Skip to main content
พระอาทิตย์ยามใกล้ค่ำสาดแสงอ่อนๆ ลอดผ่านปลายไม้ตามถนนล้านช้าง บนถนนรถยังคงแน่นขนัดวิ่งสวนกันไปมา ข้าพเจ้าประคับประคองร่างกาย ค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่าช้าๆ สายตามองสองส่องหาเศษขยะ  ปากก็กลืนน้ำลายลงคอ  สมองก็เริ่มคิดว่า ในบรรดาถังขยะเหล่านั้นจะมีสิ่งใดที่พอทำให้ข้าพเจ้ามีชีวิตรอดต่อไปอีกหนึ่งวัน


ความหิววิ่งพล่านอยู่ในช่องท้องทุกขณะ ปวดท้องขึ้นมาคราใด ข้าพเจ้าต้องได้ทรุดตัวลงนั่งริมฟุตบาทเอาหัวเข่าแนบเข้ากับท้อง เพื่อบรรเทาความปวดจากความหิว เมื่อผ่อนคลายได้บ้าง ข้าพเจ้าก็จะมีแรงบังคับขาให้ก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้ ตอนนี้ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงเรื่องราวในวัยหนุ่มตอนที่ยังไม่มีครอบครัว  ข้าพเจ้าโซซัดโซเซไปตามถนนผ่านหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง  มีเสียงดังจากในร้านออกมาข้างนอกบ่งบอกได้ว่าทุกคนในร้านกำลังมีความสุข

"ของกินที่เหลือจะทำยังไงดีคะ" เจ้าของร้านถาม
"เอาใส่ถุงให้หน่อยจะเอากับไปให้เจ้าดำสุนัขที่บ้าน" ข้าพเจ้าสำรวจตัวเองแล้วเดินเข้าไปในร้านอาหาร เพื่อหวังจะขออาหารที่เหลือเท่านั้น แต่พอไปถึงเพียงหน้าร้านก็มีคนมาไล่ข้าพเจ้าให้ไปจากร้านเร็วๆ
"เอ็งมานี่ทำไม เดี๋ยวแขกในร้านก็ได้อ้วกกันพอดี"
"ข้าขอเศษอาหารพอได้รองท้องสักหน่อยเถอะ"
"ไม่มีหรอกเศษอาหารไป...ไปให้พ้นหูพ้นตา" ข้าพเจ้าจำเป็นต้องแบกความหิวโหยที่ทรมานนั้นเดินโซเซไปตามฟุตบาทอย่างไร้ความหวัง

ตอนนี้แสงพระอาทิตย์บนถนนล้านช้างเปลี่ยนจากสีเหลืองอ่อนๆ เป็นสีแดงคล้ายกับสีสนิมเหล็ก บนฟ้าทิศตะวันตกมองดูไปคล้ายมีเทพธิดาร่ายรำอยู่บนนั้นพอให้คนอย่างข้าพเจ้าได้ชมเป็นขวัญตา  แต่ด้วยความหิวทำให้ข้าพเจ้าต้องหันหน้าหนีมาสนใจถังขยะใบใหญ่ใบหนึ่ง ข้าพเจ้ายื่นมือเข้าไปควานหาถุงพลาสติกใบใหญ่ มือทั้งสองข้างสั่นเทาด้วยความหิว เมื่อล้วงลงไปก็เจอส้มที่กินเหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง ในถุงมีเนื้อติดกระดูกอยู่สองชิ้น  ข้าพเจ้าหยิบขึ้นใส่ปากแล้วกินอย่างอร่อย นอกจากนั้นในถุงยังมีกล้วยอีกสองใบ  เมื่อกินเสร็จ ข้าพเจ้าเอาหลังพิงกำแพงยืดตัวให้พอมีแรงแล้วเดินต่อไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย

ข้าพเจ้าไม่ได้คิดถึงอาหารเย็นอีกแล้ว  จะเหลือก็แต่ที่ซุกหัวนอนเท่านั้น ข้าพเจ้าเดินตามริมฟุตบาทไปเรื่อยๆ  แล้วเลี้ยวขึ้นไปทางถนนหลวงพระบางท่ามกลางแสงไฟฟ้าสว่างไสว เพราะตอนนี้เริ่มมืดแล้ว  ข้าพเจ้าเดินไปเรื่อยๆ  เพราะไม่รู้ว่าที่ไหนจะพอให้ได้ซุกหัวนอน  ก่อนหน้านี้ไปที่ไหนก็มีแต่คนไล่หนี

