Skip to main content

แรกๆ ผมว่าจะเขียนเกี่ยวกับเรื่อง ICT camp ต่อ แต่เมื่อตอนค่ำของวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๑ เวลาประมาณ ๒ ทุ่มครึ่ง เป็นตอนจบของเรื่อง “เพลงดินกลิ่นดาว” ละครโทรทัศน์ช่อง ๗ ทำให้ผมเปลี่ยนใจ หันมาเขียนเรื่องนี้จนได้ กรณีที่ผมนำเรื่องนี้ขื้นมาพูดไม่ใช่เป็นทัศนะของวิชาการ แต่เป็นทัศนะส่วนตัวมากกว่า

17042008_1




ทำไมละคร “เพลงดินกลิ่นดาว” เปลี่ยนเจตนารมณ์ผมได้
? เป็นเพราะว่า อารมณ์ของตัวละครที่ทำให้คนดูเกิดความรู้สึกอ่อนไหวตามได้ ผมพบว่า มีหลายคนที่ดูละครเรื่องนี้แล้วน้ำตานองหน้า ซึ่งนอกจากเรื่องราวของละครจะพาไปแล้ว แต่ละคนคงคิดตามจากประสบการณ์เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของตัวเองไปด้วย ซึ่งอาจไม่ต่างจากบทของตัวละครมากนัก เช่น

การเป็นคนที่มีความรักแต่ไม่ได้เผยให้คนที่ตนรักรับรู้ว่าตัวเขาหรือเธอเองนั้นยังคงมั่นในรักอยู่ นั่นคือลักษณะของตัวละคร “ละอองดาว” ที่ไม่มีความมั่นใจทั้งในตัวเองและคนที่เธอรัก

หรือจากลักษณะตัวละคร “ปฐพี” ที่น้อยใจในรักที่ตนมีให้กับละอองดาว ตลอดที่ผ่านมา เขาดิ้นรนทำทุกอย่างเพื่อเธอ แต่เธอก็มองไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่เขาทำ จนตอนจบของเรื่อง ละอองดาวพยายามขอแต่งงานกับปฐพี แต่ด้วยความน้อยใจ ปฐพีจึงบอกแม่เขาไปว่า เขาจะไม่แต่งงานกับละอองดาว เขาปฏิเสธทั้งที่เขาเองก็เจ็บปวด โดยเขาไม่รู้ว่า ละอองดาวได้ยินสิ่งที่เขาพูดกับแม่ทั้งหมด ซึ่งกว่าทุกอย่างจะลงเอยกันได้ ก็เกิดความเข้าใจผิดและทำให้เสียใจกันไปหลายรอบ


อย่างไรก็ตาม ละครเรื่องนี้ ก็มีความไม่สมจริงในหลายตอน เช่น ขณะที่แม่ปฐพีนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล ปฐพีกลับมีพิธีแต่งงานกับอีกผู้หญิงอีกคนเพื่อประชดคนที่เขารัก ซึ่งในความเป็นจริงนั้น เป็นไปได้จริงหรือที่แม่นอนป่วยที่โรงพยาบาล แต่ลูกกลับตัดสินใจมีพิธีแต่งงาน หรือการที่เรื่องราวคลี่คลายไปได้ด้วยตัวละครคือ แม่ปฐพีที่นอนป่วยแล้วฟื้นขึ้นมาเจอละอองดาว ผู้ที่ตนเองไม่ชอบมาตั้งแต่แรก แต่แม่กลับนอนคิดทบทวนจนรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง ใครดี ใครไม่ดี จนสามารถลุกขึ้นไปประกาศในงานแต่งงานของปฐพีได้ว่า ใครคือผู้ที่สมควรจะมาเป็นลูกสะใภ้ของแม่กันแน่


ละครก็คือละคร มีทั้งส่วนที่สะท้อนชีวิตคนจริงๆ และส่วนที่เสริมแต่งให้ละครสนุก ที่อาจเกินจริงไปไม่น้อย แต่ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้คนดูประทับใจ และหากจะให้ดีกว่านั้น นอกจากทำให้คนดูอ่อนไหวประทับใจไปตามเรื่องราวแล้ว ควรจะสามารถทำให้คนดูได้คิด และได้นำไปปรับใช้ในชีวิตจริงกันให้เหมาะสม


