พอเข้าบ้านปุ๊บ เสียงแปลกประหลาดก็วิ่งเข้าสู่รูหูทันที เสียงแบบนี้ข้าพเจ้าไม่คุ้นหูเอาเสียเลย และมันก็ไม่เคยเกิดขึ้นกับภรรยาสุดที่รักของข้าพเจ้าสักครั้ง เธอนั่งร้องไห้น้ำตาไหลพราก น้ำมูกย้อยเหมือนได้รับความระทมขมขื่นอันหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ข้าพเจ้าสืบเท้าเข้าไปหาเธอ เพื่อถามไถ่เรื่องราวต่างๆ แต่ข้าพเจ้าต้องหยุดชะงักอยู่กับที่ เมื่อเธอชี้หน้าทำตาขวางเหมือนจะบดขยี้ข้าพเจ้าให้แหลกคามือ คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของเธอไม่ต่างอะไรกับน้ำที่ไหลออกมาจากรางรินรับน้ำฝน ข้าพเจ้าฟังจนเกือบไม่ทัน เธอพูดว่า
''เจ้ามันบ้า! บ้าแท้ๆ! เจ้าบ่มีเวียกบ่? เดี๋ยวนี่คำเว้าของชาวบ้านแล่นเข้าหูข้อยจนล้นออกมาแล้ว ถ้ามีตะกร้าใส่บ่ฮู้ว่าสิได้หลายปานใด๋ เจ้าฮู้บ่? บ่มีแพทย์หมอสามารถปัวได้ บ้าแท้ๆ" ว่าแล้วเธอเริ่มร้องไห้เสียงโหยหวนขึ้น
ข้าพเจ้าได้แต่ยืนตัวแข็ง แล้วก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาสุดแรง ข้าพเจ้ารีบเอามือปิดปากตัวเองทั้งคิดไปว่า
''บ้าแท้ๆ ข้อยบ้าอี่หลีบ่''
ก็อย่างว่านั้นแหละ มีหลายครั้งที่ข้าพเจ้าเดินไปตามถนน ข้าพเจ้ามักเอาถุงพลาสติกขนาดใหญ่มาสะพายบนบ่า เดินเรื่อยเปื่อยไปมา ข้าพเจ้าชอบเก็บเศษกระดาษ และถุงพลาสติกที่ตกเรี่ยราดอยู่ตามริมถนนยัดใส่ถุงใบเขื่องจนคับแน่น เมื่อเต็มแล้วเอาไปเทใส่ถังขยะที่ตั้งอยู่ตามริมถนน ข้าพเจ้าสอดส่ายสายตาไปมา เพราะมันเพลินตาดี รถราพาหนะแล่นไปมาขวักไขว่ไม่ได้ขาด ดูไปดูมารู้สึกหน้ามืดตามัว ผู้โดยสารบนรถมองลงมายังข้าพเจ้าแล้วก็ยิ้ม พอข้าพเจ้ายิ้มตอบก็ได้ยินเสียงตอบสวนกลับมาทันควัน ‘คนบ้า' ถึงตอนนี้ข้าพเจ้าจึงรู้ว่า ‘ตัวเองเป็นบ้า' ข้าพเจ้าพยายามสำรวจตัวเอง แล้วก็พบว่าเสื้อผ้ารุงรังเปื้อนเปรอะไปด้วยฝุ่น พอสิ้นเสียงหัวเราะของผู้คนเหล่านั้น ถุงโอเลี้ยงที่ดูดน้ำหวานหมดแล้ว และอื่นๆ ก็โดนขว้างลงมาจากหลังคารถ
จะอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าได้พยายามปิดปากไม่ถกเถียงภรรยาของข้าพเจ้ากลับ เพราะข้าพเจ้าเข้าใจว่า ถ้าขืนเถียงต่อไปสิ่งใดจะเกิดขึ้น ในมือของภรรยาของข้าพเจ้ามีมีดพร้าหนึ่งอัน เธอเดินดุ่ม ๆ เข้ามาหาข้าพเจ้าแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า