"ไป...ที่ตรงนี้ไม่ใช่ที่นอน ไม่มีบ้านนอนหรือไง...ไปๆ"
"ให้ข้าพเจ้านอนใต้ร่มไม้นั้นก็ได้"
"ใต้ร่มไม้ก็ไม่ได้ เดี๋ยวของชาวบ้านแถวนี้จะหาย"

ข้าพเจ้ามองชายวัยกลางคนด้วยสายตาอ้อนวอนขอความเห็นใจ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำอย่างไรหรือไม่  เพราะตอนนี้ข้าพเจ้ายืนอยู่ในที่มืด ข้าพเจ้าเข้าใจว่าชายคนนี้ต้องเป็นเจ้าของตึกใหญ่โตหลังนี้ เพราะใส่สร้อยคอทองคำเส้นโตเท่านิ้วก้อย ข้าพเจ้ามองดูชายคนนั้นแล้วมองดูตัวเอง  ฟ้ากับดินชัดๆ ข้าพเจ้าไม่ได้ต่อปากต่อคำกับชายคนนั้นอีกได้แต่ก้มหน้าเดินหนี เพราะชายคนนั้นโยนก้อนหินไล่  ข้าพเจ้าทั้งเดินทั้งคิดถึงตอนที่ตัวเองเป็นผู้ใหญ่บ้านในสมัยสงครามต่อสู้กับการรุกรานของจักรพรรดินิยม  เมื่อมีหลายคนมาถึงบ้าน ข้าพเจ้าจะบอกให้ภรรยาเอาน้ำมาให้เขาเหล่านั้นดื่ม ถึงแม้จะไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อนก็ตามที คิดถึงตอนนั้นแล้วข้าพเจ้ายังคงรู้สึกดี เพราะเชื่อว่าตัวเองได้ทำในสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว

"แผลเป็นตามตัวของลุงเกิดจากอะไร" เพื่อนร่วมอาชีพคนหนึ่งถามขณะที่ข้าพเจ้านอนตากหมอกตากลมอยู่ใกล้สี่แยกไฟแดงสีหอม ภาพทั้งหมดในอีดตผุดขึ้นมาในสมองของข้าพเจ้าทันที
"เรื่องนี้ถ้าจะเล่ายาวนะทนฟังได้หรือเปล่า"
"ไม่เป็นไรยาวก็ฟังได้"

ในปี ๑๙๖๙ ฟ้าไม่เป็นใจให้ลุง ในขณะที่ลุงกำลังเดินข้ามห้วยน้ำไหลแรงที่กำลังนองจนเต็มฝั่ง ตอนนั้นไม่รู้ว่าเครื่องบิน F๑๐๕ บินมาจากไหนปักหัวพลิกคว่ำพลิกหงายลงแล้วก็ปล่อยระเบิดลงมาปานห่าฝน มันเปลี่ยนกันมาถล่มทั้งวัน ลุงไม่มีโอกาสไปหาลูกกับภรรยาเลย เพราะระเบิดไม่ยอมหยุดทำงานแม้แต่วินาทีเดียว ลุงทนอยู่ในสภาพแบบนั้นต่อไปไม่ได้จึงรีบออกมาจากปากหลุมหลบภัย แล้ววิ่งลัดเลาะไปตามริมห้วยไปจนถึงป่าละเมาะ ลุงพยายามหาที่กำบัง จากนั้นก็วิ่งฝ่าห่าระเบิดเข้าไปในหมู่บ้าน ภาพที่ปรากฏในตอนนั้นคือบ้านหลายหลังกำลังถูกไฟไหม้ ตอนนั้นบ้านนาอุงจมอยู่ในกองเพลิง อารมณ์นั้นลุงไม่นึกกลัวอะไรอีกต่อไป ลุงรีบวิ่งเข้าไปในบ้าน แต่สิ่งที่พบคือความว่างเปล่า ลูกและภรรยาของลุงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทันใดนั้นลุงก็ได้ยินเสียงระเบิดดังสะเทือนไปทั่วแผ่นดิน หลังจากนั้นลุงก็ไม่รู้สึกตัว มารู้สึกตัวก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในโรงพยาบาลทหาร ลุงรักษาที่โรงพยาบาลเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม

