Skip to main content

สมสีเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของพ่อเผย ชาวบ้านต่างกล่าวขานกันว่า เป็นผู้หญิงที่สวยเพียบพร้อมด้วยสมบัติบารมี ตรงตามตำราโบราณ รูปร่างสมส่วน ผิวขาวเหมือนไข่ปอก เข้ากับภาษิตที่ว่า ‘ตีนมือสวยลงน้ำหมานปลา ตีนมือหว้าลงนาหมานข้าว ไผได้เอาฮ่วมซ้อนคำไร้แม่นบ่มี’ เรื่องนี้เป็นที่รู้จักกันดีของชาวบ้านห้วยจิก


วันนี้จ่อยกลับจากไปสู่ขวัญบ้านใต้ มองเห็นพ่อเผยกำลังนั่งเหลาตอกอยู่เพียงลำพัง จึงร้องทักอย่างคนคุ้นเคย

พ่อเผยเอ้ย! ข้อยขอเป็นลูกเขยได้บ่” จ่อยทั้งร้องทักทั้งส่งเสียงหัวเราะแหะๆ

บักจ่อย! มึงกล้าแต่ฮ้องใส่กูนี้แล้ว ถ้ามึงกล้าเว้ากับอี่สี แล้วมันตกลงแต่งงานกับมึง กูจะบ่ขัดทั้งสิยกให้มึงโลด”

พูดจบ พ่อเผยดึงบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อยัดใส่ปากแล้วจุดไฟดูดควันเข้าปอดเต็มแรงแล้วพูดขึ้นอีกว่า

มึงมาแต่ทางใดจึงมาฮ้องใส่กู?” พ่อเผยพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง

ข้อยมาแต่บ้านใต้ ไปมัดแขนหลานน้อยเฮือนป้าจัน”


จ่อยผ่อนแรงเดินให้เฉื่อยลงแล้วเดินเข้าไปหาพ่อเผยช้าๆ เพื่อแสดงความรักนับถือที่มีต่อกัน ไม่ได้มีเจตนาล่วงเกินแม้แต่น้อย ถึงแม้นว่าไม่ได้คิดเกินเลยไปจากความรักนับถือกัน บางครั้งจ่อยก็คิดว่า หากได้เป็นทองแผ่นเดียวกันกับพ่อเฒ่าคงมีความสุข

นอกจากจ่อยแล้ว ยังมีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่บ้านใกล้บ้านไกล ต่างก็พากันสุมหัวซุบซิบยื่นหน้าลอยตาอย่างออกรสชาติ เพราะปรารถนาตำแหน่งลูกเขย ดูไปแล้วก็คงเป็นวาสนาของพ่อเผยแท้ๆ เพราะหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่มาตามตื้อสมสีไม่มีใครขี้เหร่แม้แต่คนเดียวรวมทั้งจ่อย ถึงแม้ว่าจะมีรูปร่างไม่ต่างกับชื่อก็ตาม


วันนี้จ่อยมีโอกาสดีที่ได้มานั่งใกล้พ่อเผย เขาอยากพูดอะไรบางอย่างที่หัวใจตัวเองต้องการ แต่มันเหนือความสามารถของเขา จึงได้แต่เฉไฉพูดเรื่องราวทั่วไปเสียมากกว่า


บางครั้งที่เขามีโอกาสอยู่กับสมสี กรรมซ้ำมาค้างต่อมทำงานของขากรรไกรไม่ทำงาน ปากไม่ยอมขยับ ทั้งที่ใจอยากพูดออกมาให้สมใจนึก จ่อยเหนื่อยใจ จนบางครั้งอยากเอาเหล็กชะแลงมางัดปากให้พูดออกมา... แต่ไม่มีแม้เพียงถ้อยคำเดียวที่หลุดออกมา บางครั้งกลับหนาวๆ ร้อนๆ เสียด้วยซ้ำ เพียงครั้งเดียวที่จ่อยได้โอกาสอยู่ใกล้ชิดสมสี เมื่อเดือนที่แล้ว ในงานแต่งงานของเสี่ยวเหยเกยฮักบ้านใต้ เขาพูดไม่ออก ได้เพียงแต่ยกมือทั้งสองข้างถูกันไปมาจนมือร้อน นานกว่าจะมีคำพูดบางคำหลุดออกมา