''เจ้ามันบ้าแท้ๆ เจ้าอยากตายบ้อหรืออยากเป็นคน ข้อยเหลืออดเหลือทนแล้ว ไปทางใดก็ได้ยินเขาเว้าเรื่องบ้าๆ บอๆ ของเจ้า''
ข้าพเจ้าพยายามห้ามตัวเอง โดยการพยักหน้าเห็นดีเห็นงามตามคำพูดที่เธอพูดออกมารวมทั้งยิ้มไปพร้อมกัน ในที่สุดภรรยาของข้าพเจ้าเธอก็สิ้นฤทธิ์กลับมาที่เก้าอี้สงบสติอารมณ์ไปพักใหญ่ ร่วม 20 นาทีเห็นจะได้ ข้าพเจ้าหันไปหาเธอ เพื่ออยากจะพูดในสิ่งที่อยากจะพูด แต่ต้องหุบปาก เพราะเธอเปิดปากพูดขึ้นก่อน น้ำเสียงตอนนี้ต่างจากวินาทีที่ผ่านมา ความดังของเสียงเบาลงพร้อมกันนั้นใบหน้าก็แสดงความอ่อนโยนลง แต่ก็ยังเหมือนคนผิดหวัง
"ข้อยว่าหลายคนเว้าถูก เขาว่าเจ้าบ้า ถุงยางข้างฮิมถนนก็ไปหาเก็บ เขาถิ้มลงใสเจ้ากะเก็บ บ้าแท้ๆ ถ้าเซาได้กะดี ข้อยอายชาวบ้านชาวเมืองเพิ่น คนอื่นผิดเถียงกัน เจ้ากะเข้าไปแส่ทั้งๆ ที่มันบ่แม่นเรื่องของเจ้า''
เมื่อข้าพเจ้าไม่ขยับปากพูด ไม่ออกเสียง ภรรยาของข้าพเจ้าก็หยุดพูด และทุกสิ่งก็เงียบงัน ข้าพเจ้าไม่ได้ออกไปไหนเลยตลอด 5 วัน เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในบ้าน ตลอด 5 วันที่ข้าพเจ้าอยู่แต่ในบ้าน ภาพเหตุการณ์ต่างๆ มันก็วนเวียนเข้ามาในจิตสำนึกเบื้องลึกของข้าพเจ้า ภาพผู้คนท่องเที่ยวไปตามถนน บางคนก็ถือถุงโอเลี้ยง บางคนก็เดินกินขนม บางคนก็กินผลไม้ ทุกคนต่างกินแล้วทิ้ง เศษสิ่งเหลือต่างๆ ก็ถูกทิ้งตามริมถนนที่มีหญ้าสีเขียวกำลังขึ้นมาใหม่ และมีวัว ควายกำลังเลาะเล็มหญ้าอย่างอร่อยลิ้น พวกมันกินหญ้าอย่างมีความสุข โดยไม่ได้สนใจว่าใครทำอะไร เพราะหญ้าริมถนนบันดาลให้มันเป็นสุขอย่างสุดๆ
หลังจากภรรยาของข้าพเจ้าให้กัณฑ์เทศน์กัณฑ์ใหญ่แล้ว ข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง เพราะคนบ้าอย่างข้าพเจ้าก็ไม่ต้องการให้ครอบครัวต้องมาแตกแยกเพราะเรื่องอย่างนี้ และข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ในเมื่อคนข้างกายก็มองข้าพเจ้าว่าเป็นคนบ้า ซึ่งมันเป็นความบ้าในเส้นทางเดียว แต่มีสองเป้าหมาย ข้าพเจ้ากลัวเพียงว่า เมื่อเลิกบ้าแล้วความบ้าของข้าพเจ้าจะทวีคูณขึ้นเท่านั้น
