วรรณคดีปฏิวัติ ตอน 3

วรรณคดีปฏิวัติที่กล่าวถึงมากที่สุดก็คงจะเป็นปรปักษ์สองด้าน คือ การปฏิวัติและระบบการปกครองเก่า

การสะท้อนให้เราได้เห็นความอยุติธรรม นักประพันธ์ปฏิวัติสะท้อนให้เห็นภาพในระบบการปกครองเก่าได้ชัดเจน ว่า ระบบการปกครองเก่า เวลาใดก็เป็นปรปักษ์อย่างที่สุดต่อกับการปฏิวัติ ความอยุติธรรมส่วนมากก็คงเกิดขื้น บนแผ่นดินที่นอนอยู่ใต้แห่งการควบคุมของระบบการปกครองของระบบเก่าที่เวลาใดก็เป็นศัตรูสุดขีดต่อการปฏิวัติลาว ในบทประพันธ์สะท้อนให้เห็นมากที่สุดก็คงเป็น หนุ่มสาวพร้อมเพรียงกันหลบหนีจากแผ่นดินเกิดของเขา ไปหาการปฏิวัติ

1

วรรณคดีปฏิวัติที่พบเห็นส่วนมาก นักประพันธ์ชอบใช้ในรูปของการบันทึกเป็นส่วนใหญ่ ทั้งเป็นการบันทึกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ หรืออาจเป็นการบันทึกซีกเสี้ยวหนึ่งในทางประวัติศาสตร์ด้วยการเติมรสชาติของงานศิลป์เข้าไป ทำให้งานมีความบรรจงและงดงามขื้นเต็มอีกขั้น

แต่สิ่งเติมเต็มลงไปนั้น ก็คงจะหนีไม่พ้นในเรื่องของความจ็บปวดจากสงครามที่ไม่มีใครปรารถนา ความหมดหวัง สิ้นหวังและไร้มนุษยธรรมของระบบการปกครองเก่า เป็นการบันทืกเสียงร้องไห้ครวญครางเรียกหาความช่วยเหลือ ความหวังในวันใหม่และการฟื้นชีพของผู้คนที่ได้มีโอกาสพบกับแสงสว่างของการปฏิวัติ

อย่างที่เราเข้าใจแล้วว่า การบันทึกใดก็ตามที หากเป็นการบันทึกที่ละเอียดรอบคอบดีและบันทึกอย่างเป็นระบบของมันได้ดีแล้ว ก็จะทำให้บทนั้นๆ กลายเป็นบทวรรณคดีที่ดีได้เช่นกัน แม้ว่านักประพันธ์จะไม่ได้ให้ความสำคัญ มากนักกับการประพันธ์ก็ตามที

บทวรรณคดีปฏิวัติที่เราได้พบเจอนั้นก็มีการประพันธ์ที่ดี มีรสชาติแห่งวรรณกรรม ซึ่งผู้แต่งก็มีความพยายามสูงเพื่อสร้างสรรค์งานออกมาให้น่าอ่าน รับใช้สังคมและได้รับความนิยมมากอันได้แก่ ‘กองพันที่สอง’ ของ ‘ส.บุบผานุวง’ ‘พะยุชีวิต’ ของ ‘ดาวเหนือ’ ทั้งสองท่านพูดได้ว่า เป็นตัวแบบที่ดีในวงการประพันธ์วรรณคดีปฏิวัติเท่าที่เคยเจอมา

2

อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังคงเข้าใจว่า วรรณคดีปฏิวัติเป็นการริเริ่มก้าวสู่ถนนแห่งวรรณกรรมในระยะนี้ เป็นการให้โอกาสใหม่เพื่อคนรุ่นหนุ่มสาวได้มีความสนใจในเส้นทางวรรณกรรมมากขึ้น เป็นการสร้างสรรค์วรรณคดีในระยะใหม่ด้วย ไปพร้อมๆกับการต่อสู้ปลดปล่อยชาติออกจากการเป็นทาสรับใช้ ให้แก่สังคมเก่าและต่างชาติ ฉะนั้น การที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างภาคภูมิใจที่สุดในการสร้างสรรค์ วรรณกรรมของชาติให้สูงเด่นขื้นเรื่อยๆ นั้น ต้องได้เข้าใจให้มากขึ้นด้วยการเรียนรู้ให้มากขึ้นเช่นกัน เพราะเราๆไม่มีความสามารถที่จะยึดติดอยู่กับสิ่งเก่าๆเพื่อเป็นต้นแบบโดยไม่มีการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาไม่ได้ เพราะว่าในตัวของวรรณกรรมปฏิวัติก็มีความต้องการเสริมแต่งในสิ่งใหม่ๆให้สูงเด่นขื้นไปอีกอย่างมาก โดยเน้นรูปแบบการประพันธ์เมื่อพูดอย่างนั้นก็อาจมีคำถามขึ้นมาว่า ทำอย่างไรถึงจะพูดได้ว่าเป็นการประพันธ์? ผมขออนุญาตเสนอบางอย่าง ดังนี้