สมสี! อ้ายอยากหยับสวนม่อน มาซอนสวนมี่ อ้ายอยากหยับสวนหมากหมี่มาซอนป่ามาเยาได้บ่น่อ”

แล้วเสียงหัวเราะอยู่ทางด้านหลังก็ดังขึ้นทำให้เขาหน้าแดงด้วยความอาย ตั้งแต่วันนั้นมา เวลาจ่อยพบกับพ่อเผยก็รู้สึกเคอะเขินบางครั้งบางคราว ยิ่งเวลานี้ท่าทีของจ่อยก็บอกให้รู้ว่า มีความเอียงอาย และเกรงพ่อเผย จ่อยพยายามขยับก้นเข้าไปใกล้ๆ แล้วจึงเอ่ยปากพูดปนเสียงหัวเราะ


ข้อยได้ยินว่า สิมีคนจะมาขอสมสีแม่นหวะ?”

มึงเอาเรื่องนี้มาแต่ไส?”

พ่อเผยพูดเหมือนโกรธกริ้ว แต่ก็ยังอมยิ้ม เพราะคิดว่าจ่อยก็เหมือนลูกหลานว่านเครือคนใกล้เคียง จ่อยสรวลเสเฮฮาต่อแล้วพูดขึ้นมาว่า

เรื่องนี้ เขาฮู้กันทั่วบ้านทั่วเมือง แม้แต่แม่อยู่เฮือนเพิ่นก็ยังรู้”

มันบ่ทันแม่นความจริงดอก จ่อยเอ๋ย! อันหนึ่ง อี่สีมันก็บ่มีความฮู้ความหลักหยัง”

แท้ของแนวยากได้แต่คนอยู่ต่างประเทศ!” จ่อยเห็นได้ทีรีบตีลูกซี้ปะเหลาะทีเล่นทีจริง


ไม่นานนักข่าวคราวเรื่องนี้ก็แพร่สะพัดไปถึงหูหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ทั้งใกล้-ไกล สร้างความตกอกตกใจให้
กับหนุ่มๆ ที่หมายปองสมสี สำหรับจ่อยแล้ว แม้จะพูดออกมาได้ แต่ลึกๆ แล้วก็รู้สึกหวาดหวั่น...


พ่อเผยดึงมวนบุหรี่ออกจากปากแล้วเหลือบมองหน้าจ่อยพูดจริงจังขึ้นในทันที

ถ้ามันเป็นไปได้ มันก็ดี!” แล้วพ่อเผยก็มองหน้าจ่อย เหมือนกำลังเดาใจ จ่อยได้แต่ยิ้มแห้งๆ แต่ถึงอย่างไร จ่อยก็อดน้อยใจไม่ได้ เพราะเรื่องทั้งหมดเขาได้ยินมากับหูตัวเอง...


บนเรือนพ่อเผย มีผู้เฒ่าผู้แก่หลายคน เสียงพูดคุยกันเป็นไปอย่างสนุกสนาน มองอยู่ไกลๆ เห็นผู้คนวิ่งเข้าวิ่งออก จ่อยจึงหยุดเดินแล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ เพ่งสายตามองผ่านหน้าต่างเข้าไปข้างในเห็นผู้เฒ่าผู้แก่นั่งเรียงกันเป็นแถว หนึ่งนั้นก็มีลุงทิดหลอด ถัดมาเป็นคนหนุ่มศีรษะล้านอายุประมาณ 30 กว่าปี เมื่อมองจนแน่ใจก็พอเดาออกได้ว่าเป็นคนฐานะดี เขาเอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า


