Skip to main content
 

แสงพูไชย อินทะวีคำ เขียน
สุมาตร ภูลายยาว แปล
 

จำปีพยายามปั่นจักรยานเก่าๆ คู่ชีพของตนไปตามถนนเรื่อยๆ ทั้งวันตามคำแนะนำของป้าจำเริญ ที่หลายคนขนานนามให้แก่ว่า คุณป้าแสนรู้' เพราะคนจะขายบ้านอยู่ตรงไหน ถนนใด ซอยใด คุ้มใดในขอบเขตเมืองเวียงจัน ไม่เป็นอันหลุดรอดสายตาป้าไปได้ จำปีทั้งปั่นทั้งยกมือขึ้นเอาชายเสื้อเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาราวกับน้ำจากรางริน เพราะความร้อนของอากาศเมืองเวียงจันในช่วงเดือน ๕ ของปี ๒๐๐๓
\\/--break--\>
จำปีลัดเลาะไปทุกที่ตามคำบอกเล่าของป้าจำเริญ แต่ทุกที่ก็ล้วนปฏิเสธที่จะพูดความจริงทั้งหมด อันนี้มาจากสาเหตุใด จำปีหมดปัญญาที่จะเข้าใจ เพราะแต่ละคนที่จำปีเดินทางไปพบนั้นล้วนมองตั้งแต่หัวจรดเท้า จำปีไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไรเจ้าของบ้านที่เขาเดินทางไปพบไม่ยอมคุยกับเธอเพียงใช้สายตาแลมองดูเท่านั้น

 "ได้ยินข่าวว่าจะขายบ้านใช่หรือเปล่า" จำปีถาม
 "ไม่ได้ขายหรอก" บางคนตอบไปด้วยก็จ้องมองจำปีตั้งแต่หัวจรดเท้าไปด้วย
แล้วจำปีก็ปั่นจักรยานคู่ชีพสู่เป้าหมายใหม่ต่อไป ถึงแม้ว่าจะอาบเหงื่อต่างน้ำ แรงขาผ่อนลงเต็มทนแล้วก็ตาม จำปีทั้งปั่นจักรยานไปตามถนนทั้งบ่นให้ป้าจำเริญพอหอมปากหอมคอ
"ไหนว่าข้อมูลแม่น บอกว่าเขาจะขายบ้านพอไปถามเจ้าของบ้านก็บอกว่าไม่ขาย สงสัยป้าจำเริญคงโกหกเราเป็นแน่ แต่จะว่าเป็นแล้วแกก็ไม่น่าโกหก เพราะเวลาแกพูดสีหน้าแกดูจริงจังจริงใจ แล้วตกลงทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ"      

ในที่สุดเขาก็ปั่นจักรยานกลับบ้าน โดยมีเป้าหมายกลับไปถามป้าจำเริญเพื่อความมั่นใจอีกครั้งหนึ่ง บนเส้นทางกลับบ้านเขาได้พบเหตุการณ์หลายอย่าง รถเก๋งคันงามหลายยี่ห้อรวมทั้งรถเบนซ์ป้ายเหลืองวิ่งไปมาตามท้องถนนอย่างเร่งรีบ จำปีคิดได้อย่างหนึ่งว่า พวกคนร่ำรวยนั้นเขาเป็นคนขยัน เขาต่างเร่งรีบทำงานเก็บเงิน พวกเขาจึงร่ำรวยขึ้นตามลำดับ แต่ว่าคนจนก็มีหลายคนที่ขยัน  แปลกที่พวกเขาไม่ได้ร่ำรวยขึ้นมาเลย อาจเป็นเพราะบุญกุศลของพวกเขาไม่มีจึงพากันกันเกิดมาใช้เวรใช้กรรมแต่ชาติปางก่อน คนเฒ่าคนแก่ต่างพากันพูดแบบนี้ จำปีทั้งปั่นจักรยานไปข้างหน้าทั้งหัวเราะกับความคิดของตัวเอง

จำปีปั่นจักรยานมาจนถึงแยกไฟแดงสีหอม ก็ต้องตกใจ เพราะเสียงเบรคของรถคันหนึ่งที่ดังขึ้นอย่างแรงด้านหลัง ก่อนที่รถคันนั้นจะลื่นไถลไปข้างหน้าจนชนเอาพ่อเฒ่าและจักรยานล้มลง รถเก๋งเบรคอย่างแรงจนท้ายเกือบปัด พอจอดรถสนิท เขาก็เปิดประตูรถแล้วลงเดินไปหาพ่อเฒ่า จากนั้นก็เอานิ้วชี้หน้าแล้วพูดขึ้นว่า

