พอเข้าบ้านปุ๊บ เสียงแปลกประหลาดก็วิ่งเข้าสู่รูหูทันที เสียงแบบนี้ข้าพเจ้าไม่คุ้นหูเอาเสียเลย และมันก็ไม่เคยเกิดขึ้นกับภรรยาสุดที่รักของข้าพเจ้าสักครั้ง เธอนั่งร้องไห้น้ำตาไหลพราก น้ำมูกย้อยเหมือนได้รับความระทมขมขื่นอันหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ข้าพเจ้าสืบเท้าเข้าไปหาเธอ เพื่อถามไถ่เรื่องราวต่างๆ แต่ข้าพเจ้าต้องหยุดชะงักอยู่กับที่ เมื่อเธอชี้หน้าทำตาขวางเหมือนจะบดขยี้ข้าพเจ้าให้แหลกคามือ คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของเธอไม่ต่างอะไรกับน้ำที่ไหลออกมาจากรางรินรับน้ำฝน ข้าพเจ้าฟังจนเกือบไม่ทัน เธอพูดว่า
''เจ้ามันบ้า! บ้าแท้ๆ! เจ้าบ่มีเวียกบ่? เดี๋ยวนี่คำเว้าของชาวบ้านแล่นเข้าหูข้อยจนล้นออกมาแล้ว ถ้ามีตะกร้าใส่บ่ฮู้ว่าสิได้หลายปานใด๋ เจ้าฮู้บ่? บ่มีแพทย์หมอสามารถปัวได้ บ้าแท้ๆ" ว่าแล้วเธอเริ่มร้องไห้เสียงโหยหวนขึ้น
ข้าพเจ้าได้แต่ยืนตัวแข็ง แล้วก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาสุดแรง ข้าพเจ้ารีบเอามือปิดปากตัวเองทั้งคิดไปว่า
''บ้าแท้ๆ ข้อยบ้าอี่หลีบ่''
ก็อย่างว่านั้นแหละ มีหลายครั้งที่ข้าพเจ้าเดินไปตามถนน ข้าพเจ้ามักเอาถุงพลาสติกขนาดใหญ่มาสะพายบนบ่า เดินเรื่อยเปื่อยไปมา ข้าพเจ้าชอบเก็บเศษกระดาษ และถุงพลาสติกที่ตกเรี่ยราดอยู่ตามริมถนนยัดใส่ถุงใบเขื่องจนคับแน่น เมื่อเต็มแล้วเอาไปเทใส่ถังขยะที่ตั้งอยู่ตามริมถนน ข้าพเจ้าสอดส่ายสายตาไปมา เพราะมันเพลินตาดี รถราพาหนะแล่นไปมาขวักไขว่ไม่ได้ขาด ดูไปดูมารู้สึกหน้ามืดตามัว ผู้โดยสารบนรถมองลงมายังข้าพเจ้าแล้วก็ยิ้ม พอข้าพเจ้ายิ้มตอบก็ได้ยินเสียงตอบสวนกลับมาทันควัน ‘คนบ้า' ถึงตอนนี้ข้าพเจ้าจึงรู้ว่า ‘ตัวเองเป็นบ้า' ข้าพเจ้าพยายามสำรวจตัวเอง แล้วก็พบว่าเสื้อผ้ารุงรังเปื้อนเปรอะไปด้วยฝุ่น พอสิ้นเสียงหัวเราะของผู้คนเหล่านั้น ถุงโอเลี้ยงที่ดูดน้ำหวานหมดแล้ว และอื่นๆ ก็โดนขว้างลงมาจากหลังคารถ
จะอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าได้พยายามปิดปากไม่ถกเถียงภรรยาของข้าพเจ้ากลับ เพราะข้าพเจ้าเข้าใจว่า ถ้าขืนเถียงต่อไปสิ่งใดจะเกิดขึ้น ในมือของภรรยาของข้าพเจ้ามีมีดพร้าหนึ่งอัน เธอเดินดุ่ม ๆ เข้ามาหาข้าพเจ้าแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า