จะอย่างไรก็ตาม ลูกก็จะไม่ทิ้งไม่ขว้างดอก! ขอให้พ่อแม่ และสมสีไว้วางใจ!” เขาพูดแล้วก็เหลียวซ้ายแลขวา จากนั้นจึงพูดต่อ “แต่หมั้นหมายกันแล้ว ลูกก็ต้องไปอเมริกา เพื่อเฮ็ดเอกสารหนังสือเดินทางต่างๆ ถ้าแล้วจะมาแต่งเอาไปนำ”


คำพูดนั้นมันเหมือนกับว่า มีเข็มเป็นหมื่นเล่มเสียบแทงหัวใจหนุ่มบ้านนาอย่างจ่อยให้เจ็บปวด หัวใจเต้นผิดจังหวะ แกว่งไปแกว่งมา... แต่เขาต้องทนกล้ำกลืนฝืนฟังให้จบเรื่องสิ้นราวเพื่อความแน่ใจ


เดี๋ยวนี้ถือว่าตกลงมอบสินสอดของหมั้นตามประเพณีที่ตกลงกันไว้ 10,000 ดอลลาร์” ลุงทิดดอกสรุปพร้อมทั้งวางเงินลงต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง เสียงสักขีพยานยกยอชื่นชมดังขึ้น


มื้อนี้ถือว่าเป็นดองน้อย หลานคอนมีกับหลานสมสีเป็นผัวเมียกันแต่วันนี้เป็นต้นไป เมื่อหลานคอนมีกลับมาแต่อเมริกาในเดือน 12 จั่งแต่งดองใหญ่อีกบาดหนึ่ง”


หลายคนสนุกสนานกับความสมหวังของคนทั้งสองคนในบ้าน แต่คงไม่มีใครนึกออกหรอกว่า การตกลงมอบสินสอด และงานแต่งงานเล็กๆ นี้ มันเหมือนกับเอามีดมาแหวกดวงใจของใครคนหนึ่งที่กำลังเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ในขณะนี้


งานหมั้นหมายเพื่อเป็นสักขีพยานให้แก่หนุ่มสาวครั้งนี้สำเร็จลง แม้จะมีบางอย่างค้างคาในใจ แต่พ่อเผยก็โล่งใจ หลังจากงานเสร็จสิ้นลงได้ 3 วันคอนมีก็กลับอเมริกา แล้วคนที่คอยวันคอยคืนก็คงเป็นสมสี


การรอคอยเหมือนกับว่า เข็มนาฬิกาขี้เกียจไม่เต็มใจเดิน เวลาช่างไม่เป็นใจมันไม่หมุนให้เร็วขึ้นอย่างที่ใจสมสีอย่างให้เป็น บางครั้งก็ทำให้สมสีหวาดหวั่นในการที่จะนั่งเครื่องบินไปอเมริกา เพราะคิดถึงแผ่นดินที่ฝังสายรกของตนเองเอาไว้


แล้ววันเวลาที่นัดหมายก็มาถึง และมันก็ผ่านไป แต่ข่าวการกลับมาของคอนมีก็ยังเงียบหาย กาลเวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ


สมสีนั่งล้างจานปล่อยความคิดล่องลอยไปเรื่อยๆ สันดานน้ำตาของคนผิดหวังก็ไหลผ่านพวงแก้มออกมาเมื่อได้ยินเสียงแห่เจ้าบ่าวเข้าสู่พิธีแต่งงาน เธอพึมพำกับตัวเอง ‘โอย! ออดเสี่ยวฮักโตสั่งมาเป็นคนโชคดีแท้ๆ !...’