ในขณะที่ลุงกำลังทำการรักษาตัวเองอยู่ในโรงพยาบาลก็ได้พยายามสืบข่าวหาครอบครัว แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือคำตอบว่า ที่บ้านนาอุงไฟไหม้เหลือแต่ขี้เถ้า สัตว์เลี้ยงก็ไม่หลงเหลือแม้แต่ตัวเดียว แพทย์พยาบาลบอกว่า ลุงเป็นคนโชคดีที่รอดชีวิตมาได้ จากนั้นมาลุงก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรอย่างไร วันๆ จึงเอาแต่เที่ยวไปเรื่อยๆ บางครั้งก็ไปอยู่กับน้องชาย บางครั้งก็ไปอยู่กับน้องสาว บางครั้งก็ไปอยู่กับพี่สาวเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ทุกวันลุงได้แต่กินข้าวกับน้ำตา เพราะตัวเองกลายเป็นคนพิการ

"แล้วทำไมลุงไม่แต่งงานใหม่"
"สภาพแบบนี้นะจะแต่งงานใหม่ เราต้องเข้าใจว่าเราแต่งกับเขาแล้วก็ต้องดูแลเขา ไม่ใช่ให้เขามาดูแลเรา อย่างนี้ไม่ใช่ลูกผู้ชาย ถ้าจะแต่งงานใหม่แล้วผู้หญิงคนไหนจะมาแต่งกับคนพิการ แต่ถ้ามีลุงก็คงไม่แต่ง เพราะสงสารคนที่เขาจะมาแต่งงานด้วย"
"แล้วเอ็งละยังหนุ่มแน่นทำไมมาขอทานเขากิน"
"ที่บ้านแห้งแล้งทำอะไรก็ไม่ได้ผลผลิต"
"ไม่ใช่เกียจคร้านทำนาหรือ"
"ไม่ใช่ ไม่ใช่ แต่บางคนก็ขี้เกียจจริงๆ แต่บางคนไม่มีที่ทำกิน"


ตอนนี้ใกล้เที่ยงคืนแล้ว เพื่อนร่วมอาชีพของข้าพเจ้าต่างก็ปล่อยความคิดล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมายปลายทางตามสภาพของแต่ละคน ข้าพเจ้ายื่นมือไปหยิบเอาสังกะสีแผ่นหนึ่งขึ้นมาเสียบเข้ากับตะปูที่ข้างกำแพงพอให้มันทำหน้าที่บดบังหมอกยามดึกให้กับตัวเอง เสียงรถบนถนนเริ่มลดลงบ้างแล้ว  ที่ส่งเสียงดังเป็นระยะก็เป็นรถจักรยานยนต์ของพวกวัยรุ่นที่กลับออกมาจากร้านคาราโอเกะ และร้านบันเทิงต่างๆ แล้วเหตุการณ์ทั้งหมดของค่ำคืนนั้นก็ผ่านไปท่ามกลางวันเวลาแห่งความหนาวเย็น หดหู่ และขมขื่น

อรุณเบิกฟ้าวันใหม่ส่องแสงสีแดงฉาบทาไปทั่วจนข้าพเจ้าต้องตื่นขึ้นมา เพราะรู้สึกอ่อนเพลียปวดเมื่อยไปทั้งตัว เพื่อนร่วมอาชีพของข้าพเจ้าหายไปแล้วคงเพราะความหิวอันเนื่องมาแต่คืนที่ผ่านมาไม่มีอาหารตกถึงท้อง ข้าพเจ้ายื่นมือไปคว้าเอาน้ำขวดที่ยังเหลืออยู่ครึ่งขวดมาล้างหน้า  จากนั้นก็ก้าวข้ามรั้วออกไปแล้วเดินมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ  อย่างที่เคยทำมา แต่วันนี้ดูเหมือนว่าจะโชคดีกว่าวันก่อน และถือว่าเป็นโชคใหญ่ในรอบปีของการเป็นขอทานที่หากินตามฟุตบาท  เพราะเพียงแต่เดินไปถึงเขตหลักสองหรือที่คนทั่วไปเรียกว่าช้างสามหัว  ข้าพเจ้าก็แวะเข้าไปในบ้านวิลล่าหลังหนึ่งเพื่อขอทาน พอเข้าไปยืนอยู่ขอบประตู  ชายผู้เป็นเจ้าของบ้านที่ค่อนข้างอ้วนนิดหนึ่งก็เดินออกมาจากบ้าน พร้อมทั้งสังเกตดูข้าพเจ้าตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเท่าที่ควรพร้อมกับถามว่า