''เจ้ามันบ้าแท้ๆ เจ้าอยากตายบ้อหรืออยากเป็นคน ข้อยเหลืออดเหลือทนแล้ว ไปทางใดก็ได้ยินเขาเว้าเรื่องบ้าๆ บอๆ ของเจ้า''
ข้าพเจ้าพยายามห้ามตัวเอง โดยการพยักหน้าเห็นดีเห็นงามตามคำพูดที่เธอพูดออกมารวมทั้งยิ้มไปพร้อมกัน ในที่สุดภรรยาของข้าพเจ้าเธอก็สิ้นฤทธิ์กลับมาที่เก้าอี้สงบสติอารมณ์ไปพักใหญ่ ร่วม 20 นาทีเห็นจะได้ ข้าพเจ้าหันไปหาเธอ เพื่ออยากจะพูดในสิ่งที่อยากจะพูด แต่ต้องหุบปาก เพราะเธอเปิดปากพูดขึ้นก่อน น้ำเสียงตอนนี้ต่างจากวินาทีที่ผ่านมา ความดังของเสียงเบาลงพร้อมกันนั้นใบหน้าก็แสดงความอ่อนโยนลง แต่ก็ยังเหมือนคนผิดหวัง
"ข้อยว่าหลายคนเว้าถูก เขาว่าเจ้าบ้า ถุงยางข้างฮิมถนนก็ไปหาเก็บ เขาถิ้มลงใสเจ้ากะเก็บ บ้าแท้ๆ ถ้าเซาได้กะดี ข้อยอายชาวบ้านชาวเมืองเพิ่น คนอื่นผิดเถียงกัน เจ้ากะเข้าไปแส่ทั้งๆ ที่มันบ่แม่นเรื่องของเจ้า''
เมื่อข้าพเจ้าไม่ขยับปากพูด ไม่ออกเสียง ภรรยาของข้าพเจ้าก็หยุดพูด และทุกสิ่งก็เงียบงัน ข้าพเจ้าไม่ได้ออกไปไหนเลยตลอด 5 วัน เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในบ้าน ตลอด 5 วันที่ข้าพเจ้าอยู่แต่ในบ้าน ภาพเหตุการณ์ต่างๆ มันก็วนเวียนเข้ามาในจิตสำนึกเบื้องลึกของข้าพเจ้า ภาพผู้คนท่องเที่ยวไปตามถนน บางคนก็ถือถุงโอเลี้ยง บางคนก็เดินกินขนม บางคนก็กินผลไม้ ทุกคนต่างกินแล้วทิ้ง เศษสิ่งเหลือต่างๆ ก็ถูกทิ้งตามริมถนนที่มีหญ้าสีเขียวกำลังขึ้นมาใหม่ และมีวัว ควายกำลังเลาะเล็มหญ้าอย่างอร่อยลิ้น พวกมันกินหญ้าอย่างมีความสุข โดยไม่ได้สนใจว่าใครทำอะไร เพราะหญ้าริมถนนบันดาลให้มันเป็นสุขอย่างสุดๆ
หลังจากภรรยาของข้าพเจ้าให้กัณฑ์เทศน์กัณฑ์ใหญ่แล้ว ข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง เพราะคนบ้าอย่างข้าพเจ้าก็ไม่ต้องการให้ครอบครัวต้องมาแตกแยกเพราะเรื่องอย่างนี้ และข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ในเมื่อคนข้างกายก็มองข้าพเจ้าว่าเป็นคนบ้า ซึ่งมันเป็นความบ้าในเส้นทางเดียว แต่มีสองเป้าหมาย ข้าพเจ้ากลัวเพียงว่า เมื่อเลิกบ้าแล้วความบ้าของข้าพเจ้าจะทวีคูณขึ้นเท่านั้น