งานแต่งงานของออดเป็นงานใหญ่สำหรับคนบ้านห้วยจิก กล่าวขานกันว่า สาวออดผิวเกรียมแดดได้แต่งงานกับฝรั่งผิวขาวราวหยวกกล้วย แถมพูดภาษาลาวได้ดียังกับเป็นคนลาว งานแต่งก็ทำพิธีแบบลาว งานแต่งงานของออดจึงเป็นที่ถูกอกถูกใจคนบ้านห้วยจิก


เสียงเรียกดังมาจากทางด้านหลังทำให้สมสีรีบเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบสองเนียนแก้ม

ตาย สีเอ๋ย! แม่นหยังมาล้างถ้วยอยู่คนเดียว ไปหากินข้าวก่อนไปเสี่ยว” เจ้าสาวงานแต่งร้องทัก

ตาย เจ้าสาวคือมางามแท้!”

แล้วโตเด้! มื้อใด๋สิแต่งสาให้มันแล้ว” เจ้าสาวถาม

ม้าออกเขาพู้นละ!” สมสีตอบด้วยอาการน้อยใจ


สมสีไม่ได้พูดอะไรเยอะ นอกจากสังเกตออด และโทนี่ หนุ่มอเมริกาหน้าตาใส รูปร่างหน้าตาของทั้งสองคนไม่มีวี่แววว่าจะเข้ากันได้ แต่หัวใจที่ไม่สามารถมองเห็นได้นั้น เขาทั้งสองคงเข้ากันได้ดีจึงทำให้งานแต่งงานครั้งนี้จึงเกิดขึ้น และอีกไม่นานเท่าไหร่ทั้งสองก็จะบินไปอเมริกา สมสีได้ขอร้องให้ออด และโทนี่สืบหาคอนมีตามที่อยู่ที่เขาให้ไว้


งานแต่งงานของออด และโทนี่หนุ่มอเมริกาหน้าใสผ่านพ้นไปยิ่งทำให้สมสีคิดหนัก และรอคอยการกลับมาของคอนมีเพิ่มขึ้นกว่าเดิม เวลาล่วงเลยไปนานเทาไหร่ยิ่งทำให้หัวใจของสมสีเจ็บปวด และเป็นแผลบาดลึกกว้างขึ้นทุกที การรอคอยด้วยความเศร้าของสมสีได้ทำให้ความงามที่เคยมีติดปีกโบยบินหนีไป


แล้วเรื่องราวต่างๆ ก็กระจ่างแจ้งขึ้นเมื่อลูกชายของลุงทิดมีเดินทางมาเยี่ยมพ่อแม่และบอกให้รู้ว่า คอนมีมีเมียและลูกสามคนแล้ว ข่าวนี้ทำให้สมสีร่ำไห้จนเกือบสิ้นใจ ความอ้างว้างและสิ้นหวังเดินทางมาแทนที่ทุกอย่าง ความหวังที่เคยหวังไว้บัดนี้มันหายไปจนหมด คงมีแต่คราบน้ำตาที่หลั่งจนล้นเบ้าตาเท่านั้นที่คอยเป็นเพื่อน


จ่อยหนุ่มนาผู้ไร้ความหวังเฝ้ามองเหตุการณ์มาตลอด เขาเห็นสมสีเจ็บปวดหนักหนาสาหัสเกินกว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างสมสีจะรับได้ ทั้งหมดนั้นมันก็สร้างความเจ็บปวดให้กับจ่อยเช่นกัน ความเจ็บปวดที่จ่อยมีอาจไม่เท่ากับสิ่งที่สมสีได้รับในขณะนี้ จ่อยเดินเข้าไปหาสมสีในขณะที่สมสีกำลังนั่งร้องไห้อยู่ที่บันได แล้วก็พูดปลอบใจ


สมสี! ข้อยฮู้ และเข้าใจเหตุการณ์นี้ดี ข้อยขอแสดงความเสียใจ”

