Skip to main content

สมสีเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของพ่อเผย ชาวบ้านต่างกล่าวขานกันว่า เป็นผู้หญิงที่สวยเพียบพร้อมด้วยสมบัติบารมี ตรงตามตำราโบราณ รูปร่างสมส่วน ผิวขาวเหมือนไข่ปอก เข้ากับภาษิตที่ว่า ‘ตีนมือสวยลงน้ำหมานปลา ตีนมือหว้าลงนาหมานข้าว ไผได้เอาฮ่วมซ้อนคำไร้แม่นบ่มี’ เรื่องนี้เป็นที่รู้จักกันดีของชาวบ้านห้วยจิก


วันนี้จ่อยกลับจากไปสู่ขวัญบ้านใต้ มองเห็นพ่อเผยกำลังนั่งเหลาตอกอยู่เพียงลำพัง จึงร้องทักอย่างคนคุ้นเคย

พ่อเผยเอ้ย! ข้อยขอเป็นลูกเขยได้บ่” จ่อยทั้งร้องทักทั้งส่งเสียงหัวเราะแหะๆ

บักจ่อย! มึงกล้าแต่ฮ้องใส่กูนี้แล้ว ถ้ามึงกล้าเว้ากับอี่สี แล้วมันตกลงแต่งงานกับมึง กูจะบ่ขัดทั้งสิยกให้มึงโลด”

พูดจบ พ่อเผยดึงบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อยัดใส่ปากแล้วจุดไฟดูดควันเข้าปอดเต็มแรงแล้วพูดขึ้นอีกว่า

มึงมาแต่ทางใดจึงมาฮ้องใส่กู?” พ่อเผยพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง

ข้อยมาแต่บ้านใต้ ไปมัดแขนหลานน้อยเฮือนป้าจัน”


จ่อยผ่อนแรงเดินให้เฉื่อยลงแล้วเดินเข้าไปหาพ่อเผยช้าๆ เพื่อแสดงความรักนับถือที่มีต่อกัน ไม่ได้มีเจตนาล่วงเกินแม้แต่น้อย ถึงแม้นว่าไม่ได้คิดเกินเลยไปจากความรักนับถือกัน บางครั้งจ่อยก็คิดว่า หากได้เป็นทองแผ่นเดียวกันกับพ่อเฒ่าคงมีความสุข

นอกจากจ่อยแล้ว ยังมีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่บ้านใกล้บ้านไกล ต่างก็พากันสุมหัวซุบซิบยื่นหน้าลอยตาอย่างออกรสชาติ เพราะปรารถนาตำแหน่งลูกเขย ดูไปแล้วก็คงเป็นวาสนาของพ่อเผยแท้ๆ เพราะหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่มาตามตื้อสมสีไม่มีใครขี้เหร่แม้แต่คนเดียวรวมทั้งจ่อย ถึงแม้ว่าจะมีรูปร่างไม่ต่างกับชื่อก็ตาม


วันนี้จ่อยมีโอกาสดีที่ได้มานั่งใกล้พ่อเผย เขาอยากพูดอะไรบางอย่างที่หัวใจตัวเองต้องการ แต่มันเหนือความสามารถของเขา จึงได้แต่เฉไฉพูดเรื่องราวทั่วไปเสียมากกว่า


บางครั้งที่เขามีโอกาสอยู่กับสมสี กรรมซ้ำมาค้างต่อมทำงานของขากรรไกรไม่ทำงาน ปากไม่ยอมขยับ ทั้งที่ใจอยากพูดออกมาให้สมใจนึก จ่อยเหนื่อยใจ จนบางครั้งอยากเอาเหล็กชะแลงมางัดปากให้พูดออกมา... แต่ไม่มีแม้เพียงถ้อยคำเดียวที่หลุดออกมา บางครั้งกลับหนาวๆ ร้อนๆ เสียด้วยซ้ำ เพียงครั้งเดียวที่จ่อยได้โอกาสอยู่ใกล้ชิดสมสี เมื่อเดือนที่แล้ว ในงานแต่งงานของเสี่ยวเหยเกยฮักบ้านใต้ เขาพูดไม่ออก ได้เพียงแต่ยกมือทั้งสองข้างถูกันไปมาจนมือร้อน นานกว่าจะมีคำพูดบางคำหลุดออกมา


สมสี! อ้ายอยากหยับสวนม่อน มาซอนสวนมี่ อ้ายอยากหยับสวนหมากหมี่มาซอนป่ามาเยาได้บ่น่อ”