วันนี้ ข้าพเจ้าออกจากบ้านผิดแผกจากครั้งก่อน ข้าพเจ้าไม่แต่งตัวโสโครก ไม่สะพายถุงพลาสติกใบใหญ่ และไม่เก็บเศษขยะตามถนนหนทางบ้านช่อง ข้าพเจ้าแต่งตัวเยี่ยงสุภาพสาธารณะชนทั่วไปขี่รถจักรยานผ่านไปในแต่ละที่ และก็มองเห็นสิ่งต่างๆ ตามที่เคยเห็นมาแล้ว ในที่สุดข้าพเจ้าก็มาหยุดอยู่ร้านกาแฟ ตรงที่มีคนเคยเอาโอเลี้ยงให้ข้าพเจ้าในฐานะคนบ้าๆ บอๆ ครั้งนี้ เจ้าของร้านไม่ได้เอาให้ข้าพเจ้ากินเหมือนตอนเป็นบ้า แต่ข้าพเจ้าต้องซื้อกิน และไม่ได้กินใส่ถุง แต่กินใส่แก้วอย่างดี ข้าพเจ้านั่งกินโอเลี้ยงเหมือนคนอื่นๆ และสังเกตไปรอบๆ ในขณะเดียวกันก็มีสายลมพัดผ่านมาค่อนข้างแรงพอสมควร ถุงพลาสติกปลิวมาจากไหนไม่มีใครรู้ แล้วมันก็ปลิวไปถูกหน้าผู้ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างซ้ายของข้าพเจ้า มันไม่ยุติธรรมเท่าใดนักที่ถุงพลาสติกปลิวมาถูกหน้าผู้ชายคนนั้น แต่จะทำอย่างไร ในเมื่อถุงพลาสติกมันไม่มีวิญญาณ ชายคนนั้นปัดถุงพลาสติกออกจากใบหน้าพร้อมทั้งบ่นออกมาให้ได้ยิน
''ห่ากินหัวมึงเอ๊ย! ถุงยางหนอถุงยาง!''
''เป็นแนวใดอ้าย! โอ๋ยจั่งแม่นชาติหนอถุงพลาสติกนี่กะดาย"
''เก็บกันแด่พวกเจ้ากะดายขยะนั่น!" ชายวัยกลางคนพูดขึ้นพร้อมทำสีหน้าให้เป็นปกติ
''มันบ่ไหวดอกอ้ายเอ๋ย! จั่งแม่นมันมาแต่ไสหลวงหลายขนาด'' เจ้าของร้านตอบ
ข้าพเจ้านั่งฟังแขกผู้มาใช้บริการสนทนากับเจ้าของร้าน จนโอเลี้ยงแก้วแรกเหือดไป แล้วข้าพเจ้าก็สั่งแก้วใหม่ หลังจากเอาโอเลี้ยงแก้วใหม่มาให้ข้าพเจ้าแล้ว เจ้าของร้านก็พาสนทนาต่ออีกครั้ง
''เมื่อวานซืนนี้ เขาพากันเว้ากันว่า วัวลุงดีตายหย้อนมันกินถุงพลาสติก''
''อ้าว! เป็นหยังจั่งว่ามันตายหย้อนถุงพลาสติก''
''อ้าว! ถ้าบ่ตายหย้อนถุงพลาสติกสิหย้อนอี่หยัง? ปาดท้องออกมามีถุงพลาสติกสองสามถุง''
การสนทนาเงียบลงพักใหญ่ โอเลี้ยงแก้วที่สองพร่องไปครึ่งแก้ว ชายวัยกลางคนจึงพูดขึ้นมาว่า
''กะว่านั้นละ เขาเฮ็ดถังให้ใส่กะบ่พากันใส่ ถิ้มไปทั่วทีป''
''แต่ว่าสิบมื้อก่อนนี้ดีแด่ เพราะมีคนบ้าคนหนึ่งมาเลาะหาเก็บถุงไปถิ้มใส่ถังขยะ'' เจ้าของร้านชี้แจง
''เดี๋ยวนี้มันไปใสบ่เห็นมา'' มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านขวาของข้าพเจ้า
''หรือว่ามันเซาบ้าแล้วบ่ฮู้'' เจ้าของร้านออกความเห็น
ข้าพเจ้าดื่มโอเลี้ยงอึกสุดท้าย แล้วลุกเดินไปหา และนึกในใจอยู่อย่างหนึ่งว่า ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ข้าพเจ้าอาจจะกลับมาเป็นคนบ้าอีก
''เจ้ามันบ้า! บ้าแท้ๆ! เจ้าบ่มีเวียกบ่? เดี๋ยวนี่คำเว้าของชาวบ้านแล่นเข้าหูข้อยจนล้นออกมาแล้ว ถ้ามีตะกร้าใส่บ่ฮู้ว่าสิได้หลายปานใด๋ เจ้าฮู้บ่? บ่มีแพทย์หมอสามารถปัวได้ บ้าแท้ๆ" ว่าแล้วเธอเริ่มร้องไห้เสียงโหยหวนขึ้น