 "ทำไมขี่รถไม่ดูตาม้าตามเรือบ้าง ถ้าสีรถถลอกจะมีปัญญาหาเงินมาใช้ไหม"
 "ก็พ่ออยู่ข้างทางแล้วนะ ลูกนั่นแหละหักรถเข้ามาชนพ่อเอง"
 "พูดแล้วยังจะเถียง แค่ขี่จักรยานเก่าๆ แล้วมีปัญหาอะไรหรือเปล่า" แล้วเจ้าของรถเก๋งก็ขึ้นรถขับออกไปจากที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว จำปีรีบวิ่งไปหาพ่อเฒ่าคนนั้น พอจอดจักรยานไว้ จำปีก็รีบไปพยุงพ่อเฒ่าให้ยืนขึ้นพร้อมถามว่า
 "เป็นอย่างไรพ่อเฒ่า เจ็บมากไหม ให้ผมพาไปโรงพยาบาลไหม"
 "ไม่เป็นไรมากหรอก ขอบคุณมาก"
 "แต่ว่าพ่อเฒ่าควรไปให้หมอฉีดยานะ"
 "ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไรจริงๆ ขอบใจหลานชายมากที่เป็นคนมีน้ำใจ นับแต่เข้ามาทำมาหากินในเมือง ๘-๙ ปี ก็เพิ่งเห็นคนมีน้ำใจวันนี้แหละ ขอให้รักษาความมีน้ำใจแบบนี้ไว้ให้นานๆ นะ" พูดเสร็จพ่อเฒ่าก็จับเอาจักรยานปั่นออกไปจากที่ตรงนั้นจนเงาของพ่อเฒ่าหายลับไปกับขอบกำแพง จำปียังคงคิดถึงเรื่องบ้าน ถึงแม้ว่าตัวเองจะมีทองคำมากถึง ๒๐ บาทพอจะซื้อบ้านได้ถึง ๒ หลัง แต่อนิจจาจนป่านนี้ยังหาบ้านไม่ได้สักหลัง

 "ป้าจำเริญไม่ใช่ป้าโกหกผมหรือ ผมไปถามเขาๆ ก็มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วก็บอกว่าไม่ขาย"
 "จำปี! ป้าจะโกหกไปทำไม เวลาเขาพูดกับป้าเขาก็บอกว่าจะขาย"
จำปีพยายามทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามา ทุกๆ ที่ที่เขาไปถึง เจ้าของบ้านก็ไม่ได้ด่าหรือพูดไม่ได้แต่ประการใด ที่สังเกตเห็นอย่างหนึ่งคือสายตาแต่ละคู่ที่จ้องมองมายังตัวเอง มันก็เป็นสายตาที่แตกต่างจากสิงโตตัวจ่าฝูงจ้องมองกระต่ายน้อย เหมือนกับสายตาของเศรษฐีเวลาจ้องมองคนรับใช้ ไม่ต่างอะไรกับสายตาของผู้มีชัยชนะจ้องมองผู้ปราชัย เวลาที่จำปีเห็นสายตาเหล่านั้น มันคล้ายกับมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเสียดแทงเข้ากลางหัวใจให้เจ็บปวด

จำปีนั่งเอามือเท้าคางปล่อยสายตาไปสู่ขอบฟ้าที่ไกลสุดลูกตา ปล่อยให้สายตาและความคิดล่องลอยไปอย่างอิสระเสรี แต่ความอยากมีบ้านเป็นของตัวเองยังไม่ได้หนีหายไปจากความตั้งใจ มันยังคงควบคุมหัวใจของจำปีให้หวนคิดถึงครั้งแล้วครั้งเล่า แต่จะทำเช่นไร ในเมื่อไปถามที่ไหนก็ได้รับคำตอบอย่างเดียวกันหมด แถมยังได้รับสายตาแห่งการเหยียดยามและเสียงหัวเราะกลับมาด้วย