เจ้าสิมาซ้ำเติมข้อยหรือว่ามาแนวใด” สมสีรีบเช็ดน้ำตาแล้วเพ่งสายตาไปหาจ่อย

บ่แม่นดอกสมสี! ข้อยฮู้ดีว่า เจ้าเจ็บปวดที่สูด...แต่เจ้าฮู้บ่ว่า ผู้ที่เจ็บปวดบ่แม่นแต่เจ้า ข้อยกะคือกันนั้นแหละ” จ่อยทั้งพูดทั้งกระพริบตาคล้ายจะร้องไห้


เจ้าอย่าเว้าแนวนั้น ข้อยบ่แม่นคนวิเศษหยัง และเจ้าก็บ่ได้ฮักข้อย”

ข้อยฮักเจ้ามาแต่โดนแล้ว! เจ้ายังมีค่าสำหรับข้อย บ่แม่นเจ้าบ่ดี ข้อยเข้าใจ”

มื้อนี้เจ้าเว้าแปลกหนอ ปานนี้เจ้าจั่งมาเว้าแนวนี้ เจ้าจะให้ข้อยเชื่อว่าเจ้าฮักข้อยในมื้อหนึ่งวันเดียว มันเป็นไปบ่ได้ หัวใจข้อยบ่สมควรเลยที่เจ้าจะฮัก”

สี! อย่าโทษตัวเองเลย! เจ้ายังมีสิทธิเลือกหนทางเดินบ่แม่นหวะ”


จ่อยทั้งพูดทั้งขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆ กับสมสี แล้วเล่าความในใจทุกอย่างให้สมสีฟัง โอกาสดีๆ แบบนี้สำหรับจ่อยไม่ได้มีมากนัก ถ้าหากเขาปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไปอย่างไร้ค่าก็หมายความว่า จ่อยไม่ได้มีความพยายามที่จะทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ เพื่อให้สมสีได้เข้าใจ และมีความเชื่อมั่น...


แล้วในที่สุด ฟ้าก็บันดาลให้จ่อยสมประสงค์ด้วยการทำให้หัวใจของคนทั้งสองเชื่อมต่อกัน รอยด่างราคีได้ถูกชำระล้างจนหมด สมสีจึงกลับมามีชีวิตชีวาเช่นเดิม ในที่สุดหัวใจสองดวงก็ถักทอวิมานที่แปรเปลี่ยนจากความฝันมาเป็นความจริง ก่อนจ่อยจะเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ งานแต่งงานที่ฆ่าควาย 2-3 ตัว เป็นงานแต่งงานที่ใหญ่สมควรสำหรับคนบ้านห้วยจิกจึงเริ่มขึ้น ท่ามกลางความยินดีของญาติพี่น้องทั้งใกล้-ไกล เพื่อเป็นสักขีพยานให้แก่สองหัวใจได้ครองรักปักแน่นเป็นทองแผ่นเดียวกัน ห้องหอที่อบอุ่นใต้แสงเดือนที่ฉายแสงรอดเข้ามาพอเป็นเงาประสมกับสามลมเย็นที่พัดโชยมาแผ่วเบาแต่ทางทิศตะวันออกทำให้ทั้งสองเกาะแขนกันเดินเข้าเรือนหอด้วยหัวใจที่ตื้นตัน และมีความสุข