ข้าพเจ้าได้แต่ยืนตัวแข็ง แล้วก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาสุดแรง ข้าพเจ้ารีบเอามือปิดปากตัวเองทั้งคิดไปว่า
''บ้าแท้ๆ ข้อยบ้าอี่หลีบ่''
ก็อย่างว่านั้นแหละ มีหลายครั้งที่ข้าพเจ้าเดินไปตามถนน ข้าพเจ้ามักเอาถุงพลาสติกขนาดใหญ่มาสะพายบนบ่า เดินเรื่อยเปื่อยไปมา ข้าพเจ้าชอบเก็บเศษกระดาษ และถุงพลาสติกที่ตกเรี่ยราดอยู่ตามริมถนนยัดใส่ถุงใบเขื่องจนคับแน่น เมื่อเต็มแล้วเอาไปเทใส่ถังขยะที่ตั้งอยู่ตามริมถนน ข้าพเจ้าสอดส่ายสายตาไปมา เพราะมันเพลินตาดี รถราพาหนะแล่นไปมาขวักไขว่ไม่ได้ขาด ดูไปดูมารู้สึกหน้ามืดตามัว ผู้โดยสารบนรถมองลงมายังข้าพเจ้าแล้วก็ยิ้ม พอข้าพเจ้ายิ้มตอบก็ได้ยินเสียงตอบสวนกลับมาทันควัน ‘คนบ้า' ถึงตอนนี้ข้าพเจ้าจึงรู้ว่า ‘ตัวเองเป็นบ้า' ข้าพเจ้าพยายามสำรวจตัวเอง แล้วก็พบว่าเสื้อผ้ารุงรังเปื้อนเปรอะไปด้วยฝุ่น พอสิ้นเสียงหัวเราะของผู้คนเหล่านั้น ถุงโอเลี้ยงที่ดูดน้ำหวานหมดแล้ว และอื่นๆ ก็โดนขว้างลงมาจากหลังคารถ
จะอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าได้พยายามปิดปากไม่ถกเถียงภรรยาของข้าพเจ้ากลับ เพราะข้าพเจ้าเข้าใจว่า ถ้าขืนเถียงต่อไปสิ่งใดจะเกิดขึ้น ในมือของภรรยาของข้าพเจ้ามีมีดพร้าหนึ่งอัน เธอเดินดุ่ม ๆ เข้ามาหาข้าพเจ้าแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า
''เจ้ามันบ้าแท้ๆ เจ้าอยากตายบ้อหรืออยากเป็นคน ข้อยเหลืออดเหลือทนแล้ว ไปทางใดก็ได้ยินเขาเว้าเรื่องบ้าๆ บอๆ ของเจ้า''
ข้าพเจ้าพยายามห้ามตัวเอง โดยการพยักหน้าเห็นดีเห็นงามตามคำพูดที่เธอพูดออกมารวมทั้งยิ้มไปพร้อมกัน ในที่สุดภรรยาของข้าพเจ้าเธอก็สิ้นฤทธิ์กลับมาที่เก้าอี้สงบสติอารมณ์ไปพักใหญ่ ร่วม 20 นาทีเห็นจะได้ ข้าพเจ้าหันไปหาเธอ เพื่ออยากจะพูดในสิ่งที่อยากจะพูด แต่ต้องหุบปาก เพราะเธอเปิดปากพูดขึ้นก่อน น้ำเสียงตอนนี้ต่างจากวินาทีที่ผ่านมา ความดังของเสียงเบาลงพร้อมกันนั้นใบหน้าก็แสดงความอ่อนโยนลง แต่ก็ยังเหมือนคนผิดหวัง
"ข้อยว่าหลายคนเว้าถูก เขาว่าเจ้าบ้า ถุงยางข้างฮิมถนนก็ไปหาเก็บ เขาถิ้มลงใสเจ้ากะเก็บ บ้าแท้ๆ ถ้าเซาได้กะดี ข้อยอายชาวบ้านชาวเมืองเพิ่น คนอื่นผิดเถียงกัน เจ้ากะเข้าไปแส่ทั้งๆ ที่มันบ่แม่นเรื่องของเจ้า''