และในโอกาสปีใหม่ไทย พ..๒๕๕๑ ขอส่งคำอวยพรให้ทุกท่านที่เข้ามาเยือนประชาไท และทีมงานประชาไทจงเข้มแข็ง ก้าวหน้าและสุขภาพแข็งแรงทุกท่าน

บล็อกของ แสงพูไช อินทะวีคำ

แสงพูไช อินทะวีคำ
  น้องกล่าวว่าสะพานข้ามของโยงใจรัก เชื่อมสัมพันธ์แน่นหนักสองฝั่งของ แต่อ้ายว่าสะพานขัวนั้นมันเชื่อมโยง สองฝั่งของของน้องพี่คู่เคียงกัน
แสงพูไช อินทะวีคำ
 
แสงพูไช อินทะวีคำ
      สุขลุลาภได้.....................ชัยประเสริฐยอถืง เลิงๆเบยบานสุข...............ทุกข์อย่าเวินมาต้อง ความหมองเหยหายเสี้ยง....เหลือเพียงความซ้อยชื่น หมื่นปีสุข์อยู่สร้าง..............ปางฟ้าสหง่างาม....ท่านเอ๋ย  
แสงพูไช อินทะวีคำ
  คนสมัยนี้ ช่างแปลกดี เปลี่ยนแปลงไป ลบทิ้งได้ ความดีงาม ที่มีอยู่ ความดีแท้ เขาสร้างสรรค์ ครารุ่นปู่ ไม่เหลืออยู่ คนรุ่นนี้ ลบทิ้งไป  
แสงพูไช อินทะวีคำ
   
