Skip to main content
 

แสงพูไชย อินทะวีคำ เขียน
สุมาตร ภูลายยาว แปล
 

จำปีพยายามปั่นจักรยานเก่าๆ คู่ชีพของตนไปตามถนนเรื่อยๆ ทั้งวันตามคำแนะนำของป้าจำเริญ ที่หลายคนขนานนามให้แก่ว่า คุณป้าแสนรู้' เพราะคนจะขายบ้านอยู่ตรงไหน ถนนใด ซอยใด คุ้มใดในขอบเขตเมืองเวียงจัน ไม่เป็นอันหลุดรอดสายตาป้าไปได้ จำปีทั้งปั่นทั้งยกมือขึ้นเอาชายเสื้อเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาราวกับน้ำจากรางริน เพราะความร้อนของอากาศเมืองเวียงจันในช่วงเดือน ๕ ของปี ๒๐๐๓
\\/--break--\>
จำปีลัดเลาะไปทุกที่ตามคำบอกเล่าของป้าจำเริญ แต่ทุกที่ก็ล้วนปฏิเสธที่จะพูดความจริงทั้งหมด อันนี้มาจากสาเหตุใด จำปีหมดปัญญาที่จะเข้าใจ เพราะแต่ละคนที่จำปีเดินทางไปพบนั้นล้วนมองตั้งแต่หัวจรดเท้า จำปีไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไรเจ้าของบ้านที่เขาเดินทางไปพบไม่ยอมคุยกับเธอเพียงใช้สายตาแลมองดูเท่านั้น

 "ได้ยินข่าวว่าจะขายบ้านใช่หรือเปล่า" จำปีถาม
 "ไม่ได้ขายหรอก" บางคนตอบไปด้วยก็จ้องมองจำปีตั้งแต่หัวจรดเท้าไปด้วย
แล้วจำปีก็ปั่นจักรยานคู่ชีพสู่เป้าหมายใหม่ต่อไป ถึงแม้ว่าจะอาบเหงื่อต่างน้ำ แรงขาผ่อนลงเต็มทนแล้วก็ตาม จำปีทั้งปั่นจักรยานไปตามถนนทั้งบ่นให้ป้าจำเริญพอหอมปากหอมคอ
"ไหนว่าข้อมูลแม่น บอกว่าเขาจะขายบ้านพอไปถามเจ้าของบ้านก็บอกว่าไม่ขาย สงสัยป้าจำเริญคงโกหกเราเป็นแน่ แต่จะว่าเป็นแล้วแกก็ไม่น่าโกหก เพราะเวลาแกพูดสีหน้าแกดูจริงจังจริงใจ แล้วตกลงทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ"      

ในที่สุดเขาก็ปั่นจักรยานกลับบ้าน โดยมีเป้าหมายกลับไปถามป้าจำเริญเพื่อความมั่นใจอีกครั้งหนึ่ง บนเส้นทางกลับบ้านเขาได้พบเหตุการณ์หลายอย่าง รถเก๋งคันงามหลายยี่ห้อรวมทั้งรถเบนซ์ป้ายเหลืองวิ่งไปมาตามท้องถนนอย่างเร่งรีบ จำปีคิดได้อย่างหนึ่งว่า พวกคนร่ำรวยนั้นเขาเป็นคนขยัน เขาต่างเร่งรีบทำงานเก็บเงิน พวกเขาจึงร่ำรวยขึ้นตามลำดับ แต่ว่าคนจนก็มีหลายคนที่ขยัน  แปลกที่พวกเขาไม่ได้ร่ำรวยขึ้นมาเลย อาจเป็นเพราะบุญกุศลของพวกเขาไม่มีจึงพากันกันเกิดมาใช้เวรใช้กรรมแต่ชาติปางก่อน คนเฒ่าคนแก่ต่างพากันพูดแบบนี้ จำปีทั้งปั่นจักรยานไปข้างหน้าทั้งหัวเราะกับความคิดของตัวเอง