เมื่อข้าพเจ้าไม่ขยับปากพูด ไม่ออกเสียง ภรรยาของข้าพเจ้าก็หยุดพูด และทุกสิ่งก็เงียบงัน ข้าพเจ้าไม่ได้ออกไปไหนเลยตลอด 5 วัน เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในบ้าน ตลอด 5 วันที่ข้าพเจ้าอยู่แต่ในบ้าน ภาพเหตุการณ์ต่างๆ มันก็วนเวียนเข้ามาในจิตสำนึกเบื้องลึกของข้าพเจ้า ภาพผู้คนท่องเที่ยวไปตามถนน บางคนก็ถือถุงโอเลี้ยง บางคนก็เดินกินขนม บางคนก็กินผลไม้ ทุกคนต่างกินแล้วทิ้ง เศษสิ่งเหลือต่างๆ ก็ถูกทิ้งตามริมถนนที่มีหญ้าสีเขียวกำลังขึ้นมาใหม่ และมีวัว ควายกำลังเลาะเล็มหญ้าอย่างอร่อยลิ้น พวกมันกินหญ้าอย่างมีความสุข โดยไม่ได้สนใจว่าใครทำอะไร เพราะหญ้าริมถนนบันดาลให้มันเป็นสุขอย่างสุดๆ
หลังจากภรรยาของข้าพเจ้าให้กัณฑ์เทศน์กัณฑ์ใหญ่แล้ว ข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง เพราะคนบ้าอย่างข้าพเจ้าก็ไม่ต้องการให้ครอบครัวต้องมาแตกแยกเพราะเรื่องอย่างนี้ และข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ในเมื่อคนข้างกายก็มองข้าพเจ้าว่าเป็นคนบ้า ซึ่งมันเป็นความบ้าในเส้นทางเดียว แต่มีสองเป้าหมาย ข้าพเจ้ากลัวเพียงว่า เมื่อเลิกบ้าแล้วความบ้าของข้าพเจ้าจะทวีคูณขึ้นเท่านั้น
วันนี้ ข้าพเจ้าออกจากบ้านผิดแผกจากครั้งก่อน ข้าพเจ้าไม่แต่งตัวโสโครก ไม่สะพายถุงพลาสติกใบใหญ่ และไม่เก็บเศษขยะตามถนนหนทางบ้านช่อง ข้าพเจ้าแต่งตัวเยี่ยงสุภาพสาธารณะชนทั่วไปขี่รถจักรยานผ่านไปในแต่ละที่ และก็มองเห็นสิ่งต่างๆ ตามที่เคยเห็นมาแล้ว ในที่สุดข้าพเจ้าก็มาหยุดอยู่ร้านกาแฟ ตรงที่มีคนเคยเอาโอเลี้ยงให้ข้าพเจ้าในฐานะคนบ้าๆ บอๆ ครั้งนี้ เจ้าของร้านไม่ได้เอาให้ข้าพเจ้ากินเหมือนตอนเป็นบ้า แต่ข้าพเจ้าต้องซื้อกิน และไม่ได้กินใส่ถุง แต่กินใส่แก้วอย่างดี ข้าพเจ้านั่งกินโอเลี้ยงเหมือนคนอื่นๆ และสังเกตไปรอบๆ ในขณะเดียวกันก็มีสายลมพัดผ่านมาค่อนข้างแรงพอสมควร ถุงพลาสติกปลิวมาจากไหนไม่มีใครรู้ แล้วมันก็ปลิวไปถูกหน้าผู้ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างซ้ายของข้าพเจ้า มันไม่ยุติธรรมเท่าใดนักที่ถุงพลาสติกปลิวมาถูกหน้าผู้ชายคนนั้น แต่จะทำอย่างไร ในเมื่อถุงพลาสติกมันไม่มีวิญญาณ ชายคนนั้นปัดถุงพลาสติกออกจากใบหน้าพร้อมทั้งบ่นออกมาให้ได้ยิน
''ห่ากินหัวมึงเอ๊ย! ถุงยางหนอถุงยาง!''