บล็อกของ แสงพูไช อินทะวีคำ

แสงพูไช อินทะวีคำ
จริงๆแล้วผมพยายามถอดความจากกวีที่เป็นสำนวนภาษาลาวมาเป็นคำไทย.... แต่คงไม่ไพเราะเหมือนคำลาวที่ผมแต่งไว้เพราะการเขียนภาษาไทยไม่ดีพอ..... อย่างไรก็ตาม ผมมีความตั้งใจมากเพื่อการสื่อความเข้าใจทั้งสองด้านให้กลายเป็นพลังแห่งความรักของสองชาติลาวไทย  ผมมีความต้องการสูงสุดให้คนลาวและไทยมีความเข้าใจกันมากขื้น  ผมเข้าใจว่าในโลกใบนี้หากไม่มีคำว่า “ศัตรู” คงดีที่สุดพี่สัญญากับน้องว่าจะเปลี่ยนพี่จะเพียรแต่งแต้มแปลงเรือนผมผมไม่แดงเหมือนฝรั่งหลอกพี่ว่าแต่มาเจอเธอยิ่งกว่าเดีมผมก็แดงแทงใจน้องหูก็บ๋องมีต่างช่างเปลียนไปหูก็บ๋อง ผมก็แดงมันแทงใจก็นั้นไง…
แสงพูไช อินทะวีคำ
วันนี้ผมมีของฝากจากเมืองลาว มาให้พี่น้องได้อ่านกัน สิ่งที่ผมจะนำมาให้อ่านในประชาไทเป็นบทกลอนที่ผมแต่งขื้นเมื่อปี 2003 ระยะนั้นผมมองเห็นอะไรสักอย่างหนิ่งที่มันแฝงตัวอยู่กับสังคมลาว บางทีสิ่งที่พูดอาจไม่ใช่เป็นสิ่งที่เกีดขื้นในเมืองลาวเพียงอย่างเดียว......แต่มันอาจเป็นสิ่งที่เกีดขื้นในทั่วโลกก็เป็นได้ แต่ในที่นี้ผมขอใช้เป็นสำนวนภาษาลาว ด้านหนิ่งสมบูรณ์ด้วย  มูนมากเงินคำด้านหนิ่งต่ำเพียงดิน  คอบความจนไฮ้(ไร้)เปลียบเหมือนไฟลามไหม้  มะไลกันบ่ดับมอด   เป็นแล้วสองส้นเตาะต่อยดั้น  ครือพ้าบั่นขวานยามเมื่องกางต่อน้ำ  พัดขาดเป็นวังกางต่อฟังคำหวาน …
แสงพูไช อินทะวีคำ
ที่ ESCUDERO, ประเทศ Philippines“ไปทานข้าวกันเถอะ!”..............เธอเป็นคนค่อนข้างอ้วนท้วน  ยักไหล่เบาๆ...ปล่อยคำทักทายเหมือนกับเธอมีอำนาจสูงสุด ใช่จริงด้วยเพราะเวลานี้มันเลยเที่ยงไปแล้ว หลายคนท้องร้อง คอยให้ผู้รับผิดชอบงานสัมมนาบอกให้หยุดพักได้“วันนี้ไปรับประทานอาหารในสถานที่แปลกๆ กันนะ”....เธอร้องบอก ขณะที่ทุกคนเร่งเดินออกจากห้องประชุมมุ่งหน้าไปที่ร้านอาหาร......“เขาบอกว่าจะทานข้าวบนผิวน้ำ!”....หนุ่มฟิลิปปินส์คนหนึ่งเดินเข้ามาพูดกับผม“อ้าว! จะไปทานได้ไงล๋ะ?”“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”ผมมองหน้าเขา แล้วหนุ่มคนนั้นก็มองหน้าผม ในที่สุดเราทั้งสองก็หัวเราะ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรอีก…
แสงพูไช อินทะวีคำ
หยุดการพูดถึงวรรณคดีปฏิวัติไว้สักระยะหนึ่งก่อน แล้วค่อยพูดกันต่อไป...หันมาพูดเรื่องวัฒนธรรมให้อิ่มใจสักนิดหนึ่ง.........เพื่อนฝั่งเชียงของบอกผมว่า อยากอ่านงานเขียนเกี่ยวกับเรื่องวัฒนธรรมลาว ผมก็นึกจะเขียนตามนั้น แต่พอเอาเข้าจริงๆ มันไม่ใช่อย่างที่นึกเอาไว้ เพราะวัฒนธรรมชุมชนในบางแห่งเลือนหายไปอย่างมาก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนก็คงเป็นพิธีกรรมขอน้ำฟ้าน้ำฝนของชุมชนในชนบท   เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ผมก็คิดไปว่า เราจะพูดเรื่องนี้ให้ใครฟัง?  จะพูดให้ตัวเราเองฟังก็อายตัวเอง เพราะเหตุการณ์มันไม่ใช่เป็นไปอย่างเดิมแล้วผมขอพูดถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างทางพิธีกรรมดีกว่า…