วันนี้ ข้าพเจ้าออกจากบ้านผิดแผกจากครั้งก่อน ข้าพเจ้าไม่แต่งตัวโสโครก ไม่สะพายถุงพลาสติกใบใหญ่ และไม่เก็บเศษขยะตามถนนหนทางบ้านช่อง ข้าพเจ้าแต่งตัวเยี่ยงสุภาพสาธารณะชนทั่วไปขี่รถจักรยานผ่านไปในแต่ละที่ และก็มองเห็นสิ่งต่างๆ ตามที่เคยเห็นมาแล้ว ในที่สุดข้าพเจ้าก็มาหยุดอยู่ร้านกาแฟ ตรงที่มีคนเคยเอาโอเลี้ยงให้ข้าพเจ้าในฐานะคนบ้าๆ บอๆ ครั้งนี้ เจ้าของร้านไม่ได้เอาให้ข้าพเจ้ากินเหมือนตอนเป็นบ้า แต่ข้าพเจ้าต้องซื้อกิน และไม่ได้กินใส่ถุง แต่กินใส่แก้วอย่างดี ข้าพเจ้านั่งกินโอเลี้ยงเหมือนคนอื่นๆ และสังเกตไปรอบๆ ในขณะเดียวกันก็มีสายลมพัดผ่านมาค่อนข้างแรงพอสมควร ถุงพลาสติกปลิวมาจากไหนไม่มีใครรู้ แล้วมันก็ปลิวไปถูกหน้าผู้ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างซ้ายของข้าพเจ้า มันไม่ยุติธรรมเท่าใดนักที่ถุงพลาสติกปลิวมาถูกหน้าผู้ชายคนนั้น แต่จะทำอย่างไร ในเมื่อถุงพลาสติกมันไม่มีวิญญาณ ชายคนนั้นปัดถุงพลาสติกออกจากใบหน้าพร้อมทั้งบ่นออกมาให้ได้ยิน
''ห่ากินหัวมึงเอ๊ย! ถุงยางหนอถุงยาง!''
''เป็นแนวใดอ้าย! โอ๋ยจั่งแม่นชาติหนอถุงพลาสติกนี่กะดาย"
''เก็บกันแด่พวกเจ้ากะดายขยะนั่น!" ชายวัยกลางคนพูดขึ้นพร้อมทำสีหน้าให้เป็นปกติ
''มันบ่ไหวดอกอ้ายเอ๋ย! จั่งแม่นมันมาแต่ไสหลวงหลายขนาด'' เจ้าของร้านตอบ
ข้าพเจ้านั่งฟังแขกผู้มาใช้บริการสนทนากับเจ้าของร้าน จนโอเลี้ยงแก้วแรกเหือดไป แล้วข้าพเจ้าก็สั่งแก้วใหม่ หลังจากเอาโอเลี้ยงแก้วใหม่มาให้ข้าพเจ้าแล้ว เจ้าของร้านก็พาสนทนาต่ออีกครั้ง
''เมื่อวานซืนนี้ เขาพากันเว้ากันว่า วัวลุงดีตายหย้อนมันกินถุงพลาสติก''
''อ้าว! เป็นหยังจั่งว่ามันตายหย้อนถุงพลาสติก''
''อ้าว! ถ้าบ่ตายหย้อนถุงพลาสติกสิหย้อนอี่หยัง? ปาดท้องออกมามีถุงพลาสติกสองสามถุง''
การสนทนาเงียบลงพักใหญ่ โอเลี้ยงแก้วที่สองพร่องไปครึ่งแก้ว ชายวัยกลางคนจึงพูดขึ้นมาว่า
''กะว่านั้นละ เขาเฮ็ดถังให้ใส่กะบ่พากันใส่ ถิ้มไปทั่วทีป''
''แต่ว่าสิบมื้อก่อนนี้ดีแด่ เพราะมีคนบ้าคนหนึ่งมาเลาะหาเก็บถุงไปถิ้มใส่ถังขยะ'' เจ้าของร้านชี้แจง
''เดี๋ยวนี้มันไปใสบ่เห็นมา'' มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านขวาของข้าพเจ้า