''เป็นแนวใดอ้าย! โอ๋ยจั่งแม่นชาติหนอถุงพลาสติกนี่กะดาย"
''เก็บกันแด่พวกเจ้ากะดายขยะนั่น!" ชายวัยกลางคนพูดขึ้นพร้อมทำสีหน้าให้เป็นปกติ
''มันบ่ไหวดอกอ้ายเอ๋ย! จั่งแม่นมันมาแต่ไสหลวงหลายขนาด'' เจ้าของร้านตอบ
ข้าพเจ้านั่งฟังแขกผู้มาใช้บริการสนทนากับเจ้าของร้าน จนโอเลี้ยงแก้วแรกเหือดไป แล้วข้าพเจ้าก็สั่งแก้วใหม่ หลังจากเอาโอเลี้ยงแก้วใหม่มาให้ข้าพเจ้าแล้ว เจ้าของร้านก็พาสนทนาต่ออีกครั้ง
''เมื่อวานซืนนี้ เขาพากันเว้ากันว่า วัวลุงดีตายหย้อนมันกินถุงพลาสติก''
''อ้าว! เป็นหยังจั่งว่ามันตายหย้อนถุงพลาสติก''
''อ้าว! ถ้าบ่ตายหย้อนถุงพลาสติกสิหย้อนอี่หยัง? ปาดท้องออกมามีถุงพลาสติกสองสามถุง''
การสนทนาเงียบลงพักใหญ่ โอเลี้ยงแก้วที่สองพร่องไปครึ่งแก้ว ชายวัยกลางคนจึงพูดขึ้นมาว่า
''กะว่านั้นละ เขาเฮ็ดถังให้ใส่กะบ่พากันใส่ ถิ้มไปทั่วทีป''
''แต่ว่าสิบมื้อก่อนนี้ดีแด่ เพราะมีคนบ้าคนหนึ่งมาเลาะหาเก็บถุงไปถิ้มใส่ถังขยะ'' เจ้าของร้านชี้แจง
''เดี๋ยวนี้มันไปใสบ่เห็นมา'' มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านขวาของข้าพเจ้า
''หรือว่ามันเซาบ้าแล้วบ่ฮู้'' เจ้าของร้านออกความเห็น
ข้าพเจ้าดื่มโอเลี้ยงอึกสุดท้าย แล้วลุกเดินไปหา และนึกในใจอยู่อย่างหนึ่งว่า ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ข้าพเจ้าอาจจะกลับมาเป็นคนบ้าอีก
บล็อกของ แสงพูไช อินทะวีคำ
แสงพูไช อินทะวีคำ
จริงๆแล้วผมพยายามถอดความจากกวีที่เป็นสำนวนภาษาลาวมาเป็นคำไทย.... แต่คงไม่ไพเราะเหมือนคำลาวที่ผมแต่งไว้เพราะการเขียนภาษาไทยไม่ดีพอ..... อย่างไรก็ตาม ผมมีความตั้งใจมากเพื่อการสื่อความเข้าใจทั้งสองด้านให้กลายเป็นพลังแห่งความรักของสองชาติลาวไทย ผมมีความต้องการสูงสุดให้คนลาวและไทยมีความเข้าใจกันมากขื้น ผมเข้าใจว่าในโลกใบนี้หากไม่มีคำว่า “ศัตรู” คงดีที่สุดพี่สัญญากับน้องว่าจะเปลี่ยนพี่จะเพียรแต่งแต้มแปลงเรือนผมผมไม่แดงเหมือนฝรั่งหลอกพี่ว่าแต่มาเจอเธอยิ่งกว่าเดีมผมก็แดงแทงใจน้องหูก็บ๋องมีต่างช่างเปลียนไปหูก็บ๋อง ผมก็แดงมันแทงใจก็นั้นไง…
แสงพูไช อินทะวีคำ