แล้วเสียงหัวเราะอยู่ทางด้านหลังก็ดังขึ้นทำให้เขาหน้าแดงด้วยความอาย ตั้งแต่วันนั้นมา เวลาจ่อยพบกับพ่อเผยก็รู้สึกเคอะเขินบางครั้งบางคราว ยิ่งเวลานี้ท่าทีของจ่อยก็บอกให้รู้ว่า มีความเอียงอาย และเกรงพ่อเผย จ่อยพยายามขยับก้นเข้าไปใกล้ๆ แล้วจึงเอ่ยปากพูดปนเสียงหัวเราะ


ข้อยได้ยินว่า สิมีคนจะมาขอสมสีแม่นหวะ?”

มึงเอาเรื่องนี้มาแต่ไส?”

พ่อเผยพูดเหมือนโกรธกริ้ว แต่ก็ยังอมยิ้ม เพราะคิดว่าจ่อยก็เหมือนลูกหลานว่านเครือคนใกล้เคียง จ่อยสรวลเสเฮฮาต่อแล้วพูดขึ้นมาว่า

เรื่องนี้ เขาฮู้กันทั่วบ้านทั่วเมือง แม้แต่แม่อยู่เฮือนเพิ่นก็ยังรู้”

มันบ่ทันแม่นความจริงดอก จ่อยเอ๋ย! อันหนึ่ง อี่สีมันก็บ่มีความฮู้ความหลักหยัง”

แท้ของแนวยากได้แต่คนอยู่ต่างประเทศ!” จ่อยเห็นได้ทีรีบตีลูกซี้ปะเหลาะทีเล่นทีจริง


ไม่นานนักข่าวคราวเรื่องนี้ก็แพร่สะพัดไปถึงหูหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ทั้งใกล้-ไกล สร้างความตกอกตกใจให้
กับหนุ่มๆ ที่หมายปองสมสี สำหรับจ่อยแล้ว แม้จะพูดออกมาได้ แต่ลึกๆ แล้วก็รู้สึกหวาดหวั่น...


พ่อเผยดึงมวนบุหรี่ออกจากปากแล้วเหลือบมองหน้าจ่อยพูดจริงจังขึ้นในทันที

ถ้ามันเป็นไปได้ มันก็ดี!” แล้วพ่อเผยก็มองหน้าจ่อย เหมือนกำลังเดาใจ จ่อยได้แต่ยิ้มแห้งๆ แต่ถึงอย่างไร จ่อยก็อดน้อยใจไม่ได้ เพราะเรื่องทั้งหมดเขาได้ยินมากับหูตัวเอง...


บนเรือนพ่อเผย มีผู้เฒ่าผู้แก่หลายคน เสียงพูดคุยกันเป็นไปอย่างสนุกสนาน มองอยู่ไกลๆ เห็นผู้คนวิ่งเข้าวิ่งออก จ่อยจึงหยุดเดินแล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ เพ่งสายตามองผ่านหน้าต่างเข้าไปข้างในเห็นผู้เฒ่าผู้แก่นั่งเรียงกันเป็นแถว หนึ่งนั้นก็มีลุงทิดหลอด ถัดมาเป็นคนหนุ่มศีรษะล้านอายุประมาณ 30 กว่าปี เมื่อมองจนแน่ใจก็พอเดาออกได้ว่าเป็นคนฐานะดี เขาเอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า


จะอย่างไรก็ตาม ลูกก็จะไม่ทิ้งไม่ขว้างดอก! ขอให้พ่อแม่ และสมสีไว้วางใจ!” เขาพูดแล้วก็เหลียวซ้ายแลขวา จากนั้นจึงพูดต่อ “แต่หมั้นหมายกันแล้ว ลูกก็ต้องไปอเมริกา เพื่อเฮ็ดเอกสารหนังสือเดินทางต่างๆ ถ้าแล้วจะมาแต่งเอาไปนำ”


คำพูดนั้นมันเหมือนกับว่า มีเข็มเป็นหมื่นเล่มเสียบแทงหัวใจหนุ่มบ้านนาอย่างจ่อยให้เจ็บปวด หัวใจเต้นผิดจังหวะ แกว่งไปแกว่งมา... แต่เขาต้องทนกล้ำกลืนฝืนฟังให้จบเรื่องสิ้นราวเพื่อความแน่ใจ