''หรือว่ามันเซาบ้าแล้วบ่ฮู้'' เจ้าของร้านออกความเห็น
ข้าพเจ้าดื่มโอเลี้ยงอึกสุดท้าย แล้วลุกเดินไปหา และนึกในใจอยู่อย่างหนึ่งว่า ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ข้าพเจ้าอาจจะกลับมาเป็นคนบ้าอีก
''เจ้ามันบ้า! บ้าแท้ๆ! เจ้าบ่มีเวียกบ่? เดี๋ยวนี่คำเว้าของชาวบ้านแล่นเข้าหูข้อยจนล้นออกมาแล้ว ถ้ามีตะกร้าใส่บ่ฮู้ว่าสิได้หลายปานใด๋ เจ้าฮู้บ่? บ่มีแพทย์หมอสามารถปัวได้ บ้าแท้ๆ" ว่าแล้วเธอเริ่มร้องไห้เสียงโหยหวนขึ้น
ข้าพเจ้าได้แต่ยืนตัวแข็ง แล้วก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาสุดแรง ข้าพเจ้ารีบเอามือปิดปากตัวเองทั้งคิดไปว่า
''บ้าแท้ๆ ข้อยบ้าอี่หลีบ่''
ก็อย่างว่านั้นแหละ มีหลายครั้งที่ข้าพเจ้าเดินไปตามถนน ข้าพเจ้ามักเอาถุงพลาสติกขนาดใหญ่มาสะพายบนบ่า เดินเรื่อยเปื่อยไปมา ข้าพเจ้าชอบเก็บเศษกระดาษ และถุงพลาสติกที่ตกเรี่ยราดอยู่ตามริมถนนยัดใส่ถุงใบเขื่องจนคับแน่น เมื่อเต็มแล้วเอาไปเทใส่ถังขยะที่ตั้งอยู่ตามริมถนน ข้าพเจ้าสอดส่ายสายตาไปมา เพราะมันเพลินตาดี รถราพาหนะแล่นไปมาขวักไขว่ไม่ได้ขาด ดูไปดูมารู้สึกหน้ามืดตามัว ผู้โดยสารบนรถมองลงมายังข้าพเจ้าแล้วก็ยิ้ม พอข้าพเจ้ายิ้มตอบก็ได้ยินเสียงตอบสวนกลับมาทันควัน ‘คนบ้า' ถึงตอนนี้ข้าพเจ้าจึงรู้ว่า ‘ตัวเองเป็นบ้า' ข้าพเจ้าพยายามสำรวจตัวเอง แล้วก็พบว่าเสื้อผ้ารุงรังเปื้อนเปรอะไปด้วยฝุ่น พอสิ้นเสียงหัวเราะของผู้คนเหล่านั้น ถุงโอเลี้ยงที่ดูดน้ำหวานหมดแล้ว และอื่นๆ ก็โดนขว้างลงมาจากหลังคารถ
จะอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าได้พยายามปิดปากไม่ถกเถียงภรรยาของข้าพเจ้ากลับ เพราะข้าพเจ้าเข้าใจว่า ถ้าขืนเถียงต่อไปสิ่งใดจะเกิดขึ้น ในมือของภรรยาของข้าพเจ้ามีมีดพร้าหนึ่งอัน เธอเดินดุ่ม ๆ เข้ามาหาข้าพเจ้าแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า
''เจ้ามันบ้าแท้ๆ เจ้าอยากตายบ้อหรืออยากเป็นคน ข้อยเหลืออดเหลือทนแล้ว ไปทางใดก็ได้ยินเขาเว้าเรื่องบ้าๆ บอๆ ของเจ้า''