จำปีปั่นจักรยานมาจนถึงแยกไฟแดงสีหอม ก็ต้องตกใจ เพราะเสียงเบรคของรถคันหนึ่งที่ดังขึ้นอย่างแรงด้านหลัง ก่อนที่รถคันนั้นจะลื่นไถลไปข้างหน้าจนชนเอาพ่อเฒ่าและจักรยานล้มลง รถเก๋งเบรคอย่างแรงจนท้ายเกือบปัด พอจอดรถสนิท เขาก็เปิดประตูรถแล้วลงเดินไปหาพ่อเฒ่า จากนั้นก็เอานิ้วชี้หน้าแล้วพูดขึ้นว่า

 "ทำไมขี่รถไม่ดูตาม้าตามเรือบ้าง ถ้าสีรถถลอกจะมีปัญญาหาเงินมาใช้ไหม"
 "ก็พ่ออยู่ข้างทางแล้วนะ ลูกนั่นแหละหักรถเข้ามาชนพ่อเอง"
 "พูดแล้วยังจะเถียง แค่ขี่จักรยานเก่าๆ แล้วมีปัญหาอะไรหรือเปล่า" แล้วเจ้าของรถเก๋งก็ขึ้นรถขับออกไปจากที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว จำปีรีบวิ่งไปหาพ่อเฒ่าคนนั้น พอจอดจักรยานไว้ จำปีก็รีบไปพยุงพ่อเฒ่าให้ยืนขึ้นพร้อมถามว่า
 "เป็นอย่างไรพ่อเฒ่า เจ็บมากไหม ให้ผมพาไปโรงพยาบาลไหม"
 "ไม่เป็นไรมากหรอก ขอบคุณมาก"
 "แต่ว่าพ่อเฒ่าควรไปให้หมอฉีดยานะ"
 "ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไรจริงๆ ขอบใจหลานชายมากที่เป็นคนมีน้ำใจ นับแต่เข้ามาทำมาหากินในเมือง ๘-๙ ปี ก็เพิ่งเห็นคนมีน้ำใจวันนี้แหละ ขอให้รักษาความมีน้ำใจแบบนี้ไว้ให้นานๆ นะ" พูดเสร็จพ่อเฒ่าก็จับเอาจักรยานปั่นออกไปจากที่ตรงนั้นจนเงาของพ่อเฒ่าหายลับไปกับขอบกำแพง จำปียังคงคิดถึงเรื่องบ้าน ถึงแม้ว่าตัวเองจะมีทองคำมากถึง ๒๐ บาทพอจะซื้อบ้านได้ถึง ๒ หลัง แต่อนิจจาจนป่านนี้ยังหาบ้านไม่ได้สักหลัง

 "ป้าจำเริญไม่ใช่ป้าโกหกผมหรือ ผมไปถามเขาๆ ก็มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วก็บอกว่าไม่ขาย"
 "จำปี! ป้าจะโกหกไปทำไม เวลาเขาพูดกับป้าเขาก็บอกว่าจะขาย"
จำปีพยายามทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามา ทุกๆ ที่ที่เขาไปถึง เจ้าของบ้านก็ไม่ได้ด่าหรือพูดไม่ได้แต่ประการใด ที่สังเกตเห็นอย่างหนึ่งคือสายตาแต่ละคู่ที่จ้องมองมายังตัวเอง มันก็เป็นสายตาที่แตกต่างจากสิงโตตัวจ่าฝูงจ้องมองกระต่ายน้อย เหมือนกับสายตาของเศรษฐีเวลาจ้องมองคนรับใช้ ไม่ต่างอะไรกับสายตาของผู้มีชัยชนะจ้องมองผู้ปราชัย เวลาที่จำปีเห็นสายตาเหล่านั้น มันคล้ายกับมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเสียดแทงเข้ากลางหัวใจให้เจ็บปวด

จำปีนั่งเอามือเท้าคางปล่อยสายตาไปสู่ขอบฟ้าที่ไกลสุดลูกตา ปล่อยให้สายตาและความคิดล่องลอยไปอย่างอิสระเสรี แต่ความอยากมีบ้านเป็นของตัวเองยังไม่ได้หนีหายไปจากความตั้งใจ มันยังคงควบคุมหัวใจของจำปีให้หวนคิดถึงครั้งแล้วครั้งเล่า แต่จะทำเช่นไร ในเมื่อไปถามที่ไหนก็ได้รับคำตอบอย่างเดียวกันหมด แถมยังได้รับสายตาแห่งการเหยียดยามและเสียงหัวเราะกลับมาด้วย