“มือเธอสั่นนิดๆ ในขณะที่เธอโขย่งตัวขึ้นบิดลูกบวบอ่อนๆ บนขอบรั้วบ้าน” นี่คือประโยคเล็กๆ ที่นำเสนอพอให้มองเห็นภาพของการเคลื่อนไหวของตัวละครเท่านั้น

เพราะในบทประพันธ์หลายๆ บท ยังคงสับสนทำให้เรายังมองไม่เห็นภาพที่ชัดเจนเท่าไรนัก

ความเห็น

Submitted by แม่ญิงโย-นก on

สะบายดีท้าวแสงพูไซ

ขอโทดเด้อ ข้าพเจ้าบ่อได้มีโอกาสมาเยี่ยมยามดนแล้ว เวียกหลายแท้ๆ ข่าวว่าท่านมีโอกาสมาเที่ยวอยู่เมืองเจียงใหม่ แม่นแท้บ่อ หวังว่าได้ฮับความสุขใจ๋เมือไปเวียงจันทน์เด้อ

อยากเห็นตัวอย่างเนื้อหาปื้มวรรณกรรมปฎิวัติ ท้าวแสงพูไซอาจยกตัวอย่างบางตอน แล้วข้าพเจ้าอาจซ่อยถอดความเป็นคำไทยก่อได้

แล้วพ้อกั๋น

Submitted by supa -su- on

เรื่องศ่าสนาไม่ควรมาย่งการเมือง ศาสนาเป็นสิ่งที่ดีเป็นเครื่องช่วยคลายเครียดทำให้มนุษย์มีสันติสุขถ้าหากมนุษย์นำเดินตามคำสั่งสอนและไม่ปะปนกัน โลกก็มีสันติสุข แต่มนุษย์ได้เอามาศาสนามาเป็นเครื่องมือหล่อเล้ยงเพื่อความเป็นใหญ่ เพื่ออำนาจ ก็เกิดปัญหาตามมาเพราะว่าแต่ละยุคมีการวัฒนา มีการเปลื่ยนแปลง เรียนรู้ ทุกสิ่งนั้น ก็เป็นอนิจจัง ทุกอย่างก็เป็นการสูญจุดสุดท้ายก็มนุษย์ต่างมาจากดิน ถ้าหากเรามีความเจตนาดี เราคิดว่าเราทำสิ่งที่ดีที่สุด แต่ก็จะมีปัญหาว่าคนเราต่างความคิด ความชอบ มีหลากหลาย มุนมองก็ต่างกัน เพืยงแต่เราจะยอมอยู่ภายใต้แห่งการถ่อมใจว่า จะเชื่อฟัง ใคร เท่านั้น ถ้าเรามีตำแหน่งตรงนั้น แต่เราไม่เห็นด้วยเราก็ยอมไปเรื่อย จนสุดท้ายก็เป็นของเน่า เพราะสิ่งที่ยอมกลายความเก็บกด ผลอารมณ์ ถ้าเราไม่มีจุดยื่นเป็นหลักการทั่วไป คือ เช่นยุคหนึ่งไม่ใส่เสื้อผ้า แต่เมื่อเรามองดูไม่สวย เราก็คิดว่าควร
ใส่ ปกปิด แต่เมื่อเราดูหลักการว่าเราจะใส่ใครก็ตามไม่ใส่ หลักการของเราคือใส่ แม้เปลื่ยนไป
หลักก็เหมือนเดิม ใส่ ใครว่าจะเราเป็นอย่างไร ก็ไม่สนใจ ต่างก็มีความคิด กฏเกณฑ์ แล้วคนนั้นยินยอม กฎเกณฑ์

รักของเราสองคน

 
น้องกล่าวว่าสะพานข้ามของโยงใจรัก
เชื่อมสัมพันธ์แน่นหนักสองฝั่งของ
แต่อ้ายว่าสะพานขัวนั้นมันเชื่อมโยง
สองฝั่งของของน้องพี่คู่เคียงกัน

ส่งพรปีใหม่

 
 
 
สุขลุลาภได้.....................ชัยประเสริฐยอถืง
เลิงๆเบยบานสุข...............ทุกข์อย่าเวินมาต้อง
ความหมองเหยหายเสี้ยง....เหลือเพียงความซ้อยชื่น
หมื่นปีสุข์อยู่สร้าง..............ปางฟ้าสหง่างาม....ท่านเอ๋ย
 

ความคิดของคนสมัยใหม่

 

คนสมัยนี้ ช่างแปลกดี เปลี่ยนแปลงไป
ลบทิ้งได้ ความดีงาม ที่มีอยู่
ความดีแท้ เขาสร้างสรรค์ ครารุ่นปู่
ไม่เหลืออยู่ คนรุ่นนี้ ลบทิ้งไป