เช้าวันต่อมา จำปีจึงตัดสินใจไปพบน้าชายที่มียศพันตำรวจโท เพราะจำปีคิดว่าน้าชายของเขาคงช่วยเหลือเขาได้ เขาจอดรถจักรยานคู่ชีพไว้กับขอบประตูรั้วที่เป็นซีเมนต์แล้วกดแตรหน้าบ้าน เพื่อให้เจ้าของบ้านออกมาเปิดประตูให้ พอเข้าไปในบ้านได้ น้าชายก็ยิงคำถามใส่ทันที
 "เป็นอย่างไรไปหาบ้านได้หรือยัง"
 "ยังไม่ได้เลย"
 "อ้าว เป็นเพราะอะไร ในเมื่อหลานก็มีเงินที่จะซื้อได้อยู่หรือว่าเอาทองไปขายเอาเงินไปเที่ยวหมดแล้ว"
 "ไม่หรอก ทองคำ ๒๐ บาทยังอยู่ครบตามที่น้าเห็นนั่นแหละ แต่ผมไปถามที่บ้านที่ป้าจำเริญบอกล้วนได้รับการปฏิเสธทั้งสิ้น"
 "แล้วทำไมไม่บอกเขาไปว่ามีเงินซื้อถึงได้มาถาม"
 "หลานก็บอก แต่เจ้าของบ้านก็ส่ายหัวปฏิเสธ"
 "ไม่เป็นไร ไปด้วยกัน เดี๋ยวน้าพาไปเอง"

จำปีอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย แล้วก้าวขาขึ้นรถกระบะสี่ประตูของน้าชาย ประมาณ ๑๐ นาทีต่อมา รถกระบะสี่ประตูก็นำจำปี และน้าชายมาถึงหน้าประตูบ้านหลังหนึ่ง เจ้าของบ้านรีบออกมาจากบ้านแล้วถามด้วยคำพูดสุภาพออกมา
 "โอ้ !สวัสดีครับหัวหน้า มีธุระอะไรจึงได้มาถึงบ้านกันเลย"
 "โอ้! ก็มีงานนั่นแหละถึงได้มาหา"
 "เชิญ! เชิญเข้าไปในบ้านก่อน"

เหตุการณ์นี้นับว่าเป็นครั้งแรกของจำปีที่ได้มีโอกาสนั่งโซฟาดีๆ ในห้องรับแขกที่โอ่โถงดูมีเกียรติ พายหลังเอาน้ำมาให้ดื่มแล้วเจ้าของบ้านก็มานั่งแล้วเอ่ยถาม
 
"มีอะไรก็พูดมาเลยครับท่านหัวหน้าไม่ต้องเกรงใจ"
 "พอดีได้ยินว่าจะขายบ้านใช่หรือเปล่า"
 "ก็อยากขาย แต่ไม่มีใครมาซื้อ"
 "ถ้ามีคนซื้อจะขายเท่าไหร่"
 
"ว่าจะเท่าราคาทองคำ ๒๐ บาท"
 "ไม่แพงไปหน่อยเหรอ ๑๑ บาทได้หรือเปล่าถือว่าแบ่งกันอยู่แบ่งกันใช้"
 "ถ้าหัวหน้าจะเอาจริงๆ ๑๖ บาทได้ไหมครับ"
 "๑๑ บาทนั่นแหละ"
 "ถ้าอย่างนั้นผมขอ ๑๒ บาทแล้วกันครับ"
 "ว่าแต่หัวหน้าจะซื้อให้ใครครับ"
 "ไม่ได้ซื้อ" น้าชายทั้งพูดทั้งชี้มือใส่จำปี
 "แล้ว...แล้ว...แล้ว...คนนี้เป็นใครครับ"
 "หลานชาย"

ทั้งสองสามีภรรยาต่างมองหน้ากันและกันใบหน้าถอดสีด้วยความเก้อเขิน ภายหลังที่ออกไปส่งท่านพันตำรวจโทถึงรถแล้ว สองสามีภรรยาก็มายืนมองหน้ากัน ฝ่ายสามีจึงพูดขึ้นว่า
 "ถ้าเราขายให้คนหนุ่มที่มากับท่านพันโทตั้งแต่เมื่อวานนี้ เราก็จะได้ทองคำ ๒๐ บาท แต่นี่...ความซวยมาเยือนแท้ๆ" เขาทั้งพูดทั้งส่ายศีรษะแล้วจูงแขนภรรยาเข้าไปในบ้าน

 

 