เช้าวันต่อมา จำปีจึงตัดสินใจไปพบน้าชายที่มียศพันตำรวจโท เพราะจำปีคิดว่าน้าชายของเขาคงช่วยเหลือเขาได้ เขาจอดรถจักรยานคู่ชีพไว้กับขอบประตูรั้วที่เป็นซีเมนต์แล้วกดแตรหน้าบ้าน เพื่อให้เจ้าของบ้านออกมาเปิดประตูให้ พอเข้าไปในบ้านได้ น้าชายก็ยิงคำถามใส่ทันที
 "เป็นอย่างไรไปหาบ้านได้หรือยัง"
 "ยังไม่ได้เลย"
 "อ้าว เป็นเพราะอะไร ในเมื่อหลานก็มีเงินที่จะซื้อได้อยู่หรือว่าเอาทองไปขายเอาเงินไปเที่ยวหมดแล้ว"
 "ไม่หรอก ทองคำ ๒๐ บาทยังอยู่ครบตามที่น้าเห็นนั่นแหละ แต่ผมไปถามที่บ้านที่ป้าจำเริญบอกล้วนได้รับการปฏิเสธทั้งสิ้น"
 "แล้วทำไมไม่บอกเขาไปว่ามีเงินซื้อถึงได้มาถาม"
 "หลานก็บอก แต่เจ้าของบ้านก็ส่ายหัวปฏิเสธ"
 "ไม่เป็นไร ไปด้วยกัน เดี๋ยวน้าพาไปเอง"

จำปีอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย แล้วก้าวขาขึ้นรถกระบะสี่ประตูของน้าชาย ประมาณ ๑๐ นาทีต่อมา รถกระบะสี่ประตูก็นำจำปี และน้าชายมาถึงหน้าประตูบ้านหลังหนึ่ง เจ้าของบ้านรีบออกมาจากบ้านแล้วถามด้วยคำพูดสุภาพออกมา
 "โอ้ !สวัสดีครับหัวหน้า มีธุระอะไรจึงได้มาถึงบ้านกันเลย"
 "โอ้! ก็มีงานนั่นแหละถึงได้มาหา"
 "เชิญ! เชิญเข้าไปในบ้านก่อน"

เหตุการณ์นี้นับว่าเป็นครั้งแรกของจำปีที่ได้มีโอกาสนั่งโซฟาดีๆ ในห้องรับแขกที่โอ่โถงดูมีเกียรติ พายหลังเอาน้ำมาให้ดื่มแล้วเจ้าของบ้านก็มานั่งแล้วเอ่ยถาม
 
"มีอะไรก็พูดมาเลยครับท่านหัวหน้าไม่ต้องเกรงใจ"
 "พอดีได้ยินว่าจะขายบ้านใช่หรือเปล่า"
 "ก็อยากขาย แต่ไม่มีใครมาซื้อ"
 "ถ้ามีคนซื้อจะขายเท่าไหร่"
 
"ว่าจะเท่าราคาทองคำ ๒๐ บาท"
 "ไม่แพงไปหน่อยเหรอ ๑๑ บาทได้หรือเปล่าถือว่าแบ่งกันอยู่แบ่งกันใช้"
 "ถ้าหัวหน้าจะเอาจริงๆ ๑๖ บาทได้ไหมครับ"
 "๑๑ บาทนั่นแหละ"
 "ถ้าอย่างนั้นผมขอ ๑๒ บาทแล้วกันครับ"
 "ว่าแต่หัวหน้าจะซื้อให้ใครครับ"
 "ไม่ได้ซื้อ" น้าชายทั้งพูดทั้งชี้มือใส่จำปี
 "แล้ว...แล้ว...แล้ว...คนนี้เป็นใครครับ"
 "หลานชาย"

ทั้งสองสามีภรรยาต่างมองหน้ากันและกันใบหน้าถอดสีด้วยความเก้อเขิน ภายหลังที่ออกไปส่งท่านพันตำรวจโทถึงรถแล้ว สองสามีภรรยาก็มายืนมองหน้ากัน ฝ่ายสามีจึงพูดขึ้นว่า
 "ถ้าเราขายให้คนหนุ่มที่มากับท่านพันโทตั้งแต่เมื่อวานนี้ เราก็จะได้ทองคำ ๒๐ บาท แต่นี่...ความซวยมาเยือนแท้ๆ" เขาทั้งพูดทั้งส่ายศีรษะแล้วจูงแขนภรรยาเข้าไปในบ้าน

