Skip to main content

เรื่องสั้นเรื่องนี้ ผมเขียนขื้นเมื่อปี คศ. ๑๙๙๕ ในขณะที่ผมเดินทางไปรอบๆ เมืองปากเช แขวงจำปาสัก เป็นระยะแห่งการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจ ลงพิมพ์ที่วารสารวัณนศิล เมื่อปี คศ. ๑๙๙๕ และลงพิมพ์ที่หนังสือพิมพ์เวียงจันท์ใหม่เมื่อปี คศ. ๒๐๐๐ แปลโดย ทองคร้าม ทองขาว เรื่องสั้นเรื่องนี้จะรวมเล่มเรื่องสั้นที่มีภาษาไทย ลาว และภาษาอังกฤษด้วย โดย Mekong Post

“สีนวล! น้องแก้บทเลขแล้วบ่?” สมอกถามด้วยความห่วงใย
“น้องแก้บ่ได้! มันยากหลายแท้...!” เธอตอบด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ สมอกนั่งลงข้างๆ เธอแล้วยิ้มขึ้นมา ทั้งสังเกตท่าทางของสีนวลอย่างสงบ และอมยิ้มให้กับตนเองก็คือความรักในวัยเรียน
“อย่าเฮ็ดหน้างอหลาย สิซ่วยดอกอี่แม่ทูนหัวเอ๋ย!”
“บ้าเอย!” สีนวลเอากำปั้นอันบอบบางของเธอทุบตีสมอกทั้งทำหน้าปูดบึ้ง สมอกจึงพูดขึ้นมาว่า
“เซาๆ สิแก้ให้เดียวนี้แหละ...!”

สมอกและเธอเหมือนมีบางสิ่งจองจำ เขาพร้อมที่จะเอาอกเอาใจ และช่วยเหลือเธอทุกอย่าง เมื่อเธอมีปัญหา หากแม้ว่าการจากกันไปคนละทางเป็นกฎเกณฑ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เกิดขึ้นจริง เขาและเธอได้จากกันเมื่อเรียนจบชั้นอุดม สมอกได้ทุนไปเรียนวิชาเฉพาะที่ต่างประเทศ ภายหลังที่เรียนชั้นเตรียมอยู่ในวิทยาลัยสร้างครูดงโดก เวียงจัน...แต่ความฝันของเธอนั้นถูกฟองพายุชีวิตพัดกระหน่ำให้สลายไปในชั่วพริบตาเดียว เพราะพ่อผู้บังเกิดเกล้าของเธอต้องมาจากไปอย่างไม่มีวันกลับคืนมาด้วยโรคชรา วันนั้นวันที่คนสองคนต้องได้พลัดพรากจากกันเป็นวันที่สีนวลจดจำได้ไม่เคยลืมตลอดมา...    

“สีนวล! อ้ายแสดงความเสียใจและเห็นใจน้องที่พ่อ...” เธอได้แต่สะอื้นไห้พร้อมกับปล่อยเสียงอันแผ่วเบาเหมือนคนหวังออกมา
“น้องคงไปเฮียนต่อบ่ได้อีกแล้ว”    
“เป็นหยังจึงว่าไปบ่ได้?”
สมอกถามด้วยความสนใจ
“หมดหวังแล้ว! ความหวังของข้อยอยู่กับพ่อและแม่ ข้อยไปแล้วไผจะอยู่นำแม่กับน้อง!”

ความจริงแล้วในเวลานั้น น้องของเธอแต่ละคนยังเด็ก และยังไม่มีใครสามารถช่วยเหลือครอบครัวเพื่อแบ่งเบาภาระของแม่ นอกจากไปโรงเรียนเท่านั้น คนที่จะช่วยแม่ก็มีแต่สีนวลเท่านั้น
“น้องถามคักแล้วบ่? ถามเพิ่นให้คักๆ ก่อน แต่เรื่องพ่อของน้องอ้ายก็เสียใจ เพราะมันเป็นเรื่องสุดวิสัยอี่หลี”

คำพูดของเขายิ่งทำให้เธอสะอื้นขึ้นเสียงดังกว่าเดิม เขาไม่รู้จะทำอย่างไรได้แต่ปลอบใจเธอเท่าที่สามารถทำได้ในเวลาอยู่ใกล้กัน
“อดทน! แต่ถ้าหากว่าน้ำตาของน้องไหลออกมา แล้วจะช่วยให้น้องมีความสุขนั้น จงปล่อยให้มันไหลออกมา ปล่อยให้ไหลออกมา เพื่อระบายความโศก”