"ขาเป็นอะไรมาแล้วตามตัวไปโดนอะไรมา"
"เหล่านี้ล้วนเป็นผลพวงแห่งสงคราม" เขาแสดงสีหน้างุนงงเล็กน้อยแล้วถามต่อ
"พิการจากการสู้รบใช่ไหม"
"พอดีตอนนั้นกำลังจะเข้าไปช่วยลูกและภรรยา"


เขาเดินเข้าไปในบ้านนานพอสมควรจนข้าพเจ้าหมดกำลังใจที่จะรอคอย กำลังจะก้าวขาเดินออกจากบ้านหลังนั้นไป  ก็พอดีได้ยินเสียงร้องเรียก ข้าพเจ้ารีบหันหน้ากลับมาทันเห็นเขาเดินออกมาพร้อมกับถังพาสติกใบใหญ่อันหนึ่งพร้อมกับตั้งคำถามมาอีก

"ดื่มน้ำก่อนไหมแล้วค่อยไป"
"พอดีมีแล้วขอบคุณมาก"

พอออกมาพ้นประตูบ้านข้าพเจ้ารีบเปิดถังพาสติกใบนั้นดู ในถังมีข้าวเหนียวห่อหนึ่ง และมีเนื้อทอด ๕-๖ ชิ้น ส้ม ๕ ลูก ไส้อั่ว ๓ ชิ้น และมีเงินราว ๓๐,๐๐๐ กีบ หัวใจของข้าพเจ้าเต้นแรงด้วยความดีใจ เพราะในระยะสามปีกับการมีชีวิตด้วยการขอทาน ข้าพเจ้าไม่เคยได้อะไรมากมายอย่างขนาดนี้ ข้าพเจ้าได้แต่ภาวนาให้ชายคนนั้นโชคดี ร่ำรวยขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า

วันนี้ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องขอทานอีก สิ่งที่ข้าพเจ้าได้จากการให้ทานของผู้ใจบุญวันนี้ ข้าพเจ้าสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึงหนึ่งอาทิตย์ ข้าพเจ้าเดินกลับมาตามถนนเลียบริมแม่น้ำโขง เดินผ่านหน้าโรงแรมล้านช้างไปประมาณ ๒๐ กว่าเมตรจึงนั่งพักผ่อนอยู่กลางสนามหญ้า อาหารเช้าวันนี้ ข้าพเจ้ามีอาหารที่อร่อยกว่าหลายๆ วันที่ผ่านมาตั้งร้อยเท่าพันเท่า ข้าพเจ้ายังรู้สึกแปลกใจว่าทำไมเขาจึงให้ข้าพเจ้ามามากมายเพียงนี้ หรืออาจเป็นเพราะเขาเห็นข้าพเจ้าเป็นคนเหมือนกับคนอื่นหรือว่าเขาเห็นข้าพเจ้าเป็นคนพิการ...

