะพูดให้ตัวเราเองฟังก็อายตัวเอง เพราะเหตุการณ์มันไม่ใช่เป็นไปอย่างเดิมแล้วผมขอพูดถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างทางพิธีกรรมดีกว่า…
แสงพูไช อินทะวีคำ
วรรณคดีปฏิวัติที่กล่าวถึงมากที่สุดก็คงจะเป็นปรปักษ์สองด้าน คือ การปฏิวัติและระบบการปกครองเก่า การสะท้อนให้เราได้เห็นความอยุติธรรม นักประพันธ์ปฏิวัติสะท้อนให้เห็นภาพในระบบการปกครองเก่าได้ชัดเจน ว่า ระบบการปกครองเก่า เวลาใดก็เป็นปรปักษ์อย่างที่สุดต่อกับการปฏิวัติ ความอยุติธรรมส่วนมากก็คงเกิดขื้น บนแผ่นดินที่นอนอยู่ใต้แห่งการควบคุมของระบบการปกครองของระบบเก่าที่เวลาใดก็เป็นศัตรูสุดขีดต่อการปฏิวัติลาว ในบทประพันธ์สะท้อนให้เห็นมากที่สุดก็คงเป็น หนุ่มสาวพร้อมเพรียงกันหลบหนีจากแผ่นดินเกิดของเขา ไปหาการปฏิวัติวรรณคดีปฏิวัติที่พบเห็นส่วนมาก นักประพันธ์ชอบใช้ในรูปของการบันทึกเป็นส่วนใหญ่…
แสงพูไช อินทะวีคำ
มีหลายอย่างที่สะท้อนออกมาให้เราได้เห็นและคิด เมื่อมองเห็นภาพโดยรวมที่ว่า- -ทำไมนักเขียนถึงกำเนิดขึ้นในระยะที่ประเทศชาติทำการปฏิวัติชาติประชาธิปไตย? นักเขียนปฏิวัติมีจุดยืนของตัวเองอย่างไร เพื่อเขียนบทประพันธ์ของตน? นักประพันธ์ปฏิวัติมองเห็นข้อบกพร่องอะไรบ้างของระบบล่าอาณานิคมแบบเก่าและใหม่?  พวกเขาใช้หลักการประพันธ์อย่างไรเพื่อให้คนอ่านได้มองเห็นความสมจริงของเรื่อง?  นักประพันธ์ปฏิวัติมีความต้องการให้เข้าใจการปฏิวัติอย่างไรและเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งต่อระบบจักรววตินิยม? คำถามเหล่านี้ตั้งขึ้นเพื่อการหาคำตอบว่า นักประพันธ์มีจุดยืนของตนอย่างไรเพื่อการเขียน!…
แสงพูไช อินทะวีคำ
ในประเทศลาว หากเอ่ยถึงวรรณคดีปฏิวัติแล้ว หลายคนก็เข้าใจทันทีที่เอ่ยถึง ว่าเป็นบทวรรณคดีที่แต่งขึ้นในยุคที่ทำการปฏิวัติชาติประชาธิปไตย ซึ่งเป็นระยะที่ประเทศชาติลาวตกเป็นอาณานิคมของจักรพรรดิเก่าและใหม่  ระยะนี้วรรณคดีเกิดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์อยู่อย่างหนึ่ง คือ เป็นเครื่องมือรับใช้ให้แก่การปฏิวัติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปลดปล่อยประเทศชาติและประชาชนออกจากการกดขี่ของจักรวรรดินิยม เพื่อให้ชาติและประชาชนมีเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตยประชาชนเมื่อเป็นเช่นนั้น วรรณคดีปฏิวัติระยะนี้จึงมีความสำคัญมากในการประกอบส่วนเข้าในการโฆษณาเผยแพร่ผลงาน และการชนะสงครามของการปฏิวัติ,…