เดี๋ยวนี้ถือว่าตกลงมอบสินสอดของหมั้นตามประเพณีที่ตกลงกันไว้ 10,000 ดอลลาร์” ลุงทิดดอกสรุปพร้อมทั้งวางเงินลงต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง เสียงสักขีพยานยกยอชื่นชมดังขึ้น


มื้อนี้ถือว่าเป็นดองน้อย หลานคอนมีกับหลานสมสีเป็นผัวเมียกันแต่วันนี้เป็นต้นไป เมื่อหลานคอนมีกลับมาแต่อเมริกาในเดือน 12 จั่งแต่งดองใหญ่อีกบาดหนึ่ง”


หลายคนสนุกสนานกับความสมหวังของคนทั้งสองคนในบ้าน แต่คงไม่มีใครนึกออกหรอกว่า การตกลงมอบสินสอด และงานแต่งงานเล็กๆ นี้ มันเหมือนกับเอามีดมาแหวกดวงใจของใครคนหนึ่งที่กำลังเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ในขณะนี้


งานหมั้นหมายเพื่อเป็นสักขีพยานให้แก่หนุ่มสาวครั้งนี้สำเร็จลง แม้จะมีบางอย่างค้างคาในใจ แต่พ่อเผยก็โล่งใจ หลังจากงานเสร็จสิ้นลงได้ 3 วันคอนมีก็กลับอเมริกา แล้วคนที่คอยวันคอยคืนก็คงเป็นสมสี


การรอคอยเหมือนกับว่า เข็มนาฬิกาขี้เกียจไม่เต็มใจเดิน เวลาช่างไม่เป็นใจมันไม่หมุนให้เร็วขึ้นอย่างที่ใจสมสีอย่างให้เป็น บางครั้งก็ทำให้สมสีหวาดหวั่นในการที่จะนั่งเครื่องบินไปอเมริกา เพราะคิดถึงแผ่นดินที่ฝังสายรกของตนเองเอาไว้


แล้ววันเวลาที่นัดหมายก็มาถึง และมันก็ผ่านไป แต่ข่าวการกลับมาของคอนมีก็ยังเงียบหาย กาลเวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ


สมสีนั่งล้างจานปล่อยความคิดล่องลอยไปเรื่อยๆ สันดานน้ำตาของคนผิดหวังก็ไหลผ่านพวงแก้มออกมาเมื่อได้ยินเสียงแห่เจ้าบ่าวเข้าสู่พิธีแต่งงาน เธอพึมพำกับตัวเอง ‘โอย! ออดเสี่ยวฮักโตสั่งมาเป็นคนโชคดีแท้ๆ !...’


งานแต่งงานของออดเป็นงานใหญ่สำหรับคนบ้านห้วยจิก กล่าวขานกันว่า สาวออดผิวเกรียมแดดได้แต่งงานกับฝรั่งผิวขาวราวหยวกกล้วย แถมพูดภาษาลาวได้ดียังกับเป็นคนลาว งานแต่งก็ทำพิธีแบบลาว งานแต่งงานของออดจึงเป็นที่ถูกอกถูกใจคนบ้านห้วยจิก


เสียงเรียกดังมาจากทางด้านหลังทำให้สมสีรีบเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบสองเนียนแก้ม

ตาย สีเอ๋ย! แม่นหยังมาล้างถ้วยอยู่คนเดียว ไปหากินข้าวก่อนไปเสี่ยว” เจ้าสาวงานแต่งร้องทัก

ตาย เจ้าสาวคือมางามแท้!”

แล้วโตเด้! มื้อใด๋สิแต่งสาให้มันแล้ว” เจ้าสาวถาม

ม้าออกเขาพู้นละ!” สมสีตอบด้วยอาการน้อยใจ


สมสีไม่ได้พูดอะไรเยอะ นอกจากสังเกตออด และโทนี่ หนุ่มอเมริกาหน้าตาใส รูปร่างหน้าตาของทั้งสองคนไม่มีวี่แววว่าจะเข้ากันได้ แต่หัวใจที่ไม่สามารถมองเห็นได้นั้น เขาทั้งสองคงเข้ากันได้ดีจึงทำให้งานแต่งงานครั้งนี้จึงเกิดขึ้น และอีกไม่นานเท่าไหร่ทั้งสองก็จะบินไปอเมริกา สมสีได้ขอร้องให้ออด และโทนี่สืบหาคอนมีตามที่อยู่ที่เขาให้ไว้