พระอาทิตย์เคลื่อนย้ายมาจนถึงเที่ยงวันแล้ว ข้าพเจ้าลงอาบน้ำในแม่น้ำโขงเพื่อชำระล้างคราบไคลตามร่างกาย แล้วกลับขึ้นมาที่เดิมเพื่ออาหารเที่ยงที่โชคดีที่สุด ข้าพเจ้ากินข้าวไปตาก็มองรถที่วิ่งผ่านไปมาบนถนนไม่ขาดสาย ทั้งเสียงรถเร่งความเร็ว ทั้งเสียงแตรดังสนั่น มันเป็นภาพของความเจริญทางวัตถุที่ข้าพเจ้ากำลังได้เห็นในช่วงของการดำรงชีพด้วยการเป็นขอทาน

วันเวลาเลยผ่านไปเรื่อยๆ โดยไม่ยอมรอคอยใคร เวลาหมุนไปพร้อมกับดึงเอาความจริงหลายอย่างไปด้วย  และเหลือไว้เพียงส่วนหนึ่ง  เพื่อให้คนได้เห็น และสัมผัสกับมัน  ข้าพเจ้างีบหลับอยู่บนสนามหญ้านานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่พอตื่นขึ้นมา พระอาทิตย์ที่ขาวกระจ่างก็เปลี่ยนเป็นสีแดงช้ำอีกครั้ง เตือนให้รู้ว่า เวลาได้ดึงเอาทุกสิ่งทุกอย่างจากมนุษย์ไปอีกส่วนหนึ่งแล้ว

วันเวลาหมุนเวียนผ่านไปเร็วเหลือเกิน เงินที่ได้จากผู้ใจบุญก็ใกล้จะหมดไปแล้ว คิดจะกลับไปขอทานผู้ใจบุญคนนั้นอีก  แต่ข้าพเจ้าก็รู้สึกอายขึ้นมาทันทีที่นึกได้เช่นนั้น  ข้าพเจ้าจึงตั้งใจไว้ว่าจะไม่ไปรบกวนเขาอีกแน่นอน  ข้าพเจ้าเปลี่ยนเส้นทางเดินในการขอทานทันที  ถึงวันนี้จะไม่โชคดีเหมือนสองอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่ก็พอได้กินรองท้อง ข้าพเจ้ายังมีข้าวนึ่งปั้นหนึ่ง และเนื้อสองชิ้นสำหรับอาหารเย็น ข้าพเจ้าหิ้วถุงข้าวมุ่งหน้าไปทางน้ำพุ เดินไประยะหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ได้พบผู้คนจำนวนมากที่กำลังซุบซิบกันอยู่  มีเสียงหนึ่งดังขึ้น 

"ไป หนีไป มือเท้ายังดีจะมาขอทานทำไม ไปๆ"
"ทำบุญทำทานด้วยเถอะ ตั้งแต่เช้าจนป่านนี้ยังไม่ได้กินข้าวเลย"
"ไม่ ไป หนีไปไกลๆ ไม่มีโว้ย!"

ข้าพเจ้ามองเห็นชายคนนั้นทั้งสั่นทั้งกลัว  ตามเนื้อตัวของเขาหมองคล้ำกว่าข้าพเจ้ามาก เขาเดินเซไปเหมือนกับจะเป็นลม น้ำลายเริ่มไหลออกมาจากปาก  เขาเดินเซไปหาถังขยะที่มีถุงพลาสติกเต็มแล้วยื่นมือเข้าไปค้นหาตามแต่ละถัง  ไม่นานศรีษะของเขาก็มุดลงไปในถังขยะจนต้องร้องครวญครางโอดโอยด้วยความหิวโหย  ข้าพเจ้าดูแล้วเขาคงเจ็บปวดไม่น้อย ข้าพเจ้าจึงเดินเข้าไปหาเขาเมื่อผู้คนเดินหนีกันหมดแล้ว

"เป็นยังไงเจ็บมากไหม"
"เจ็บนะไม่มากหรอก แต่หิวมากกว่า"

ข้าพเจ้ามองดูถุงข้าว ทั้งมองดูเพื่อนร่วมชะตากรรม ทั้งคิดถึงความหิวของตนเองเมื่อเอาข้าวให้เขากินแล้ว คิดถึงความหิวของตัวเองเวลาขอทานไม่ได้ คิดถึงสภาพต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น แต่ในที่สุดข้าพเจ้าก็นั่งลงข้างๆ เขา แล้วดึงแขนเขาลุกขึ้นนั่งก่อนจะยื่นถุงข้าวให้ เขาคว้าถุงด้วยความดีใจทั้งพูดขึ้นว่า