วันนี้ผมมีของฝากจากเมืองลาว มาให้พี่น้องได้อ่านกัน สิ่งที่ผมจะนำมาให้อ่านในประชาไทเป็นบทกลอนที่ผมแต่งขื้นเมื่อปี 2003 ระยะนั้นผมมองเห็นอะไรสักอย่างหนิ่งที่มันแฝงตัวอยู่กับสังคมลาว บางทีสิ่งที่พูดอาจไม่ใช่เป็นสิ่งที่เกีดขื้นในเมืองลาวเพียงอย่างเดียว......แต่มันอาจเป็นสิ่งที่เกีดขื้นในทั่วโลกก็เป็นได้ แต่ในที่นี้ผมขอใช้เป็นสำนวนภาษาลาว ด้านหนิ่งสมบูรณ์ด้วย มูนมากเงินคำด้านหนิ่งต่ำเพียงดิน คอบความจนไฮ้(ไร้)เปลียบเหมือนไฟลามไหม้ มะไลกันบ่ดับมอด เป็นแล้วสองส้นเตาะต่อยดั้น ครือพ้าบั่นขวานยามเมื่องกางต่อน้ำ พัดขาดเป็นวังกางต่อฟังคำหวาน …
แสงพูไช อินทะวีคำ
ที่ ESCUDERO, ประเทศ Philippines“ไปทานข้าวกันเถอะ!”..............เธอเป็นคนค่อนข้างอ้วนท้วน ยักไหล่เบาๆ...ปล่อยคำทักทายเหมือนกับเธอมีอำนาจสูงสุด ใช่จริงด้วยเพราะเวลานี้มันเลยเที่ยงไปแล้ว หลายคนท้องร้อง คอยให้ผู้รับผิดชอบงานสัมมนาบอกให้หยุดพักได้“วันนี้ไปรับประทานอาหารในสถานที่แปลกๆ กันนะ”....เธอร้องบอก ขณะที่ทุกคนเร่งเดินออกจากห้องประชุมมุ่งหน้าไปที่ร้านอาหาร......“เขาบอกว่าจะทานข้าวบนผิวน้ำ!”....หนุ่มฟิลิปปินส์คนหนึ่งเดินเข้ามาพูดกับผม“อ้าว! จะไปทานได้ไงล๋ะ?”“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”ผมมองหน้าเขา แล้วหนุ่มคนนั้นก็มองหน้าผม ในที่สุดเราทั้งสองก็หัวเราะ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรอีก…
แสงพูไช อินทะวีคำ
หยุดการพูดถึงวรรณคดีปฏิวัติไว้สักระยะหนึ่งก่อน แล้วค่อยพูดกันต่อไป...หันมาพูดเรื่องวัฒนธรรมให้อิ่มใจสักนิดหนึ่ง.........เพื่อนฝั่งเชียงของบอกผมว่า อยากอ่านงานเขียนเกี่ยวกับเรื่องวัฒนธรรมลาว ผมก็นึกจะเขียนตามนั้น แต่พอเอาเข้าจริงๆ มันไม่ใช่อย่างที่นึกเอาไว้ เพราะวัฒนธรรมชุมชนในบางแห่งเลือนหายไปอย่างมาก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนก็คงเป็นพิธีกรรมขอน้ำฟ้าน้ำฝนของชุมชนในชนบท เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ผมก็คิดไปว่า เราจะพูดเรื่องนี้ให้ใครฟัง? จะพูดให้ตัวเราเองฟังก็อายตัวเอง เพราะเหตุการณ์มันไม่ใช่เป็นไปอย่างเดิมแล้วผมขอพูดถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างทางพิธีกรรมดีกว่า…
แสงพูไช อินทะวีคำ
