Skip to main content
พอเข้าบ้านปุ๊บ เสียงแปลกประหลาดก็วิ่งเข้าสู่รูหูทันที เสียงแบบนี้ข้าพเจ้าไม่คุ้นหูเอาเสียเลย และมันก็ไม่เคยเกิดขึ้นกับภรรยาสุดที่รักของข้าพเจ้าสักครั้ง เธอนั่งร้องไห้น้ำตาไหลพราก น้ำมูกย้อยเหมือนได้รับความระทมขมขื่นอันหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ข้าพเจ้าสืบเท้าเข้าไปหาเธอ เพื่อถามไถ่เรื่องราวต่างๆ แต่ข้าพเจ้าต้องหยุดชะงักอยู่กับที่ เมื่อเธอชี้หน้าทำตาขวางเหมือนจะบดขยี้ข้าพเจ้าให้แหลกคามือ คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของเธอไม่ต่างอะไรกับน้ำที่ไหลออกมาจากรางรินรับน้ำฝน ข้าพเจ้าฟังจนเกือบไม่ทัน เธอพูดว่า

''เจ้ามันบ้า! บ้าแท้ๆ! เจ้าบ่มีเวียกบ่? เดี๋ยวนี่คำเว้าของชาวบ้านแล่นเข้าหูข้อยจนล้นออกมาแล้ว ถ้ามีตะกร้าใส่บ่ฮู้ว่าสิได้หลายปานใด๋ เจ้าฮู้บ่? บ่มีแพทย์หมอสามารถปัวได้ บ้าแท้ๆ" ว่าแล้วเธอเริ่มร้องไห้เสียงโหยหวนขึ้น

ข้าพเจ้าได้แต่ยืนตัวแข็ง แล้วก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาสุดแรง ข้าพเจ้ารีบเอามือปิดปากตัวเองทั้งคิดไปว่า
''บ้าแท้ๆ ข้อยบ้าอี่หลีบ่''

ก็อย่างว่านั้นแหละ มีหลายครั้งที่ข้าพเจ้าเดินไปตามถนน ข้าพเจ้ามักเอาถุงพลาสติกขนาดใหญ่มาสะพายบนบ่า เดินเรื่อยเปื่อยไปมา ข้าพเจ้าชอบเก็บเศษกระดาษ และถุงพลาสติกที่ตกเรี่ยราดอยู่ตามริมถนนยัดใส่ถุงใบเขื่องจนคับแน่น เมื่อเต็มแล้วเอาไปเทใส่ถังขยะที่ตั้งอยู่ตามริมถนน ข้าพเจ้าสอดส่ายสายตาไปมา เพราะมันเพลินตาดี รถราพาหนะแล่นไปมาขวักไขว่ไม่ได้ขาด ดูไปดูมารู้สึกหน้ามืดตามัว ผู้โดยสารบนรถมองลงมายังข้าพเจ้าแล้วก็ยิ้ม พอข้าพเจ้ายิ้มตอบก็ได้ยินเสียงตอบสวนกลับมาทันควัน
คนบ้า' ถึงตอนนี้ข้าพเจ้าจึงรู้ว่า ตัวเองเป็นบ้า' ข้าพเจ้าพยายามสำรวจตัวเอง แล้วก็พบว่าเสื้อผ้ารุงรังเปื้อนเปรอะไปด้วยฝุ่น พอสิ้นเสียงหัวเราะของผู้คนเหล่านั้น ถุงโอเลี้ยงที่ดูดน้ำหวานหมดแล้ว และอื่นๆ ก็โดนขว้างลงมาจากหลังคารถ

จะอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าได้พยายามปิดปากไม่ถกเถียงภรรยาของข้าพเจ้ากลับ เพราะข้าพเจ้าเข้าใจว่า ถ้าขืนเถียงต่อไปสิ่งใดจะเกิดขึ้น ในมือของภรรยาของข้าพเจ้ามีมีดพร้าหนึ่งอัน เธอเดินดุ่ม ๆ เข้ามาหาข้าพเจ้าแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า
''เจ้ามันบ้าแท้ๆ เจ้าอยากตายบ้อหรืออยากเป็นคน ข้อยเหลืออดเหลือทนแล้ว ไปทางใดก็ได้ยินเขาเว้าเรื่องบ้าๆ บอๆ ของเจ้า''