"วันนี้ข้าเพิ่งได้กินข้าวครั้งแรกนี่แหละ"
ข้าพเจ้ากลืนน้ำลายลงคอนั่งมองดูเขากินข้าวด้วยความอร่อย และหิวโหย

 

 

บล็อกของ แสงพูไช อินทะวีคำ

แสงพูไช อินทะวีคำ
  น้องกล่าวว่าสะพานข้ามของโยงใจรัก เชื่อมสัมพันธ์แน่นหนักสองฝั่งของ แต่อ้ายว่าสะพานขัวนั้นมันเชื่อมโยง สองฝั่งของของน้องพี่คู่เคียงกัน
แสงพูไช อินทะวีคำ
 
แสงพูไช อินทะวีคำ
      สุขลุลาภได้.....................ชัยประเสริฐยอถืง เลิงๆเบยบานสุข...............ทุกข์อย่าเวินมาต้อง ความหมองเหยหายเสี้ยง....เหลือเพียงความซ้อยชื่น หมื่นปีสุข์อยู่สร้าง..............ปางฟ้าสหง่างาม....ท่านเอ๋ย  
แสงพูไช อินทะวีคำ
  คนสมัยนี้ ช่างแปลกดี เปลี่ยนแปลงไป ลบทิ้งได้ ความดีงาม ที่มีอยู่ ความดีแท้ เขาสร้างสรรค์ ครารุ่นปู่ ไม่เหลืออยู่ คนรุ่นนี้ ลบทิ้งไป  
แสงพูไช อินทะวีคำ
   