วรรณคดีปฏิวัติที่กล่าวถึงมากที่สุดก็คงจะเป็นปรปักษ์สองด้าน คือ การปฏิวัติและระบบการปกครองเก่า การสะท้อนให้เราได้เห็นความอยุติธรรม นักประพันธ์ปฏิวัติสะท้อนให้เห็นภาพในระบบการปกครองเก่าได้ชัดเจน ว่า ระบบการปกครองเก่า เวลาใดก็เป็นปรปักษ์อย่างที่สุดต่อกับการปฏิวัติ ความอยุติธรรมส่วนมากก็คงเกิดขื้น บนแผ่นดินที่นอนอยู่ใต้แห่งการควบคุมของระบบการปกครองของระบบเก่าที่เวลาใดก็เป็นศัตรูสุดขีดต่อการปฏิวัติลาว ในบทประพันธ์สะท้อนให้เห็นมากที่สุดก็คงเป็น หนุ่มสาวพร้อมเพรียงกันหลบหนีจากแผ่นดินเกิดของเขา ไปหาการปฏิวัติวรรณคดีปฏิวัติที่พบเห็นส่วนมาก นักประพันธ์ชอบใช้ในรูปของการบันทึกเป็นส่วนใหญ่…
แสงพูไช อินทะวีคำ
มีหลายอย่างที่สะท้อนออกมาให้เราได้เห็นและคิด เมื่อมองเห็นภาพโดยรวมที่ว่า- -ทำไมนักเขียนถึงกำเนิดขึ้นในระยะที่ประเทศชาติทำการปฏิวัติชาติประชาธิปไตย? นักเขียนปฏิวัติมีจุดยืนของตัวเองอย่างไร เพื่อเขียนบทประพันธ์ของตน? นักประพันธ์ปฏิวัติมองเห็นข้อบกพร่องอะไรบ้างของระบบล่าอาณานิคมแบบเก่าและใหม่? พวกเขาใช้หลักการประพันธ์อย่างไรเพื่อให้คนอ่านได้มองเห็นความสมจริงของเรื่อง? นักประพันธ์ปฏิวัติมีความต้องการให้เข้าใจการปฏิวัติอย่างไรและเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งต่อระบบจักรววตินิยม? คำถามเหล่านี้ตั้งขึ้นเพื่อการหาคำตอบว่า นักประพันธ์มีจุดยืนของตนอย่างไรเพื่อการเขียน!…
แสงพูไช อินทะวีคำ
ในประเทศลาว หากเอ่ยถึงวรรณคดีปฏิวัติแล้ว หลายคนก็เข้าใจทันทีที่เอ่ยถึง ว่าเป็นบทวรรณคดีที่แต่งขึ้นในยุคที่ทำการปฏิวัติชาติประชาธิปไตย ซึ่งเป็นระยะที่ประเทศชาติลาวตกเป็นอาณานิคมของจักรพรรดิเก่าและใหม่ ระยะนี้วรรณคดีเกิดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์อยู่อย่างหนึ่ง คือ เป็นเครื่องมือรับใช้ให้แก่การปฏิวัติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปลดปล่อยประเทศชาติและประชาชนออกจากการกดขี่ของจักรวรรดินิยม เพื่อให้ชาติและประชาชนมีเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตยประชาชนเมื่อเป็นเช่นนั้น วรรณคดีปฏิวัติระยะนี้จึงมีความสำคัญมากในการประกอบส่วนเข้าในการโฆษณาเผยแพร่ผลงาน และการชนะสงครามของการปฏิวัติ,…