แสงพูไช อินทะวีคำ
เดือนสว่างพรางแพรวแล้วแก้วตา คราตามองยังไม่ชัดดูมืดมัว ไม่ใช่ว่ากลัวผีคืนเดือนดับเป็นสลัว เพราะตามัวหรือมั้ยรู้จริงดูขรึม
แสงพูไช อินทะวีคำ
  แสงพูไชย อินทะวีคำ เขียนสุมาตร ภูลายยาว แปล  จำปีพยายามปั่นจักรยานเก่าๆ คู่ชีพของตนไปตามถนนเรื่อยๆ ทั้งวันตามคำแนะนำของป้าจำเริญ ที่หลายคนขนานนามให้แก่ว่า ‘คุณป้าแสนรู้' เพราะคนจะขายบ้านอยู่ตรงไหน ถนนใด ซอยใด คุ้มใดในขอบเขตเมืองเวียงจัน ไม่เป็นอันหลุดรอดสายตาป้าไปได้ จำปีทั้งปั่นทั้งยกมือขึ้นเอาชายเสื้อเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาราวกับน้ำจากรางริน เพราะความร้อนของอากาศเมืองเวียงจันในช่วงเดือน ๕ ของปี ๒๐๐๓
แสงพูไช อินทะวีคำ
เขียน: แสงพูไชย อินทะวีคำ แปล: สุมาตร ภูลายยาว แม้จะบิดเร่งคันเร่งเท่าไหร่ รถจักรยานยนต์ยังวิ่งช้าเหมือนเต่าคลาน  ที่เป็นอย่างนี้คงเพราะความเร่งรีบอย่างไปถึงไปรษณีย์ให้เร็ว เพราะชั่วโมงทำงานใกล้มาถึง มือบิดคันเร่งพอๆ กับหัวใจที่ร้อนรนกลัวไม่ทันเวลา  สายตาจึงต้องเพ่งมองไปตามถนนเพื่อหลบรถคันแล้วคันเล่าก่อนจะเลี้ยวซ้ายเข้าไปสู่ไปรษณีย์กลาง
แสงพูไช อินทะวีคำ
พระอาทิตย์ยามใกล้ค่ำสาดแสงอ่อนๆ ลอดผ่านปลายไม้ตามถนนล้านช้าง บนถนนรถยังคงแน่นขนัดวิ่งสวนกันไปมา ข้าพเจ้าประคับประคองร่างกาย ค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่าช้าๆ สายตามองสองส่องหาเศษขยะ  ปากก็กลืนน้ำลายลงคอ  สมองก็เริ่มคิดว่า ในบรรดาถังขยะเหล่านั้นจะมีสิ่งใดที่พอทำให้ข้าพเจ้ามีชีวิตรอดต่อไปอีกหนึ่งวัน
แสงพูไช อินทะวีคำ
ที่ร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง บนริมถนนล้านช้าง เช้าเช้าอย่างนี้เป็นเวลาที่ผู้คนกำลังเดินเข้าเดินออกเพื่อที่จะมาลิ้มรสกาแฟปากช่องที่ขึ้นชื่อที่สุด ชายหนุ่มชื่อต่ายเดินไปในร้านกาแฟ แกมองซ้ายมองขวา ก่อนที่จะนั่งลง อีกไม่ถืงสามนาที ก็มีหญิงสาวอายุประมาณยี่สิบกว่านิดๆ เดินเข้ามานั่งลงม้านั่งด้านตรงกันข้าม เสียงสนทนาแว่วๆ เข้าหู "นึกว่าพี่จะไม่มา""ไม่มาได้ไง?""ขอบคุณค่ะ""ไม่เป็นไร ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว""ไอ้เรื่องไหนๆ ที่พี่ว่ามีความหมายว่าอย่างไร?""ไม่มีอะไรหรอก คิดมากไป...""ถามจริงๆเถอะ...พี่ชอบหนูจริงหรือเปล่าคะ?""เรื่องนี้เราคุยกันรู้เรื่องแล้วไม่ไช่หรือ? ทำไมต้องคุยอีก""ก็กลัวพี่ไม่รักหนูจริงนี่นา"
แสงพูไช อินทะวีคำ
สมสีเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของพ่อเผย ชาวบ้านต่างกล่าวขานกันว่า เป็นผู้หญิงที่สวยเพียบพร้อมด้วยสมบัติบารมี ตรงตามตำราโบราณ รูปร่างสมส่วน ผิวขาวเหมือนไข่ปอก เข้ากับภาษิตที่ว่า ‘ตีนมือสวยลงน้ำหมานปลา ตีนมือหว้าลงนาหมานข้าว ไผได้เอาฮ่วมซ้อนคำไร้แม่นบ่มี’ เรื่องนี้เป็นที่รู้จักกันดีของชาวบ้านห้วยจิก วันนี้จ่อยกลับจากไปสู่ขวัญบ้านใต้ มองเห็นพ่อเผยกำลังนั่งเหลาตอกอยู่เพียงลำพัง จึงร้องทักอย่างคนคุ้นเคย “พ่อเผยเอ้ย! ข้อยขอเป็นลูกเขยได้บ่” จ่อยทั้งร้องทักทั้งส่งเสียงหัวเราะแหะๆ “บักจ่อย! มึงกล้าแต่ฮ้องใส่กูนี้แล้ว ถ้ามึงกล้าเว้ากับอี่สี แล้วมันตกลงแต่งงานกับมึง กูจะบ่ขัดทั้งสิยกให้มึงโลด”…
แสงพูไช อินทะวีคำ
พอเข้าบ้านปุ๊บ เสียงแปลกประหลาดก็วิ่งเข้าสู่รูหูทันที เสียงแบบนี้ข้าพเจ้าไม่คุ้นหูเอาเสียเลย และมันก็ไม่เคยเกิดขึ้นกับภรรยาสุดที่รักของข้าพเจ้าสักครั้ง เธอนั่งร้องไห้น้ำตาไหลพราก น้ำมูกย้อยเหมือนได้รับความระทมขมขื่นอันหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ข้าพเจ้าสืบเท้าเข้าไปหาเธอ เพื่อถามไถ่เรื่องราวต่างๆ แต่ข้าพเจ้าต้องหยุดชะงักอยู่กับที่ เมื่อเธอชี้หน้าทำตาขวางเหมือนจะบดขยี้ข้าพเจ้าให้แหลกคามือ คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของเธอไม่ต่างอะไรกับน้ำที่ไหลออกมาจากรางรินรับน้ำฝน ข้าพเจ้าฟังจนเกือบไม่ทัน เธอพูดว่า ''เจ้ามันบ้า! บ้าแท้ๆ! เจ้าบ่มีเวียกบ่? เดี๋ยวนี่คำเว้าของชาวบ้านแล่นเข้าหูข้อยจนล้นออกมาแล้ว…