งานแต่งงานของออด และโทนี่หนุ่มอเมริกาหน้าใสผ่านพ้นไปยิ่งทำให้สมสีคิดหนัก และรอคอยการกลับมาของคอนมีเพิ่มขึ้นกว่าเดิม เวลาล่วงเลยไปนานเทาไหร่ยิ่งทำให้หัวใจของสมสีเจ็บปวด และเป็นแผลบาดลึกกว้างขึ้นทุกที การรอคอยด้วยความเศร้าของสมสีได้ทำให้ความงามที่เคยมีติดปีกโบยบินหนีไป


แล้วเรื่องราวต่างๆ ก็กระจ่างแจ้งขึ้นเมื่อลูกชายของลุงทิดมีเดินทางมาเยี่ยมพ่อแม่และบอกให้รู้ว่า คอนมีมีเมียและลูกสามคนแล้ว ข่าวนี้ทำให้สมสีร่ำไห้จนเกือบสิ้นใจ ความอ้างว้างและสิ้นหวังเดินทางมาแทนที่ทุกอย่าง ความหวังที่เคยหวังไว้บัดนี้มันหายไปจนหมด คงมีแต่คราบน้ำตาที่หลั่งจนล้นเบ้าตาเท่านั้นที่คอยเป็นเพื่อน


จ่อยหนุ่มนาผู้ไร้ความหวังเฝ้ามองเหตุการณ์มาตลอด เขาเห็นสมสีเจ็บปวดหนักหนาสาหัสเกินกว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างสมสีจะรับได้ ทั้งหมดนั้นมันก็สร้างความเจ็บปวดให้กับจ่อยเช่นกัน ความเจ็บปวดที่จ่อยมีอาจไม่เท่ากับสิ่งที่สมสีได้รับในขณะนี้ จ่อยเดินเข้าไปหาสมสีในขณะที่สมสีกำลังนั่งร้องไห้อยู่ที่บันได แล้วก็พูดปลอบใจ


สมสี! ข้อยฮู้ และเข้าใจเหตุการณ์นี้ดี ข้อยขอแสดงความเสียใจ”

เจ้าสิมาซ้ำเติมข้อยหรือว่ามาแนวใด” สมสีรีบเช็ดน้ำตาแล้วเพ่งสายตาไปหาจ่อย

บ่แม่นดอกสมสี! ข้อยฮู้ดีว่า เจ้าเจ็บปวดที่สูด...แต่เจ้าฮู้บ่ว่า ผู้ที่เจ็บปวดบ่แม่นแต่เจ้า ข้อยกะคือกันนั้นแหละ” จ่อยทั้งพูดทั้งกระพริบตาคล้ายจะร้องไห้


เจ้าอย่าเว้าแนวนั้น ข้อยบ่แม่นคนวิเศษหยัง และเจ้าก็บ่ได้ฮักข้อย”

ข้อยฮักเจ้ามาแต่โดนแล้ว! เจ้ายังมีค่าสำหรับข้อย บ่แม่นเจ้าบ่ดี ข้อยเข้าใจ”

มื้อนี้เจ้าเว้าแปลกหนอ ปานนี้เจ้าจั่งมาเว้าแนวนี้ เจ้าจะให้ข้อยเชื่อว่าเจ้าฮักข้อยในมื้อหนึ่งวันเดียว มันเป็นไปบ่ได้ หัวใจข้อยบ่สมควรเลยที่เจ้าจะฮัก”

สี! อย่าโทษตัวเองเลย! เจ้ายังมีสิทธิเลือกหนทางเดินบ่แม่นหวะ”


จ่อยทั้งพูดทั้งขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆ กับสมสี แล้วเล่าความในใจทุกอย่างให้สมสีฟัง โอกาสดีๆ แบบนี้สำหรับจ่อยไม่ได้มีมากนัก ถ้าหากเขาปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไปอย่างไร้ค่าก็หมายความว่า จ่อยไม่ได้มีความพยายามที่จะทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ เพื่อให้สมสีได้เข้าใจ และมีความเชื่อมั่น...