ข้าพเจ้าพยายามห้ามตัวเอง โดยการพยักหน้าเห็นดีเห็นงามตามคำพูดที่เธอพูดออกมารวมทั้งยิ้มไปพร้อมกัน ในที่สุดภรรยาของข้าพเจ้าเธอก็สิ้นฤทธิ์กลับมาที่เก้าอี้สงบสติอารมณ์ไปพักใหญ่ ร่วม
20 นาทีเห็นจะได้ ข้าพเจ้าหันไปหาเธอ เพื่ออยากจะพูดในสิ่งที่อยากจะพูด แต่ต้องหุบปาก เพราะเธอเปิดปากพูดขึ้นก่อน น้ำเสียงตอนนี้ต่างจากวินาทีที่ผ่านมา ความดังของเสียงเบาลงพร้อมกันนั้นใบหน้าก็แสดงความอ่อนโยนลง แต่ก็ยังเหมือนคนผิดหวัง

"ข้อยว่าหลายคนเว้าถูก เขาว่าเจ้าบ้า ถุงยางข้างฮิมถนนก็ไปหาเก็บ เขาถิ้มลงใสเจ้ากะเก็บ บ้าแท้ๆ ถ้าเซาได้กะดี ข้อยอายชาวบ้านชาวเมืองเพิ่น คนอื่นผิดเถียงกัน เจ้ากะเข้าไปแส่ทั้งๆ ที่มันบ่แม่นเรื่องของเจ้า''

เมื่อข้าพเจ้าไม่ขยับปากพูด ไม่ออกเสียง ภรรยาของข้าพเจ้าก็หยุดพูด และทุกสิ่งก็เงียบงัน  ข้าพเจ้าไม่ได้ออกไปไหนเลยตลอด
5 วัน เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในบ้าน ตลอด 5 วันที่ข้าพเจ้าอยู่แต่ในบ้าน ภาพเหตุการณ์ต่างๆ มันก็วนเวียนเข้ามาในจิตสำนึกเบื้องลึกของข้าพเจ้า ภาพผู้คนท่องเที่ยวไปตามถนน บางคนก็ถือถุงโอเลี้ยง บางคนก็เดินกินขนม บางคนก็กินผลไม้ ทุกคนต่างกินแล้วทิ้ง เศษสิ่งเหลือต่างๆ ก็ถูกทิ้งตามริมถนนที่มีหญ้าสีเขียวกำลังขึ้นมาใหม่ และมีวัว ควายกำลังเลาะเล็มหญ้าอย่างอร่อยลิ้น พวกมันกินหญ้าอย่างมีความสุข โดยไม่ได้สนใจว่าใครทำอะไร เพราะหญ้าริมถนนบันดาลให้มันเป็นสุขอย่างสุดๆ  

หลังจากภรรยาของข้าพเจ้าให้กัณฑ์เทศน์กัณฑ์ใหญ่แล้ว ข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง เพราะคนบ้าอย่างข้าพเจ้าก็ไม่ต้องการให้ครอบครัวต้องมาแตกแยกเพราะเรื่องอย่างนี้ และข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ในเมื่อคนข้างกายก็มองข้าพเจ้าว่าเป็นคนบ้า ซึ่งมันเป็นความบ้าในเส้นทางเดียว แต่มีสองเป้าหมาย ข้าพเจ้ากลัวเพียงว่า เมื่อเลิกบ้าแล้วความบ้าของข้าพเจ้าจะทวีคูณขึ้นเท่านั้น