บล็อกของ แสงพูไช อินทะวีคำ

แสงพูไช อินทะวีคำ
เศษขี้ตะกอนจากแสงพระอาทิตย์เป็นสีสนิมเหล็ก เรี่มหยอดเป็นจุดเล็กจุดใหญ่ตามหุบเขาด้านทิศตะวันตก มองดูไกลๆโน้นเหมือนกับนางระบำในเทพนิยายของชาวตะวันตก เสียงสะอื้น และเสียงก่นด่าราวกับโกรธเกลียดตัวเองมานับพันปีของผู้หญิงคนหนึ่งดังลอดออกมาจากพุ่มไม้ท้ายวัดด้านทิศตะวันออกให้ได้ยิน “เอื้อยขอโทษ เอื้อยบ่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นแนวนั้น! บ่แม่นเอื้อยบ่อยากให้น้องเป็นแนวนั้น! เอื้อยบ่ได้ต้องการให้น้องมาตายจากเอื้อยไป น้องฮู้บ่?” ฟังจากเสียงร้องไห้แบบนี้ก็คงพอเดาได้ว่าผู้ตายต้องเป็นญาติใกล้ชิดกับเจ้าของเสียงร้องไห้นั้น เธอร้องไห้โหยหวนเหมือนกับว่าเธอได้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งผิดพลาดอย่างร้ายแรงไว้กับผู้ตาย…
แสงพูไช อินทะวีคำ
  มองฟากฟ้า นพาแจ่ม กระจ่าง ทางเบื้องบนเหมือนดั่งคน พ้นเคราะช้ำ ในกรรมเก่าพ้นจากทุกข์ พ้นจากเวร พ้นจากความเหงาทำให้เรา และท่าน เบีกบานใจ วันนี้แจ่ม วันหน้าหมอง ครองคู่กันผ่านคืนวัน ที่เศร้าหมอง แล้วสุขใจสลับเปรียน หมูนเวียน เช่นนี้ไปพอทนได้ เพราะคู่กัน ดังฉันและเธอ แต่ฟ้าแจ่ม เพียงหน้อยนิด ซิคิดมากทนลำบาก เพราะฟ้าครื้ม กระหื่มฝนขู่คำราม แผดเสียง อยู่เบื้องบนทำเอาคน ใต้ล้า หน้าเศร้าหมอง หลายคนแล ดูฟ้า นพาสลับนอนนั่งนับ เดือนปี ให้เปรียนผลเปรียนจากฟ้า คะนองกระหื่ม อยู่เบื้องบนให้เป็นผล งอกงาม ตามกฎเกณท์ วันใดหนอ ฟากฟ้า จะสดใสพอให้มวล พืชไม้ ได้เกีดผลเกีดไปตาม…
แสงพูไช อินทะวีคำ
ตะวันรอน ย่อนแสงริมฝั่งของ (โขง)สายตาเธอเหม่อมองอยู่รำไรมองฟากฟ้าที่ไกลแสนไกลเธอร้องไห้โทมนัสโศกระทมมีใครรู้ บ้างหรือเปล่า กันมั้ยหนอ?ใครผู้ก่อ สร้างกรรม ทำเธอหมองเสียงร้องไห้ เธอนั้น น่าขนพองดุดดังเธอ ร่ำร้อง โศกาดูรสายตาเธอ เอ๋ยกล่าว เมื่อเราพบว่าก่อนนี้ เธอคบ กับคนพาลเขาสัญญา กับเธอ ไม่ระรานไม่มีวัน ทำให้เธอ กล้ำกลืนทนความเป็นจริง กับสัญญา ที่มีนั้นไม่สัมพันธ์ มันต่างมุม ต่างภาษาต่างความคิด ต่างกระทำ ต่างเวลาเพราะสัญญา ภาษาคน บนใจมารเธอมายืน ร่ำร้อง บนริมฝั่งเผื่อความหวัง ให้นาคา ได้รับรู้บ่นเจ้ากรรม นายเวร ให้ช่วยกู้ให้รับรู้ สิทธิเธอ ถูกรุกรานใครจะให้ ความเป็นธรรม เธอบ้างหนอพอช่วยก่อ…
แสงพูไช อินทะวีคำ