แสงพูไช อินทะวีคำ
เดือนสว่างพรางแพรวแล้วแก้วตา คราตามองยังไม่ชัดดูมืดมัว ไม่ใช่ว่ากลัวผีคืนเดือนดับเป็นสลัว เพราะตามัวหรือมั้ยรู้จริงดูขรึม
แสงพูไช อินทะวีคำ
  แสงพูไชย อินทะวีคำ เขียนสุมาตร ภูลายยาว แปล  จำปีพยายามปั่นจักรยานเก่าๆ คู่ชีพของตนไปตามถนนเรื่อยๆ ทั้งวันตามคำแนะนำของป้าจำเริญ ที่หลายคนขนานนามให้แก่ว่า ‘คุณป้าแสนรู้' เพราะคนจะขายบ้านอยู่ตรงไหน ถนนใด ซอยใด คุ้มใดในขอบเขตเมืองเวียงจัน ไม่เป็นอันหลุดรอดสายตาป้าไปได้ จำปีทั้งปั่นทั้งยกมือขึ้นเอาชายเสื้อเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาราวกับน้ำจากรางริน เพราะความร้อนของอากาศเมืองเวียงจันในช่วงเดือน ๕ ของปี ๒๐๐๓
แสงพูไช อินทะวีคำ
เขียน: แสงพูไชย อินทะวีคำ แปล: สุมาตร ภูลายยาว แม้จะบิดเร่งคันเร่งเท่าไหร่ รถจักรยานยนต์ยังวิ่งช้าเหมือนเต่าคลาน  ที่เป็นอย่างนี้คงเพราะความเร่งรีบอย่างไปถึงไปรษณีย์ให้เร็ว เพราะชั่วโมงทำงานใกล้มาถึง มือบิดคันเร่งพอๆ กับหัวใจที่ร้อนรนกลัวไม่ทันเวลา  สายตาจึงต้องเพ่งมองไปตามถนนเพื่อหลบรถคันแล้วคันเล่าก่อนจะเลี้ยวซ้ายเข้าไปสู่ไปรษณีย์กลาง
แสงพูไช อินทะวีคำ
พระอาทิตย์ยามใกล้ค่ำสาดแสงอ่อนๆ ลอดผ่านปลายไม้ตามถนนล้านช้าง บนถนนรถยังคงแน่นขนัดวิ่งสวนกันไปมา ข้าพเจ้าประคับประคองร่างกาย ค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่าช้าๆ สายตามองสองส่องหาเศษขยะ  ปากก็กลืนน้ำลายลงคอ  สมองก็เริ่มคิดว่า ในบรรดาถังขยะเหล่านั้นจะมีสิ่งใดที่พอทำให้ข้าพเจ้ามีชีวิตรอดต่อไปอีกหนึ่งวัน
แสงพูไช อินทะวีคำ
ที่ร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง บนริมถนนล้านช้าง เช้าเช้าอย่างนี้เป็นเวลาที่ผู้คนกำลังเดินเข้าเดินออกเพื่อที่จะมาลิ้มรสกาแฟปากช่องที่ขึ้นชื่อที่สุด ชายหนุ่มชื่อต่ายเดินไปในร้านกาแฟ แกมองซ้ายมองขวา ก่อนที่จะนั่งลง อีกไม่ถืงสามนาที ก็มีหญิงสาวอายุประมาณยี่สิบกว่านิดๆ เดินเข้ามานั่งลงม้านั่งด้านตรงกันข้าม เสียงสนทนาแว่วๆ เข้าหู "นึกว่าพี่จะไม่มา""ไม่มาได้ไง?""ขอบคุณค่ะ""ไม่เป็นไร ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว""ไอ้เรื่องไหนๆ ที่พี่ว่ามีความหมายว่าอย่างไร?""ไม่มีอะไรหรอก คิดมากไป...""ถามจริงๆเถอะ...พี่ชอบหนูจริงหรือเปล่าคะ?""เรื่องนี้เราคุยกันรู้เรื่องแล้วไม่ไช่หรือ? ทำไมต้องคุยอีก""ก็กลัวพี่ไม่รักหนูจริงนี่นา"
แสงพูไช อินทะวีคำ
สมสีเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของพ่อเผย ชาวบ้านต่างกล่าวขานกันว่า เป็นผู้หญิงที่สวยเพียบพร้อมด้วยสมบัติบารมี ตรงตามตำราโบราณ รูปร่างสมส่วน ผิวขาวเหมือนไข่ปอก เข้ากับภาษิตที่ว่า ‘ตีนมือสวยลงน้ำหมานปลา ตีนมือหว้าลงนาหมานข้าว ไผได้เอาฮ่วมซ้อนคำไร้แม่นบ่มี’ เรื่องนี้เป็นที่รู้จักกันดีของชาวบ้านห้วยจิก วันนี้จ่อยกลับจากไปสู่ขวัญบ้านใต้ มองเห็นพ่อเผยกำลังนั่งเหลาตอกอยู่เพียงลำพัง จึงร้องทักอย่างคนคุ้นเคย “พ่อเผยเอ้ย! ข้อยขอเป็นลูกเขยได้บ่” จ่อยทั้งร้องทักทั้งส่งเสียงหัวเราะแหะๆ “บักจ่อย! มึงกล้าแต่ฮ้องใส่กูนี้แล้ว ถ้ามึงกล้าเว้ากับอี่สี แล้วมันตกลงแต่งงานกับมึง กูจะบ่ขัดทั้งสิยกให้มึงโลด”…
แสงพูไช อินทะวีคำ
พอเข้าบ้านปุ๊บ เสียงแปลกประหลาดก็วิ่งเข้าสู่รูหูทันที เสียงแบบนี้ข้าพเจ้าไม่คุ้นหูเอาเสียเลย และมันก็ไม่เคยเกิดขึ้นกับภรรยาสุดที่รักของข้าพเจ้าสักครั้ง เธอนั่งร้องไห้น้ำตาไหลพราก น้ำมูกย้อยเหมือนได้รับความระทมขมขื่นอันหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ข้าพเจ้าสืบเท้าเข้าไปหาเธอ เพื่อถามไถ่เรื่องราวต่างๆ แต่ข้าพเจ้าต้องหยุดชะงักอยู่กับที่ เมื่อเธอชี้หน้าทำตาขวางเหมือนจะบดขยี้ข้าพเจ้าให้แหลกคามือ คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของเธอไม่ต่างอะไรกับน้ำที่ไหลออกมาจากรางรินรับน้ำฝน ข้าพเจ้าฟังจนเกือบไม่ทัน เธอพูดว่า ''เจ้ามันบ้า! บ้าแท้ๆ! เจ้าบ่มีเวียกบ่? เดี๋ยวนี่คำเว้าของชาวบ้านแล่นเข้าหูข้อยจนล้นออกมาแล้ว…