 

 

บล็อกของ แสงพูไช อินทะวีคำ

แสงพูไช อินทะวีคำ
  น้องกล่าวว่าสะพานข้ามของโยงใจรัก เชื่อมสัมพันธ์แน่นหนักสองฝั่งของ แต่อ้ายว่าสะพานขัวนั้นมันเชื่อมโยง สองฝั่งของของน้องพี่คู่เคียงกัน
แสงพูไช อินทะวีคำ
 
แสงพูไช อินทะวีคำ
      สุขลุลาภได้.....................ชัยประเสริฐยอถืง เลิงๆเบยบานสุข...............ทุกข์อย่าเวินมาต้อง ความหมองเหยหายเสี้ยง....เหลือเพียงความซ้อยชื่น หมื่นปีสุข์อยู่สร้าง..............ปางฟ้าสหง่างาม....ท่านเอ๋ย  
แสงพูไช อินทะวีคำ
  คนสมัยนี้ ช่างแปลกดี เปลี่ยนแปลงไป ลบทิ้งได้ ความดีงาม ที่มีอยู่ ความดีแท้ เขาสร้างสรรค์ ครารุ่นปู่ ไม่เหลืออยู่ คนรุ่นนี้ ลบทิ้งไป  
แสงพูไช อินทะวีคำ
   