วันนี้ ข้าพเจ้าออกจากบ้านผิดแผกจากครั้งก่อน ข้าพเจ้าไม่แต่งตัวโสโครก ไม่สะพายถุงพลาสติกใบใหญ่ และไม่เก็บเศษขยะตามถนนหนทางบ้านช่อง ข้าพเจ้าแต่งตัวเยี่ยงสุภาพสาธารณะชนทั่วไปขี่รถจักรยานผ่านไปในแต่ละที่ และก็มองเห็นสิ่งต่างๆ ตามที่เคยเห็นมาแล้ว ในที่สุดข้าพเจ้าก็มาหยุดอยู่ร้านกาแฟ ตรงที่มีคนเคยเอาโอเลี้ยงให้ข้าพเจ้าในฐานะคนบ้าๆ บอๆ ครั้งนี้ เจ้าของร้านไม่ได้เอาให้ข้าพเจ้ากินเหมือนตอนเป็นบ้า แต่ข้าพเจ้าต้องซื้อกิน และไม่ได้กินใส่ถุง แต่กินใส่แก้วอย่างดี ข้าพเจ้านั่งกินโอเลี้ยงเหมือนคนอื่นๆ และสังเกตไปรอบๆ ในขณะเดียวกันก็มีสายลมพัดผ่านมาค่อนข้างแรงพอสมควร ถุงพลาสติกปลิวมาจากไหนไม่มีใครรู้ แล้วมันก็ปลิวไปถูกหน้าผู้ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างซ้ายของข้าพเจ้า มันไม่ยุติธรรมเท่าใดนักที่ถุงพลาสติกปลิวมาถูกหน้าผู้ชายคนนั้น แต่จะทำอย่างไร ในเมื่อถุงพลาสติกมันไม่มีวิญญาณ ชายคนนั้นปัดถุงพลาสติกออกจากใบหน้าพร้อมทั้งบ่นออกมาให้ได้ยิน

''ห่ากินหัวมึงเอ๊ย! ถุงยางหนอถุงยาง!''
''เป็นแนวใดอ้าย! โอ๋ยจั่งแม่นชาติหนอถุงพลาสติกนี่กะดาย"
''เก็บกันแด่พวกเจ้ากะดายขยะนั่น!" ชายวัยกลางคนพูดขึ้นพร้อมทำสีหน้าให้เป็นปกติ
''มันบ่ไหวดอกอ้ายเอ๋ย! จั่งแม่นมันมาแต่ไสหลวงหลายขนาด'' เจ้าของร้านตอบ

ข้าพเจ้านั่งฟังแขกผู้มาใช้บริการสนทนากับเจ้าของร้าน จนโอเลี้ยงแก้วแรกเหือดไป แล้วข้าพเจ้าก็สั่งแก้วใหม่ หลังจากเอาโอเลี้ยงแก้วใหม่มาให้ข้าพเจ้าแล้ว เจ้าของร้านก็พาสนทนาต่ออีกครั้ง

''เมื่อวานซืนนี้ เขาพากันเว้ากันว่า วัวลุงดีตายหย้อนมันกินถุงพลาสติก''
''อ้าว! เป็นหยังจั่งว่ามันตายหย้อนถุงพลาสติก''
''อ้าว! ถ้าบ่ตายหย้อนถุงพลาสติกสิหย้อนอี่หยัง? ปาดท้องออกมามีถุงพลาสติกสองสามถุง''

การสนทนาเงียบลงพักใหญ่ โอเลี้ยงแก้วที่สองพร่องไปครึ่งแก้ว ชายวัยกลางคนจึงพูดขึ้นมาว่า
''กะว่านั้นละ เขาเฮ็ดถังให้ใส่กะบ่พากันใส่ ถิ้มไปทั่วทีป''
''แต่ว่าสิบมื้อก่อนนี้ดีแด่ เพราะมีคนบ้าคนหนึ่งมาเลาะหาเก็บถุงไปถิ้มใส่ถังขยะ'' เจ้าของร้านชี้แจง
''เดี๋ยวนี้มันไปใสบ่เห็นมา'' มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านขวาของข้าพเจ้า
''หรือว่ามันเซาบ้าแล้วบ่ฮู้'' เจ้าของร้านออกความเห็น

ข้าพเจ้าดื่มโอเลี้ยงอึกสุดท้าย แล้วลุกเดินไปหา และนึกในใจอยู่อย่างหนึ่งว่า ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ข้าพเจ้าอาจจะกลับมาเป็นคนบ้าอีก