แล้วในที่สุด ฟ้าก็บันดาลให้จ่อยสมประสงค์ด้วยการทำให้หัวใจของคนทั้งสองเชื่อมต่อกัน รอยด่างราคีได้ถูกชำระล้างจนหมด สมสีจึงกลับมามีชีวิตชีวาเช่นเดิม ในที่สุดหัวใจสองดวงก็ถักทอวิมานที่แปรเปลี่ยนจากความฝันมาเป็นความจริง ก่อนจ่อยจะเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ งานแต่งงานที่ฆ่าควาย 2-3 ตัว เป็นงานแต่งงานที่ใหญ่สมควรสำหรับคนบ้านห้วยจิกจึงเริ่มขึ้น ท่ามกลางความยินดีของญาติพี่น้องทั้งใกล้-ไกล เพื่อเป็นสักขีพยานให้แก่สองหัวใจได้ครองรักปักแน่นเป็นทองแผ่นเดียวกัน ห้องหอที่อบอุ่นใต้แสงเดือนที่ฉายแสงรอดเข้ามาพอเป็นเงาประสมกับสามลมเย็นที่พัดโชยมาแผ่วเบาแต่ทางทิศตะวันออกทำให้ทั้งสองเกาะแขนกันเดินเข้าเรือนหอด้วยหัวใจที่ตื้นตัน และมีความสุข


บล็อกของ แสงพูไช อินทะวีคำ

แสงพูไช อินทะวีคำ
  น้องกล่าวว่าสะพานข้ามของโยงใจรัก เชื่อมสัมพันธ์แน่นหนักสองฝั่งของ แต่อ้ายว่าสะพานขัวนั้นมันเชื่อมโยง สองฝั่งของของน้องพี่คู่เคียงกัน
แสงพูไช อินทะวีคำ
 
แสงพูไช อินทะวีคำ
      สุขลุลาภได้.....................ชัยประเสริฐยอถืง เลิงๆเบยบานสุข...............ทุกข์อย่าเวินมาต้อง ความหมองเหยหายเสี้ยง....เหลือเพียงความซ้อยชื่น หมื่นปีสุข์อยู่สร้าง..............ปางฟ้าสหง่างาม....ท่านเอ๋ย  
แสงพูไช อินทะวีคำ
  คนสมัยนี้ ช่างแปลกดี เปลี่ยนแปลงไป ลบทิ้งได้ ความดีงาม ที่มีอยู่ ความดีแท้ เขาสร้างสรรค์ ครารุ่นปู่ ไม่เหลืออยู่ คนรุ่นนี้ ลบทิ้งไป  
แสงพูไช อินทะวีคำ
   