ข้าพเจ้าพยายามห้ามตัวเอง โดยการพยักหน้าเห็นดีเห็นงามตามคำพูดที่เธอพูดออกมารวมทั้งยิ้มไปพร้อมกัน ในที่สุดภรรยาของข้าพเจ้าเธอก็สิ้นฤทธิ์กลับมาที่เก้าอี้สงบสติอารมณ์ไปพักใหญ่ ร่วม 20 นาทีเห็นจะได้ ข้าพเจ้าหันไปหาเธอ เพื่ออยากจะพูดในสิ่งที่อยากจะพูด แต่ต้องหุบปาก เพราะเธอเปิดปากพูดขึ้นก่อน น้ำเสียงตอนนี้ต่างจากวินาทีที่ผ่านมา ความดังของเสียงเบาลงพร้อมกันนั้นใบหน้าก็แสดงความอ่อนโยนลง แต่ก็ยังเหมือนคนผิดหวัง
"ข้อยว่าหลายคนเว้าถูก เขาว่าเจ้าบ้า ถุงยางข้างฮิมถนนก็ไปหาเก็บ เขาถิ้มลงใสเจ้ากะเก็บ บ้าแท้ๆ ถ้าเซาได้กะดี ข้อยอายชาวบ้านชาวเมืองเพิ่น คนอื่นผิดเถียงกัน เจ้ากะเข้าไปแส่ทั้งๆ ที่มันบ่แม่นเรื่องของเจ้า''
เมื่อข้าพเจ้าไม่ขยับปากพูด ไม่ออกเสียง ภรรยาของข้าพเจ้าก็หยุดพูด และทุกสิ่งก็เงียบงัน ข้าพเจ้าไม่ได้ออกไปไหนเลยตลอด 5 วัน เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในบ้าน ตลอด 5 วันที่ข้าพเจ้าอยู่แต่ในบ้าน ภาพเหตุการณ์ต่างๆ มันก็วนเวียนเข้ามาในจิตสำนึกเบื้องลึกของข้าพเจ้า ภาพผู้คนท่องเที่ยวไปตามถนน บางคนก็ถือถุงโอเลี้ยง บางคนก็เดินกินขนม บางคนก็กินผลไม้ ทุกคนต่างกินแล้วทิ้ง เศษสิ่งเหลือต่างๆ ก็ถูกทิ้งตามริมถนนที่มีหญ้าสีเขียวกำลังขึ้นมาใหม่ และมีวัว ควายกำลังเลาะเล็มหญ้าอย่างอร่อยลิ้น พวกมันกินหญ้าอย่างมีความสุข โดยไม่ได้สนใจว่าใครทำอะไร เพราะหญ้าริมถนนบันดาลให้มันเป็นสุขอย่างสุดๆ
หลังจากภรรยาของข้าพเจ้าให้กัณฑ์เทศน์กัณฑ์ใหญ่แล้ว ข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง เพราะคนบ้าอย่างข้าพเจ้าก็ไม่ต้องการให้ครอบครัวต้องมาแตกแยกเพราะเรื่องอย่างนี้ และข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ในเมื่อคนข้างกายก็มองข้าพเจ้าว่าเป็นคนบ้า ซึ่งมันเป็นความบ้าในเส้นทางเดียว แต่มีสองเป้าหมาย ข้าพเจ้ากลัวเพียงว่า เมื่อเลิกบ้าแล้วความบ้าของข้าพเจ้าจะทวีคูณขึ้นเท่านั้น
วันนี้ ข้าพเจ้าออกจากบ้านผิดแผกจากครั้งก่อน ข้าพเจ้าไม่แต่งตัวโสโครก ไม่สะพายถุงพลาสติกใบใหญ่ และไม่เก็บเศษขยะตามถนนหนทางบ้านช่อง ข้าพเจ้าแต่งตัวเยี่ยงสุภาพสาธารณะชนทั่วไปขี่รถจักรยานผ่านไปในแต่ละที่ และก็มองเห็นสิ่งต่างๆ ตามที่เคยเห็นมาแล้ว ในที่สุดข้าพเจ้าก็มาหยุดอยู่ร้านกาแฟ ตรงที่มีคนเคยเอาโอเลี้ยงให้ข้าพเจ้าในฐานะคนบ้าๆ บอๆ ครั้งนี้ เจ้าของร้านไม่ได้เอาให้ข้าพเจ้ากินเหมือนตอนเป็นบ้า