บล็อกของ แสงพูไช อินทะวีคำ

แสงพูไช อินทะวีคำ
เศษขี้ตะกอนจากแสงพระอาทิตย์เป็นสีสนิมเหล็ก เรี่มหยอดเป็นจุดเล็กจุดใหญ่ตามหุบเขาด้านทิศตะวันตก มองดูไกลๆโน้นเหมือนกับนางระบำในเทพนิยายของชาวตะวันตก เสียงสะอื้น และเสียงก่นด่าราวกับโกรธเกลียดตัวเองมานับพันปีของผู้หญิงคนหนึ่งดังลอดออกมาจากพุ่มไม้ท้ายวัดด้านทิศตะวันออกให้ได้ยิน “เอื้อยขอโทษ เอื้อยบ่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นแนวนั้น! บ่แม่นเอื้อยบ่อยากให้น้องเป็นแนวนั้น! เอื้อยบ่ได้ต้องการให้น้องมาตายจากเอื้อยไป น้องฮู้บ่?” ฟังจากเสียงร้องไห้แบบนี้ก็คงพอเดาได้ว่าผู้ตายต้องเป็นญาติใกล้ชิดกับเจ้าของเสียงร้องไห้นั้น เธอร้องไห้โหยหวนเหมือนกับว่าเธอได้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งผิดพลาดอย่างร้ายแรงไว้กับผู้ตาย…
แสงพูไช อินทะวีคำ
  มองฟากฟ้า นพาแจ่ม กระจ่าง ทางเบื้องบนเหมือนดั่งคน พ้นเคราะช้ำ ในกรรมเก่าพ้นจากทุกข์ พ้นจากเวร พ้นจากความเหงาทำให้เรา และท่าน เบีกบานใจ วันนี้แจ่ม วันหน้าหมอง ครองคู่กันผ่านคืนวัน ที่เศร้าหมอง แล้วสุขใจสลับเปรียน หมูนเวียน เช่นนี้ไปพอทนได้ เพราะคู่กัน ดังฉันและเธอ แต่ฟ้าแจ่ม เพียงหน้อยนิด ซิคิดมากทนลำบาก เพราะฟ้าครื้ม กระหื่มฝนขู่คำราม แผดเสียง อยู่เบื้องบนทำเอาคน ใต้ล้า หน้าเศร้าหมอง หลายคนแล ดูฟ้า นพาสลับนอนนั่งนับ เดือนปี ให้เปรียนผลเปรียนจากฟ้า คะนองกระหื่ม อยู่เบื้องบนให้เป็นผล งอกงาม ตามกฎเกณท์ วันใดหนอ ฟากฟ้า จะสดใสพอให้มวล พืชไม้ ได้เกีดผลเกีดไปตาม…
แสงพูไช อินทะวีคำ
ตะวันรอน ย่อนแสงริมฝั่งของ (โขง)สายตาเธอเหม่อมองอยู่รำไรมองฟากฟ้าที่ไกลแสนไกลเธอร้องไห้โทมนัสโศกระทมมีใครรู้ บ้างหรือเปล่า กันมั้ยหนอ?ใครผู้ก่อ สร้างกรรม ทำเธอหมองเสียงร้องไห้ เธอนั้น น่าขนพองดุดดังเธอ ร่ำร้อง โศกาดูรสายตาเธอ เอ๋ยกล่าว เมื่อเราพบว่าก่อนนี้ เธอคบ กับคนพาลเขาสัญญา กับเธอ ไม่ระรานไม่มีวัน ทำให้เธอ กล้ำกลืนทนความเป็นจริง กับสัญญา ที่มีนั้นไม่สัมพันธ์ มันต่างมุม ต่างภาษาต่างความคิด ต่างกระทำ ต่างเวลาเพราะสัญญา ภาษาคน บนใจมารเธอมายืน ร่ำร้อง บนริมฝั่งเผื่อความหวัง ให้นาคา ได้รับรู้บ่นเจ้ากรรม นายเวร ให้ช่วยกู้ให้รับรู้ สิทธิเธอ ถูกรุกรานใครจะให้ ความเป็นธรรม เธอบ้างหนอพอช่วยก่อ…
แสงพูไช อินทะวีคำ