แสงพูไช อินทะวีคำ
เดือนสว่างพรางแพรวแล้วแก้วตา คราตามองยังไม่ชัดดูมืดมัว ไม่ใช่ว่ากลัวผีคืนเดือนดับเป็นสลัว เพราะตามัวหรือมั้ยรู้จริงดูขรึม
แสงพูไช อินทะวีคำ
  แสงพูไชย อินทะวีคำ เขียนสุมาตร ภูลายยาว แปล  จำปีพยายามปั่นจักรยานเก่าๆ คู่ชีพของตนไปตามถนนเรื่อยๆ ทั้งวันตามคำแนะนำของป้าจำเริญ ที่หลายคนขนานนามให้แก่ว่า ‘คุณป้าแสนรู้' เพราะคนจะขายบ้านอยู่ตรงไหน ถนนใด ซอยใด คุ้มใดในขอบเขตเมืองเวียงจัน ไม่เป็นอันหลุดรอดสายตาป้าไปได้ จำปีทั้งปั่นทั้งยกมือขึ้นเอาชายเสื้อเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาราวกับน้ำจากรางริน เพราะความร้อนของอากาศเมืองเวียงจันในช่วงเดือน ๕ ของปี ๒๐๐๓
แสงพูไช อินทะวีคำ
เขียน: แสงพูไชย อินทะวีคำ แปล: สุมาตร ภูลายยาว แม้จะบิดเร่งคันเร่งเท่าไหร่ รถจักรยานยนต์ยังวิ่งช้าเหมือนเต่าคลาน  ที่เป็นอย่างนี้คงเพราะความเร่งรีบอย่างไปถึงไปรษณีย์ให้เร็ว เพราะชั่วโมงทำงานใกล้มาถึง มือบิดคันเร่งพอๆ กับหัวใจที่ร้อนรนกลัวไม่ทันเวลา  สายตาจึงต้องเพ่งมองไปตามถนนเพื่อหลบรถคันแล้วคันเล่าก่อนจะเลี้ยวซ้ายเข้าไปสู่ไปรษณีย์กลาง
แสงพูไช อินทะวีคำ
พระอาทิตย์ยามใกล้ค่ำสาดแสงอ่อนๆ ลอดผ่านปลายไม้ตามถนนล้านช้าง บนถนนรถยังคงแน่นขนัดวิ่งสวนกันไปมา ข้าพเจ้าประคับประคองร่างกาย ค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่าช้าๆ สายตามองสองส่องหาเศษขยะ  ปากก็กลืนน้ำลายลงคอ  สมองก็เริ่มคิดว่า ในบรรดาถังขยะเหล่านั้นจะมีสิ่งใดที่พอทำให้ข้าพเจ้ามีชีวิตรอดต่อไปอีกหนึ่งวัน
แสงพูไช อินทะวีคำ
ที่ร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง บนริมถนนล้านช้าง เช้าเช้าอย่างนี้เป็นเวลาที่ผู้คนกำลังเดินเข้าเดินออกเพื่อที่จะมาลิ้มรสกาแฟปากช่องที่ขึ้นชื่อที่สุด ชายหนุ่มชื่อต่ายเดินไปในร้านกาแฟ แกมองซ้ายมองขวา ก่อนที่จะนั่งลง อีกไม่ถืงสามนาที ก็มีหญิงสาวอายุประมาณยี่สิบกว่านิดๆ เดินเข้ามานั่งลงม้านั่งด้านตรงกันข้าม เสียงสนทนาแว่วๆ เข้าหู "นึกว่าพี่จะไม่มา""ไม่มาได้ไง?""ขอบคุณค่ะ""ไม่เป็นไร ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว""ไอ้เรื่องไหนๆ ที่พี่ว่ามีความหมายว่าอย่างไร?""ไม่มีอะไรหรอก คิดมากไป...""ถามจริงๆเถอะ...พี่ชอบหนูจริงหรือเปล่าคะ?""เรื่องนี้เราคุยกันรู้เรื่องแล้วไม่ไช่หรือ? ทำไมต้องคุยอีก""ก็กลัวพี่ไม่รักหนูจริงนี่นา"
แสงพูไช อินทะวีคำ
สมสีเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของพ่อเผย ชาวบ้านต่างกล่าวขานกันว่า เป็นผู้หญิงที่สวยเพียบพร้อมด้วยสมบัติบารมี ตรงตามตำราโบราณ รูปร่างสมส่วน ผิวขาวเหมือนไข่ปอก เข้ากับภาษิตที่ว่า ‘ตีนมือสวยลงน้ำหมานปลา ตีนมือหว้าลงนาหมานข้าว ไผได้เอาฮ่วมซ้อนคำไร้แม่นบ่มี’ เรื่องนี้เป็นที่รู้จักกันดีของชาวบ้านห้วยจิก วันนี้จ่อยกลับจากไปสู่ขวัญบ้านใต้ มองเห็นพ่อเผยกำลังนั่งเหลาตอกอยู่เพียงลำพัง จึงร้องทักอย่างคนคุ้นเคย “พ่อเผยเอ้ย! ข้อยขอเป็นลูกเขยได้บ่” จ่อยทั้งร้องทักทั้งส่งเสียงหัวเราะแหะๆ “บักจ่อย! มึงกล้าแต่ฮ้องใส่กูนี้แล้ว ถ้ามึงกล้าเว้ากับอี่สี แล้วมันตกลงแต่งงานกับมึง กูจะบ่ขัดทั้งสิยกให้มึงโลด”…
แสงพูไช อินทะวีคำ
พอเข้าบ้านปุ๊บ เสียงแปลกประหลาดก็วิ่งเข้าสู่รูหูทันที เสียงแบบนี้ข้าพเจ้าไม่คุ้นหูเอาเสียเลย และมันก็ไม่เคยเกิดขึ้นกับภรรยาสุดที่รักของข้าพเจ้าสักครั้ง เธอนั่งร้องไห้น้ำตาไหลพราก น้ำมูกย้อยเหมือนได้รับความระทมขมขื่นอันหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ข้าพเจ้าสืบเท้าเข้าไปหาเธอ เพื่อถามไถ่เรื่องราวต่างๆ แต่ข้าพเจ้าต้องหยุดชะงักอยู่กับที่ เมื่อเธอชี้หน้าทำตาขวางเหมือนจะบดขยี้ข้าพเจ้าให้แหลกคามือ คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของเธอไม่ต่างอะไรกับน้ำที่ไหลออกมาจากรางรินรับน้ำฝน ข้าพเจ้าฟังจนเกือบไม่ทัน เธอพูดว่า ''เจ้ามันบ้า! บ้าแท้ๆ! เจ้าบ่มีเวียกบ่? เดี๋ยวนี่คำเว้าของชาวบ้านแล่นเข้าหูข้อยจนล้นออกมาแล้ว…