แต่ข้าพเจ้าต้องซื้อกิน และไม่ได้กินใส่ถุง แต่กินใส่แก้วอย่างดี ข้าพเจ้านั่งกินโอเลี้ยงเหมือนคนอื่นๆ และสังเกตไปรอบๆ ในขณะเดียวกันก็มีสายลมพัดผ่านมาค่อนข้างแรงพอสมควร ถุงพลาสติกปลิวมาจากไหนไม่มีใครรู้ แล้วมันก็ปลิวไปถูกหน้าผู้ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างซ้ายของข้าพเจ้า มันไม่ยุติธรรมเท่าใดนักที่ถุงพลาสติกปลิวมาถูกหน้าผู้ชายคนนั้น แต่จะทำอย่างไร ในเมื่อถุงพลาสติกมันไม่มีวิญญาณ ชายคนนั้นปัดถุงพลาสติกออกจากใบหน้าพร้อมทั้งบ่นออกมาให้ได้ยิน
''ห่ากินหัวมึงเอ๊ย! ถุงยางหนอถุงยาง!''
''เป็นแนวใดอ้าย! โอ๋ยจั่งแม่นชาติหนอถุงพลาสติกนี่กะดาย"
''เก็บกันแด่พวกเจ้ากะดายขยะนั่น!" ชายวัยกลางคนพูดขึ้นพร้อมทำสีหน้าให้เป็นปกติ
''มันบ่ไหวดอกอ้ายเอ๋ย! จั่งแม่นมันมาแต่ไสหลวงหลายขนาด'' เจ้าของร้านตอบ
ข้าพเจ้านั่งฟังแขกผู้มาใช้บริการสนทนากับเจ้าของร้าน จนโอเลี้ยงแก้วแรกเหือดไป แล้วข้าพเจ้าก็สั่งแก้วใหม่ หลังจากเอาโอเลี้ยงแก้วใหม่มาให้ข้าพเจ้าแล้ว เจ้าของร้านก็พาสนทนาต่ออีกครั้ง
''เมื่อวานซืนนี้ เขาพากันเว้ากันว่า วัวลุงดีตายหย้อนมันกินถุงพลาสติก''
''อ้าว! เป็นหยังจั่งว่ามันตายหย้อนถุงพลาสติก''
''อ้าว! ถ้าบ่ตายหย้อนถุงพลาสติกสิหย้อนอี่หยัง? ปาดท้องออกมามีถุงพลาสติกสองสามถุง''
การสนทนาเงียบลงพักใหญ่ โอเลี้ยงแก้วที่สองพร่องไปครึ่งแก้ว ชายวัยกลางคนจึงพูดขึ้นมาว่า
''กะว่านั้นละ เขาเฮ็ดถังให้ใส่กะบ่พากันใส่ ถิ้มไปทั่วทีป''
''แต่ว่าสิบมื้อก่อนนี้ดีแด่ เพราะมีคนบ้าคนหนึ่งมาเลาะหาเก็บถุงไปถิ้มใส่ถังขยะ'' เจ้าของร้านชี้แจง
''เดี๋ยวนี้มันไปใสบ่เห็นมา'' มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านขวาของข้าพเจ้า
''หรือว่ามันเซาบ้าแล้วบ่ฮู้'' เจ้าของร้านออกความเห็น
ข้าพเจ้าดื่มโอเลี้ยงอึกสุดท้าย แล้วลุกเดินไปหา และนึกในใจอยู่อย่างหนึ่งว่า ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ข้าพเจ้าอาจจะกลับมาเป็นคนบ้าอีก
บล็อกของ แสงพูไช อินทะวีคำ
แสงพูไช อินทะวีคำ
น้องกล่าวว่าสะพานข้ามของโยงใจรัก
เชื่อมสัมพันธ์แน่นหนักสองฝั่งของ
แต่อ้ายว่าสะพานขัวนั้นมันเชื่อมโยง
สองฝั่งของของน้องพี่คู่เคียงกัน