ให้สัญญาว่าจะทำทุกอย่างที่ดีให้สัญญาว่าจะไม่ทำสิ่งที่ไม่ดีให้สัญญาว่าจะไม่บิดเบี้ยวความจริงแต่แล้วเขาก็ทำในสิ่งที่ใจเขาอยากทำแล้วจะทำอย่างไร?บอกกับประชาชนว่าเพื่อประชาชีบอกกับประชาชนว่าเพื่อความอยู่ดีกินดีบอกประชาชนว่าเพื่อชาติย่อมต้องพลีชีพแล้วในที่สุดก็กดขี่ประชาชีและประชาชนดั่งสำนวนกวีลาว             กล่าวอ้างแปลกใจคือเพี่นเว้า         เฒ่าแก่โบรานจาเป็นสัตว์สาคือควาย        บ่ก้มหัวกินหญ้าเป็นปลาบ่อลอยลื่น        …
แสงพูไช อินทะวีคำ
รักเผ่าพันธุ์ รักเพื่อนผอง ต้องรักป่ารักอาป้า พนาไพรเหมือนหัวใจตนรักพี่น้องทุกแห่งหน บนด่านด้าวประคองเอาพนาไพร ไม่ทำลายรักแม่น้ำ แมกไม้และเขาเขียวยามท่องเที่ยว บนภูเขาอย่าละเลยที้งของเสียให้รกร้างดั่งที่เคยความสวยงามก่อนนี้เอ๋ย ให้เสื่อมโทรมให้รักป่าเท่าชีวิต คิดให้ใกลบ่อนเรไรร่ำร้อง พงพนาถิ่นภูเขาเลากา และสัตว์ป่าบนผืนแผนสนธยา น่าอยู่กินหน้าที่เราทุกเผ่าพันธุ์ขันอาสาป้องผืนป่าให้พ้นภัยอันตรายทุกผืนที่ในแดนลาวมิวอดวายคนและป่าอยู่ร่วมกันไป นานเท่านานหากคนเรารักป่าอย่างจริงจังแม้กระทั้งพลีชีพชีวาวายเพื่อผืนดินและผืนป่าคู่คนไปแม้ตัวตาย ขอผืนป่าและสายน้ำค้ำจุนโลกดงดานบ่อนเรไรร่ำร้อง…
แสงพูไช อินทะวีคำ
เรื่องสั้นเรื่องนี้ ผมเขียนขื้นเมื่อปี คศ. ๑๙๙๕ ในขณะที่ผมเดินทางไปรอบๆ เมืองปากเช แขวงจำปาสัก เป็นระยะแห่งการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจ ลงพิมพ์ที่วารสารวัณนศิล เมื่อปี คศ. ๑๙๙๕ และลงพิมพ์ที่หนังสือพิมพ์เวียงจันท์ใหม่เมื่อปี คศ. ๒๐๐๐ แปลโดย ทองคร้าม ทองขาว เรื่องสั้นเรื่องนี้จะรวมเล่มเรื่องสั้นที่มีภาษาไทย ลาว และภาษาอังกฤษด้วย โดย Mekong Post
แสงพูไช อินทะวีคำ
แรกๆ ผมว่าจะเขียนเกี่ยวกับเรื่อง ICT camp ต่อ แต่เมื่อตอนค่ำของวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๑ เวลาประมาณ ๒ ทุ่มครึ่ง เป็นตอนจบของเรื่อง “เพลงดินกลิ่นดาว” ละครโทรทัศน์ช่อง ๗ ทำให้ผมเปลี่ยนใจ หันมาเขียนเรื่องนี้จนได้ กรณีที่ผมนำเรื่องนี้ขื้นมาพูดไม่ใช่เป็นทัศนะของวิชาการ แต่เป็นทัศนะส่วนตัวมากกว่า
แสงพูไช อินทะวีคำ
ขณะที่เดินทางไปพัทยา ผมมองดูกระเป๋าเดินทางของตัวเองด้วยความกังวลใจอยู่ลึกๆ “ขออย่าได้เป็นอะไรเลย ประเดี๋ยวจะขายขี้หน้าหมด” “อ้ายกลัวกระเป๋าเดินทางแตกใช่มั้ย?” น้องคนหนึ่งถาม“ก็....กลัวนะ....”“แต่ดูแล้วน่าจะไม่เป็นไรนี่”“ใช่.....”
แสงพูไช อินทะวีคำ