แสงพูไช อินทะวีคำ
เดือนสว่างพรางแพรวแล้วแก้วตา คราตามองยังไม่ชัดดูมืดมัว ไม่ใช่ว่ากลัวผีคืนเดือนดับเป็นสลัว เพราะตามัวหรือมั้ยรู้จริงดูขรึม
แสงพูไช อินทะวีคำ
  แสงพูไชย อินทะวีคำ เขียนสุมาตร ภูลายยาว แปล  จำปีพยายามปั่นจักรยานเก่าๆ คู่ชีพของตนไปตามถนนเรื่อยๆ ทั้งวันตามคำแนะนำของป้าจำเริญ ที่หลายคนขนานนามให้แก่ว่า ‘คุณป้าแสนรู้' เพราะคนจะขายบ้านอยู่ตรงไหน ถนนใด ซอยใด คุ้มใดในขอบเขตเมืองเวียงจัน ไม่เป็นอันหลุดรอดสายตาป้าไปได้ จำปีทั้งปั่นทั้งยกมือขึ้นเอาชายเสื้อเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาราวกับน้ำจากรางริน เพราะความร้อนของอากาศเมืองเวียงจันในช่วงเดือน ๕ ของปี ๒๐๐๓
แสงพูไช อินทะวีคำ
เขียน: แสงพูไชย อินทะวีคำ แปล: สุมาตร ภูลายยาว แม้จะบิดเร่งคันเร่งเท่าไหร่ รถจักรยานยนต์ยังวิ่งช้าเหมือนเต่าคลาน  ที่เป็นอย่างนี้คงเพราะความเร่งรีบอย่างไปถึงไปรษณีย์ให้เร็ว เพราะชั่วโมงทำงานใกล้มาถึง มือบิดคันเร่งพอๆ กับหัวใจที่ร้อนรนกลัวไม่ทันเวลา  สายตาจึงต้องเพ่งมองไปตามถนนเพื่อหลบรถคันแล้วคันเล่าก่อนจะเลี้ยวซ้ายเข้าไปสู่ไปรษณีย์กลาง
แสงพูไช อินทะวีคำ
พระอาทิตย์ยามใกล้ค่ำสาดแสงอ่อนๆ ลอดผ่านปลายไม้ตามถนนล้านช้าง บนถนนรถยังคงแน่นขนัดวิ่งสวนกันไปมา ข้าพเจ้าประคับประคองร่างกาย ค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่าช้าๆ สายตามองสองส่องหาเศษขยะ  ปากก็กลืนน้ำลายลงคอ  สมองก็เริ่มคิดว่า ในบรรดาถังขยะเหล่านั้นจะมีสิ่งใดที่พอทำให้ข้าพเจ้ามีชีวิตรอดต่อไปอีกหนึ่งวัน
แสงพูไช อินทะวีคำ
ที่ร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง บนริมถนนล้านช้าง เช้าเช้าอย่างนี้เป็นเวลาที่ผู้คนกำลังเดินเข้าเดินออกเพื่อที่จะมาลิ้มรสกาแฟปากช่องที่ขึ้นชื่อที่สุด ชายหนุ่มชื่อต่ายเดินไปในร้านกาแฟ แกมองซ้ายมองขวา ก่อนที่จะนั่งลง อีกไม่ถืงสามนาที ก็มีหญิงสาวอายุประมาณยี่สิบกว่านิดๆ เดินเข้ามานั่งลงม้านั่งด้านตรงกันข้าม เสียงสนทนาแว่วๆ เข้าหู "นึกว่าพี่จะไม่มา""ไม่มาได้ไง?""ขอบคุณค่ะ""ไม่เป็นไร ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว""ไอ้เรื่องไหนๆ ที่พี่ว่ามีความหมายว่าอย่างไร?""ไม่มีอะไรหรอก คิดมากไป...""ถามจริงๆเถอะ...พี่ชอบหนูจริงหรือเปล่าคะ?""เรื่องนี้เราคุยกันรู้เรื่องแล้วไม่ไช่หรือ? ทำไมต้องคุยอีก""ก็กลัวพี่ไม่รักหนูจริงนี่นา"
แสงพูไช อินทะวีคำ
สมสีเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของพ่อเผย ชาวบ้านต่างกล่าวขานกันว่า เป็นผู้หญิงที่สวยเพียบพร้อมด้วยสมบัติบารมี ตรงตามตำราโบราณ รูปร่างสมส่วน ผิวขาวเหมือนไข่ปอก เข้ากับภาษิตที่ว่า ‘ตีนมือสวยลงน้ำหมานปลา ตีนมือหว้าลงนาหมานข้าว ไผได้เอาฮ่วมซ้อนคำไร้แม่นบ่มี’ เรื่องนี้เป็นที่รู้จักกันดีของชาวบ้านห้วยจิก วันนี้จ่อยกลับจากไปสู่ขวัญบ้านใต้ มองเห็นพ่อเผยกำลังนั่งเหลาตอกอยู่เพียงลำพัง จึงร้องทักอย่างคนคุ้นเคย “พ่อเผยเอ้ย! ข้อยขอเป็นลูกเขยได้บ่” จ่อยทั้งร้องทักทั้งส่งเสียงหัวเราะแหะๆ “บักจ่อย! มึงกล้าแต่ฮ้องใส่กูนี้แล้ว ถ้ามึงกล้าเว้ากับอี่สี แล้วมันตกลงแต่งงานกับมึง กูจะบ่ขัดทั้งสิยกให้มึงโลด”…
แสงพูไช อินทะวีคำ
พอเข้าบ้านปุ๊บ เสียงแปลกประหลาดก็วิ่งเข้าสู่รูหูทันที เสียงแบบนี้ข้าพเจ้าไม่คุ้นหูเอาเสียเลย และมันก็ไม่เคยเกิดขึ้นกับภรรยาสุดที่รักของข้าพเจ้าสักครั้ง เธอนั่งร้องไห้น้ำตาไหลพราก น้ำมูกย้อยเหมือนได้รับความระทมขมขื่นอันหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ข้าพเจ้าสืบเท้าเข้าไปหาเธอ เพื่อถามไถ่เรื่องราวต่างๆ แต่ข้าพเจ้าต้องหยุดชะงักอยู่กับที่ เมื่อเธอชี้หน้าทำตาขวางเหมือนจะบดขยี้ข้าพเจ้าให้แหลกคามือ คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของเธอไม่ต่างอะไรกับน้ำที่ไหลออกมาจากรางรินรับน้ำฝน ข้าพเจ้าฟังจนเกือบไม่ทัน เธอพูดว่า ''เจ้ามันบ้า! บ้าแท้ๆ! เจ้าบ่มีเวียกบ่? เดี๋ยวนี่คำเว้าของชาวบ้านแล่นเข้าหูข้อยจนล้นออกมาแล้ว…