แสงพูไช อินทะวีคำ
วรรณคดีปฏิวัติที่กล่าวถึงมากที่สุดก็คงจะเป็นปรปักษ์สองด้าน คือ การปฏิวัติและระบบการปกครองเก่า การสะท้อนให้เราได้เห็นความอยุติธรรม นักประพันธ์ปฏิวัติสะท้อนให้เห็นภาพในระบบการปกครองเก่าได้ชัดเจน ว่า ระบบการปกครองเก่า เวลาใดก็เป็นปรปักษ์อย่างที่สุดต่อกับการปฏิวัติ ความอยุติธรรมส่วนมากก็คงเกิดขื้น บนแผ่นดินที่นอนอยู่ใต้แห่งการควบคุมของระบบการปกครองของระบบเก่าที่เวลาใดก็เป็นศัตรูสุดขีดต่อการปฏิวัติลาว ในบทประพันธ์สะท้อนให้เห็นมากที่สุดก็คงเป็น หนุ่มสาวพร้อมเพรียงกันหลบหนีจากแผ่นดินเกิดของเขา ไปหาการปฏิวัติวรรณคดีปฏิวัติที่พบเห็นส่วนมาก นักประพันธ์ชอบใช้ในรูปของการบันทึกเป็นส่วนใหญ่…
แสงพูไช อินทะวีคำ
มีหลายอย่างที่สะท้อนออกมาให้เราได้เห็นและคิด เมื่อมองเห็นภาพโดยรวมที่ว่า- -ทำไมนักเขียนถึงกำเนิดขึ้นในระยะที่ประเทศชาติทำการปฏิวัติชาติประชาธิปไตย? นักเขียนปฏิวัติมีจุดยืนของตัวเองอย่างไร เพื่อเขียนบทประพันธ์ของตน? นักประพันธ์ปฏิวัติมองเห็นข้อบกพร่องอะไรบ้างของระบบล่าอาณานิคมแบบเก่าและใหม่?  พวกเขาใช้หลักการประพันธ์อย่างไรเพื่อให้คนอ่านได้มองเห็นความสมจริงของเรื่อง?  นักประพันธ์ปฏิวัติมีความต้องการให้เข้าใจการปฏิวัติอย่างไรและเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งต่อระบบจักรววตินิยม? คำถามเหล่านี้ตั้งขึ้นเพื่อการหาคำตอบว่า นักประพันธ์มีจุดยืนของตนอย่างไรเพื่อการเขียน!…
แสงพูไช อินทะวีคำ
ในประเทศลาว หากเอ่ยถึงวรรณคดีปฏิวัติแล้ว หลายคนก็เข้าใจทันทีที่เอ่ยถึง ว่าเป็นบทวรรณคดีที่แต่งขึ้นในยุคที่ทำการปฏิวัติชาติประชาธิปไตย ซึ่งเป็นระยะที่ประเทศชาติลาวตกเป็นอาณานิคมของจักรพรรดิเก่าและใหม่  ระยะนี้วรรณคดีเกิดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์อยู่อย่างหนึ่ง คือ เป็นเครื่องมือรับใช้ให้แก่การปฏิวัติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปลดปล่อยประเทศชาติและประชาชนออกจากการกดขี่ของจักรวรรดินิยม เพื่อให้ชาติและประชาชนมีเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตยประชาชนเมื่อเป็นเช่นนั้น วรรณคดีปฏิวัติระยะนี้จึงมีความสำคัญมากในการประกอบส่วนเข้าในการโฆษณาเผยแพร่ผลงาน และการชนะสงครามของการปฏิวัติ,…