แสงพูไช อินทะวีคำ
สุขลุลาภได้.....................ชัยประเสริฐยอถืง
เลิงๆเบยบานสุข...............ทุกข์อย่าเวินมาต้อง
ความหมองเหยหายเสี้ยง....เหลือเพียงความซ้อยชื่น
หมื่นปีสุข์อยู่สร้าง..............ปางฟ้าสหง่างาม....ท่านเอ๋ย
แสงพูไช อินทะวีคำ
คนสมัยนี้ ช่างแปลกดี เปลี่ยนแปลงไป
ลบทิ้งได้ ความดีงาม ที่มีอยู่
ความดีแท้ เขาสร้างสรรค์ ครารุ่นปู่
ไม่เหลืออยู่ คนรุ่นนี้ ลบทิ้งไป
แสงพูไช อินทะวีคำ
เดือนสว่างพรางแพรวแล้วแก้วตา คราตามองยังไม่ชัดดูมืดมัว ไม่ใช่ว่ากลัวผีคืนเดือนดับเป็นสลัว เพราะตามัวหรือมั้ยรู้จริงดูขรึม
แสงพูไช อินทะวีคำ
แสงพูไชย อินทะวีคำ เขียนสุมาตร ภูลายยาว แปล จำปีพยายามปั่นจักรยานเก่าๆ คู่ชีพของตนไปตามถนนเรื่อยๆ ทั้งวันตามคำแนะนำของป้าจำเริญ ที่หลายคนขนานนามให้แก่ว่า ‘คุณป้าแสนรู้' เพราะคนจะขายบ้านอยู่ตรงไหน ถนนใด ซอยใด คุ้มใดในขอบเขตเมืองเวียงจัน ไม่เป็นอันหลุดรอดสายตาป้าไปได้ จำปีทั้งปั่นทั้งยกมือขึ้นเอาชายเสื้อเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาราวกับน้ำจากรางริน เพราะความร้อนของอากาศเมืองเวียงจันในช่วงเดือน ๕ ของปี ๒๐๐๓
แสงพูไช อินทะวีคำ
เขียน: แสงพูไชย อินทะวีคำ แปล: สุมาตร ภูลายยาว แม้จะบิดเร่งคันเร่งเท่าไหร่ รถจักรยานยนต์ยังวิ่งช้าเหมือนเต่าคลาน ที่เป็นอย่างนี้คงเพราะความเร่งรีบอย่างไปถึงไปรษณีย์ให้เร็ว เพราะชั่วโมงทำงานใกล้มาถึง มือบิดคันเร่งพอๆ กับหัวใจที่ร้อนรนกลัวไม่ทันเวลา สายตาจึงต้องเพ่งมองไปตามถนนเพื่อหลบรถคันแล้วคันเล่าก่อนจะเลี้ยวซ้ายเข้าไปสู่ไปรษณีย์กลาง
แสงพูไช อินทะวีคำ
พระอาทิตย์ยามใกล้ค่ำสาดแสงอ่อนๆ ลอดผ่านปลายไม้ตามถนนล้านช้าง บนถนนรถยังคงแน่นขนัดวิ่งสวนกันไปมา ข้าพเจ้าประคับประคองร่างกาย ค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่าช้าๆ สายตามองสองส่องหาเศษขยะ ปากก็กลืนน้ำลายลงคอ สมองก็เริ่มคิดว่า ในบรรดาถังขยะเหล่านั้นจะมีสิ่งใดที่พอทำให้ข้าพเจ้ามีชีวิตรอดต่อไปอีกหนึ่งวัน
แสงพูไช อินทะวีคำ