สมอกทั้งพูดทั้งยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาของตนเองที่ไหลซึมออกมาโดยไม่รู้ตัว เพราะความห่วงใย และสงสารเธอ สมอกจึงกลายเป็นผู้ที่คอยแบ่งเบาภาระความเศร้าเสียใจของเธอ คำพูดปลอบใจของสมอกที่หวังจะให้สีนวลหยุดร้องไห้ แต่ก็เหมือนว่าได้เพิ่มความเศร้าสะเทือนใจให้กับเธอ และเธอก็ยิ่งสะอึกสะอื้นแรงขึ้นกว่าเดิม พร้อมทั้งผวาเข้ากอดสมอก เสียงสะอื้นของเธอล้วนเต็มไปด้วยความเศร้าโศกทุกข์ระทมกับการจากไปของพ่อ เพราะพ่อเหมือนกับศูนย์กลางประสาทที่เชื่อมร้อยความรักระหว่างทุกคนในครอบครัว การจากไปจึงเหมือนกับว่า ความหวังของทุกคนต้องสลายหายไปอย่างไร้ที่พึ่ง

วันเวลาได้ผ่านไป จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี และหมุนผ่านไปเรื่อยๆ สีนวลต้องเอาตัวรอดเพียงลำพัง สีนวลต้องอยู่เหย้าเฝ้าเรือนกับแม่ เพื่อช่วยแม่ดูแลน้องๆ ให้น้องๆ ได้เรียนหนังสือ ในปลายเดือนสิงหาคมไปถึงต้นเดือนกันยายน ปี ๙๕ นี้ สมอกเพื่อนรักของเธอก็ออกเดินทางไปเวียงจัน เพื่อเตรียมตัวไปต่างประเทศที่ศูนย์การเตรียมการไปต่างประเทศดงโดก

เวลาผ่านไปนานเท่าใด ความโศกเศร้าที่เคยมีก็ค่อยๆ หายไปตามเวลา แต่ก็ยังไม่วายที่จะคิดถึงเพื่อนชายของเธอ ทุกๆ วันเธอได้แต่ตั้งหน้าตั้งตาเรียนรู้การทำอาหาร และการทำงานบ้านอย่างอื่น เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของแม่

ทุกวัน สีนวลต้องตื่นแต่เช้าจับแอกจับไถมุ่งหน้าสู่ทุ่งนา เธอทำงานเหมือนผู้ชายทุกอย่าง เพราะถ้าเธอไม่ทำงานแทนหัวหน้าครอบครัว ความขาดแคลนก็จะเกิดขึ้น อีกทั้งแม่ของเธอก็ทำงานหนักเหมือนแต่ก่อนไม่ได้ แม่ทำได้เพียงก่อไฟหุงข้าวในตอนเช้า เพื่อให้น้องได้กินก่อนไปโรงเรียน

วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เวลาผ่านไป เวลาได้กระชากลากดึงเอาอายุสังขารของคนเราให้เดินทางไปด้วย ในวันที่แม่ทำงานอะไรไม่ได้อีก สีนวลต้องแบกภาระเลี้ยงดูครอบครัวเพียงลำพัง แต่ยังดีที่น้องสาวคนรองยังพอช่วยงานบ้านเล็กน้อยได้ สถานภาพการดำรงชีวิตในช่วงนี้ทำให้สีนวลต้องคิดหนักขึ้นกว่าเดิม หัวงยามเช่นนี้สีนวลคิดไม่ออกเช่นกันว่าจะแสวงหาทรัพย์สินเงินทองมาจากไหนมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องที่รอรับความอิ่มเอม ทั้งต้องหาเงินส่งน้องเรียนหนังสือ ปัญหาทั้งหมดนี้ทำให้สีนวลพยายามหาทางออกให้กับตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าประตูที่เปิดออกสู่ความสว่างนั้นมืดบอด ยิ่งคิดยิ่งมองไม่เห็นหนทาง ถึงจะทำนาได้ แต่มันก็ได้น้อย เพราะแรงคนทำมีน้อย ผลผลิตที่ได้จากนาจึงไม่สามารถเลี้ยงคนทั้งครอบครัวได้ ชีวิตอดมื้อกินมื้อทำให้สีนวลคิดแล้วคิดอีก กว่าจะหาปั้นข้าวเหนียวและอาหารที่อร่อยมาให้คนในครอบครัวได้กินก็เลือดตาแทบกระเด็น มันช่างเป็นชะตาชีวิตที่อับจนจริงๆ เมื่อมีจุดประสงค์เพื่อให้คนในครอบครัวได้อยู่ดีกินดี และน้องๆ ได้เรียนหนังสือจนจบชั้นวิชาเฉพาะ เธอจึงตัดสินใจขออนุญาตแม่ เพื่อเดินทางเข้าสู่เมืองตามคำชักชวนของเพื่อนฝูง ก่อนจะออกเดินทาง ๒-๓ วัน เธอยังจำทุกถ้อยคำของสีจันเพื่อนของเธอได้ดี