ให้สัญญาว่าจะทำทุกอย่างที่ดีให้สัญญาว่าจะไม่ทำสิ่งที่ไม่ดีให้สัญญาว่าจะไม่บิดเบี้ยวความจริงแต่แล้วเขาก็ทำในสิ่งที่ใจเขาอยากทำแล้วจะทำอย่างไร?บอกกับประชาชนว่าเพื่อประชาชีบอกกับประชาชนว่าเพื่อความอยู่ดีกินดีบอกประชาชนว่าเพื่อชาติย่อมต้องพลีชีพแล้วในที่สุดก็กดขี่ประชาชีและประชาชนดั่งสำนวนกวีลาว             กล่าวอ้างแปลกใจคือเพี่นเว้า         เฒ่าแก่โบรานจาเป็นสัตว์สาคือควาย        บ่ก้มหัวกินหญ้าเป็นปลาบ่อลอยลื่น        …
แสงพูไช อินทะวีคำ
รักเผ่าพันธุ์ รักเพื่อนผอง ต้องรักป่ารักอาป้า พนาไพรเหมือนหัวใจตนรักพี่น้องทุกแห่งหน บนด่านด้าวประคองเอาพนาไพร ไม่ทำลายรักแม่น้ำ แมกไม้และเขาเขียวยามท่องเที่ยว บนภูเขาอย่าละเลยที้งของเสียให้รกร้างดั่งที่เคยความสวยงามก่อนนี้เอ๋ย ให้เสื่อมโทรมให้รักป่าเท่าชีวิต คิดให้ใกลบ่อนเรไรร่ำร้อง พงพนาถิ่นภูเขาเลากา และสัตว์ป่าบนผืนแผนสนธยา น่าอยู่กินหน้าที่เราทุกเผ่าพันธุ์ขันอาสาป้องผืนป่าให้พ้นภัยอันตรายทุกผืนที่ในแดนลาวมิวอดวายคนและป่าอยู่ร่วมกันไป นานเท่านานหากคนเรารักป่าอย่างจริงจังแม้กระทั้งพลีชีพชีวาวายเพื่อผืนดินและผืนป่าคู่คนไปแม้ตัวตาย ขอผืนป่าและสายน้ำค้ำจุนโลกดงดานบ่อนเรไรร่ำร้อง…
แสงพูไช อินทะวีคำ
เรื่องสั้นเรื่องนี้ ผมเขียนขื้นเมื่อปี คศ. ๑๙๙๕ ในขณะที่ผมเดินทางไปรอบๆ เมืองปากเช แขวงจำปาสัก เป็นระยะแห่งการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจ ลงพิมพ์ที่วารสารวัณนศิล เมื่อปี คศ. ๑๙๙๕ และลงพิมพ์ที่หนังสือพิมพ์เวียงจันท์ใหม่เมื่อปี คศ. ๒๐๐๐ แปลโดย ทองคร้าม ทองขาว เรื่องสั้นเรื่องนี้จะรวมเล่มเรื่องสั้นที่มีภาษาไทย ลาว และภาษาอังกฤษด้วย โดย Mekong Post
แสงพูไช อินทะวีคำ
แรกๆ ผมว่าจะเขียนเกี่ยวกับเรื่อง ICT camp ต่อ แต่เมื่อตอนค่ำของวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๑ เวลาประมาณ ๒ ทุ่มครึ่ง เป็นตอนจบของเรื่อง “เพลงดินกลิ่นดาว” ละครโทรทัศน์ช่อง ๗ ทำให้ผมเปลี่ยนใจ หันมาเขียนเรื่องนี้จนได้ กรณีที่ผมนำเรื่องนี้ขื้นมาพูดไม่ใช่เป็นทัศนะของวิชาการ แต่เป็นทัศนะส่วนตัวมากกว่า
แสงพูไช อินทะวีคำ
ขณะที่เดินทางไปพัทยา ผมมองดูกระเป๋าเดินทางของตัวเองด้วยความกังวลใจอยู่ลึกๆ “ขออย่าได้เป็นอะไรเลย ประเดี๋ยวจะขายขี้หน้าหมด” “อ้ายกลัวกระเป๋าเดินทางแตกใช่มั้ย?” น้องคนหนึ่งถาม“ก็....กลัวนะ....”“แต่ดูแล้วน่าจะไม่เป็นไรนี่”“ใช่.....”
แสงพูไช อินทะวีคำ