ที่ร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง บนริมถนนล้านช้าง เช้าเช้าอย่างนี้เป็นเวลาที่ผู้คนกำลังเดินเข้าเดินออกเพื่อที่จะมาลิ้มรสกาแฟปากช่องที่ขึ้นชื่อที่สุด ชายหนุ่มชื่อต่ายเดินไปในร้านกาแฟ แกมองซ้ายมองขวา ก่อนที่จะนั่งลง อีกไม่ถืงสามนาที ก็มีหญิงสาวอายุประมาณยี่สิบกว่านิดๆ เดินเข้ามานั่งลงม้านั่งด้านตรงกันข้าม เสียงสนทนาแว่วๆ เข้าหู "นึกว่าพี่จะไม่มา""ไม่มาได้ไง?""ขอบคุณค่ะ""ไม่เป็นไร ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว""ไอ้เรื่องไหนๆ ที่พี่ว่ามีความหมายว่าอย่างไร?""ไม่มีอะไรหรอก คิดมากไป...""ถามจริงๆเถอะ...พี่ชอบหนูจริงหรือเปล่าคะ?""เรื่องนี้เราคุยกันรู้เรื่องแล้วไม่ไช่หรือ? ทำไมต้องคุยอีก""ก็กลัวพี่ไม่รักหนูจริงนี่นา"
แสงพูไช อินทะวีคำ
สมสีเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของพ่อเผย ชาวบ้านต่างกล่าวขานกันว่า เป็นผู้หญิงที่สวยเพียบพร้อมด้วยสมบัติบารมี ตรงตามตำราโบราณ รูปร่างสมส่วน ผิวขาวเหมือนไข่ปอก เข้ากับภาษิตที่ว่า ‘ตีนมือสวยลงน้ำหมานปลา ตีนมือหว้าลงนาหมานข้าว ไผได้เอาฮ่วมซ้อนคำไร้แม่นบ่มี’ เรื่องนี้เป็นที่รู้จักกันดีของชาวบ้านห้วยจิก วันนี้จ่อยกลับจากไปสู่ขวัญบ้านใต้ มองเห็นพ่อเผยกำลังนั่งเหลาตอกอยู่เพียงลำพัง จึงร้องทักอย่างคนคุ้นเคย “พ่อเผยเอ้ย! ข้อยขอเป็นลูกเขยได้บ่” จ่อยทั้งร้องทักทั้งส่งเสียงหัวเราะแหะๆ “บักจ่อย! มึงกล้าแต่ฮ้องใส่กูนี้แล้ว ถ้ามึงกล้าเว้ากับอี่สี แล้วมันตกลงแต่งงานกับมึง กูจะบ่ขัดทั้งสิยกให้มึงโลด”…
แสงพูไช อินทะวีคำ
พอเข้าบ้านปุ๊บ เสียงแปลกประหลาดก็วิ่งเข้าสู่รูหูทันที เสียงแบบนี้ข้าพเจ้าไม่คุ้นหูเอาเสียเลย และมันก็ไม่เคยเกิดขึ้นกับภรรยาสุดที่รักของข้าพเจ้าสักครั้ง เธอนั่งร้องไห้น้ำตาไหลพราก น้ำมูกย้อยเหมือนได้รับความระทมขมขื่นอันหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ข้าพเจ้าสืบเท้าเข้าไปหาเธอ เพื่อถามไถ่เรื่องราวต่างๆ แต่ข้าพเจ้าต้องหยุดชะงักอยู่กับที่ เมื่อเธอชี้หน้าทำตาขวางเหมือนจะบดขยี้ข้าพเจ้าให้แหลกคามือ คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของเธอไม่ต่างอะไรกับน้ำที่ไหลออกมาจากรางรินรับน้ำฝน ข้าพเจ้าฟังจนเกือบไม่ทัน เธอพูดว่า ''เจ้ามันบ้า! บ้าแท้ๆ! เจ้าบ่มีเวียกบ่? เดี๋ยวนี่คำเว้าของชาวบ้านแล่นเข้าหูข้อยจนล้นออกมาแล้ว…