ถือว่าผมเป็นคนหนึ่งที่มีเพื่อนพ้องน้องพี่มากพอสมควร แต่ละคนชอบส่งข่าวให้กันและกันบ่อยๆ เวลาที่มีเรื่องราวต่างๆ ที่น่าสนใจ เรื่องไอชีที ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เพื่อนส่งข่าวให้รู้ว่า “....คนจากลุ่มน้ำโขงจะมารวมตัวกันที่ ICT Camp มากมาย...เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้พบกับผู้คนมากหน้าหลายตาจากประเทศพม่า กัมพูชา เวียดนาม ไทย ลาว .....” ทุกคนดูตื่นเต้นเอามากๆ เมื่อมีคำบอกเช่นนั้นจากเพื่อนๆ ผมจึงตกลงใจว่า “ไป” อีกประการหนึ่งก็คือ มีน้องๆ จากองค์กรเดียวกันไปร่วมด้วยเช่นกัน เพื่อเรียนรู้ร่วมกัน ะในโปรแกรมบอกว่ามีทั้งเรื่อง ไอที ข้อมูลข่าวสาร และเรื่อง Advocacy งานนี้จัดขื้นที่ Learning Resort…
แสงพูไช อินทะวีคำ
ข่าวการสั่งห้ามชาวบ้านที่หลวงพระบางทำกิจการให้ชาวต่างประเทศหรือนักท่องเที่ยวเช่าจักรยานและจักรยานยนต์ ได้ส่งผลลบมาสู่การท่องเที่ยวอีกครั้งหนึ่ง หนังสือพิมพ์บางฉบับในไทยได้ลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย เนื่องจากกลัวว่าอาจทำให้ความน่าสนใจ น่าเชื่อถือที่จะมาเยือนหลวงพระบาง เมืองมรดกโลกลดลงไป การสั่งห้ามไม่ให้ชาวบ้านทำเช่นนั้น เป็นเพราะอะไร หลายคนเข้าใจว่า จากการหยุดไม่ให้ชาวบ้านทำ แต่มอบให้บริษัทเป็นคนทำ อาจทำให้ชาวบ้านสูญเสียรายได้ แล้วกลายเป็นการส่งเสริมนายทุนเพียงฝ่ายเดียว ชื่งไม่เป็นธรรมกับชาวบ้าน ผู้นำเที่ยวท่านหนึ่งบอกผมว่า “การห้ามชาวบ้านทำ เพราะไม่มีประกันความปลอดภัย…
แสงพูไช อินทะวีคำ
วันที่ผมรู้สึกอบอุ่นมาก ก็คงหนีไม่พ้นงานพบปะของคอลัมนิสต์ประชาไท.....ที่เชียงใหม่เพราะผมไม่ได้นึกว่าจะมีโอกาสมาเจอเพื่อนสหาย นักเขียนไทยมากหลายเอาขนาดนี้ ส่วนมากก็คงเป็นคนเชียงใหม่....รอยยี้ม...เสียงหัวเราะ....ไม่ได้ต่างกันแม๋นิดเดียว....อาจจะต่างภาษา...แต่เรื่องนี้ก็ไม่แปลก เพราะเผ่าพันธุ์ต่างๆ ล้วนมีภาษาที่เป็นตัวของตัวเอง....สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความเข้าใจที่มีต่อกัน และเป็นสิ่งนี้เองที่บ่งบอกถึง “มิตรภาพ”  ซึ่งสื่อออกมาได้จากภาพที่ผมเก็บไว้
แสงพูไช อินทะวีคำ
   โอน้อ เจ้าผู้พ้วดอกอ้ม ผมพี่ดำนิน เฮียมเอยผมดำงามพอดูช่างตื่มสีแดงเข้มดำแดงคนเขาเอี้นสองสีแตกต่างสังมาอยู่ฮ่วมเค้าเกสาเจ้าผู้เดียวน้องบ่ออยากเว้าเลี้ยวเว้าล่ายความจริงมีบ่อนอีงจริงมาจา ว่ากันตามเรื่องย่อนมันเคืองคาข้อง หม้องใจน้องอุ่นความคิดเป็นว่าวุ้น นำอ้ายบ่าวพี่ชายน้องนี้หมายอยู่ซ้อนเฮียงฮ่วมชายเดียว อ้ายเอยคนอื่นนางบ่อเหลียวม่ายตานางซ้ำกรรมหยังนางบ่อฮู้ มาเห็นชายจริงหวังฮ่วมหวังอยากมาฮ่วมซ้อน นำอ้ายแต่ผู้เดียวแต่ว่าอ้ายพัดเบี้ยว แปล เปรียนสัญญาว่าสิแปลงผมยอย ย่อนลงทางหน้าชายสิเอามันถี้ม ให้เป็นสีดำธรรมชาติบาดมาเห็นเทื่อนี้…