ถือว่าผมเป็นคนหนึ่งที่มีเพื่อนพ้องน้องพี่มากพอสมควร แต่ละคนชอบส่งข่าวให้กันและกันบ่อยๆ เวลาที่มีเรื่องราวต่างๆ ที่น่าสนใจ เรื่องไอชีที ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เพื่อนส่งข่าวให้รู้ว่า “....คนจากลุ่มน้ำโขงจะมารวมตัวกันที่ ICT Camp มากมาย...เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้พบกับผู้คนมากหน้าหลายตาจากประเทศพม่า กัมพูชา เวียดนาม ไทย ลาว .....” ทุกคนดูตื่นเต้นเอามากๆ เมื่อมีคำบอกเช่นนั้นจากเพื่อนๆ ผมจึงตกลงใจว่า “ไป” อีกประการหนึ่งก็คือ มีน้องๆ จากองค์กรเดียวกันไปร่วมด้วยเช่นกัน เพื่อเรียนรู้ร่วมกัน ะในโปรแกรมบอกว่ามีทั้งเรื่อง ไอที ข้อมูลข่าวสาร และเรื่อง Advocacy งานนี้จัดขื้นที่ Learning Resort…
แสงพูไช อินทะวีคำ
ข่าวการสั่งห้ามชาวบ้านที่หลวงพระบางทำกิจการให้ชาวต่างประเทศหรือนักท่องเที่ยวเช่าจักรยานและจักรยานยนต์ ได้ส่งผลลบมาสู่การท่องเที่ยวอีกครั้งหนึ่ง หนังสือพิมพ์บางฉบับในไทยได้ลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย เนื่องจากกลัวว่าอาจทำให้ความน่าสนใจ น่าเชื่อถือที่จะมาเยือนหลวงพระบาง เมืองมรดกโลกลดลงไป การสั่งห้ามไม่ให้ชาวบ้านทำเช่นนั้น เป็นเพราะอะไร หลายคนเข้าใจว่า จากการหยุดไม่ให้ชาวบ้านทำ แต่มอบให้บริษัทเป็นคนทำ อาจทำให้ชาวบ้านสูญเสียรายได้ แล้วกลายเป็นการส่งเสริมนายทุนเพียงฝ่ายเดียว ชื่งไม่เป็นธรรมกับชาวบ้าน ผู้นำเที่ยวท่านหนึ่งบอกผมว่า “การห้ามชาวบ้านทำ เพราะไม่มีประกันความปลอดภัย…
แสงพูไช อินทะวีคำ
วันที่ผมรู้สึกอบอุ่นมาก ก็คงหนีไม่พ้นงานพบปะของคอลัมนิสต์ประชาไท.....ที่เชียงใหม่เพราะผมไม่ได้นึกว่าจะมีโอกาสมาเจอเพื่อนสหาย นักเขียนไทยมากหลายเอาขนาดนี้ ส่วนมากก็คงเป็นคนเชียงใหม่....รอยยี้ม...เสียงหัวเราะ....ไม่ได้ต่างกันแม๋นิดเดียว....อาจจะต่างภาษา...แต่เรื่องนี้ก็ไม่แปลก เพราะเผ่าพันธุ์ต่างๆ ล้วนมีภาษาที่เป็นตัวของตัวเอง....สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความเข้าใจที่มีต่อกัน และเป็นสิ่งนี้เองที่บ่งบอกถึง “มิตรภาพ”  ซึ่งสื่อออกมาได้จากภาพที่ผมเก็บไว้
แสงพูไช อินทะวีคำ
   โอน้อ เจ้าผู้พ้วดอกอ้ม ผมพี่ดำนิน เฮียมเอยผมดำงามพอดูช่างตื่มสีแดงเข้มดำแดงคนเขาเอี้นสองสีแตกต่างสังมาอยู่ฮ่วมเค้าเกสาเจ้าผู้เดียวน้องบ่ออยากเว้าเลี้ยวเว้าล่ายความจริงมีบ่อนอีงจริงมาจา ว่ากันตามเรื่องย่อนมันเคืองคาข้อง หม้องใจน้องอุ่นความคิดเป็นว่าวุ้น นำอ้ายบ่าวพี่ชายน้องนี้หมายอยู่ซ้อนเฮียงฮ่วมชายเดียว อ้ายเอยคนอื่นนางบ่อเหลียวม่ายตานางซ้ำกรรมหยังนางบ่อฮู้ มาเห็นชายจริงหวังฮ่วมหวังอยากมาฮ่วมซ้อน นำอ้ายแต่ผู้เดียวแต่ว่าอ้ายพัดเบี้ยว แปล เปรียนสัญญาว่าสิแปลงผมยอย ย่อนลงทางหน้าชายสิเอามันถี้ม ให้เป็นสีดำธรรมชาติบาดมาเห็นเทื่อนี้…