“สีนวลไปเฮ็ดเวียกอยู่บ่อนเฮาเฮ็ดหั่นหนา...!”
“อยู่บ่อนเฮ็ดนั้นแม่นเฮ็ดยัง”
สีนวลย้อนถาม
“มีแต่รับแขกสื่อๆ ดอก” สีจันตอบด้วยท่าทางโอ้อวดภูมิใจ
”รับแขกแนวใดละ” สีนวลตัดสินใจถามเพื่อลดความสงสัยของตัวเอง
“เอา! สิยากหยัง รับแขกก็มีแต่รินเหล้ารินเบียร์ให้เขาเท่านั้น” สีจันเห็นสีนวลไม่พูดจึงพูดย้ำอีก เพื่อให้สีนวลเข้าใจเพิ่มขึ้น
“มีบางมื้อโชคดี แม่นได้เงินตั้งเป็นสิบๆ พัน ท่าหากได้นั่งนำเถ้าแก่ผู้ใจดี”

เมื่อพูดถึงเงินสีนวลยิ่งมีความจำเป็น และต้องการมันมากที่สุด เพราะเธอนึกถึงสภาพของแม่ พร้อมทั้งการร่ำเรียนของน้องๆ
“เฮ็ดใดจั่งได้หลายปานนั้น โตบอกเฮาได้บ่สีจัน”

สีจันเห็นท่าทางของสีนวลจึงนั่งไขว้ห้างมือคีบบุหรี่ส่งเข้าปากก่อนจะอัดเขาปอดเฮือกใหญ่
“มันสิยากหยัง นั่งนำเพิ่นรินเหล้าให้เพิ่น เอาอกเอาใจเพิ่นก็เท่านั้นแล้วก็บ่มีหยัง...”

รถตกหลุมเธอจึงตื่นจากละเมอ บนเส้นทางจากเมืองปทุมพร รถโดยสารได้โอบอุ้มเอาหลายชีวิตบนรถรวมทั้งสีนวลหญิงสาวผู้ยังอ่อนต่อโลกมุ่งหน้าสู่เมืองปากเซด้วย เธอภมิใจที่จะได้ทำงานตามคำแนะนำของเพื่อน แต่ในใจก็อดคิดถึงสมอกเพื่อนชายผู้ไปเรียนต่อต่างประเทศไม่ได้   เธอได้แต่หวังว่า ในวันหนึ่งข้างหน้าจะได้พบกันอีกครั้ง

วันแรกของการทำงาน สีจันพาเธอไปพบหัวหน้าห้องอาหารแห่งหนึ่ง เมื่อไปถึงสีนวลได้รับการพิจารณาจากผู้จัดการร้านทันที สีนวลได้รับความเห็นใจไม่มีคำตำหนิใดๆ เพราะสีนวลเป็นคนงาม และพร้อมไปด้วยกุลสตรีสมบัติ เธอไม่ต่างอะไรกับเทพธิดาตกยาก ความสวยของสาวบ้านป่าไม่ได้ทำให้เธอพ่ายแพ้สาวในเมืองเลย

“อ้ายจะเบิกเงินจำนวนนี้ให้น้องก่อน เพื่อน้องจะได้เอาไปเสื้อซื้อผ้าใส่ และฝากไปให้แม่กับน้อง” ผู้จัดการแสดงความคิดเห็น

สีนวลดีใจจนน้ำตาเอ่อคลอเบ้า เป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอที่ได้รับความเมตตาจากคนอื่น ซึ่งเธอเองก็ไม่รู้เลยว่าเขามีเล่ห์เหลี่ยมเช่นใด จากวินาทีนี้ไป ชีวิตของสีนวลก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไป ทั้งการแต่งตัว การส่งสายตาอันหน้าสงสารไปหาคู่สนทนา เวลาในการพักผ่อนก็เปลี่ยนแปลง ตอนกลางวันนอนพักผ่อนเอาแรง ตอนกลางคืนก็ทำงาน เพื่อบริการแขกที่มาใช้บริการในยามกลางคืนที่มีจำนวนมาก คนที่มาเที่ยวในตอนกลางคืนนั้นส่วนมากก็เป็นคนมีเงินที่คนทั่วไปมักชอบเรียกว่า ‘เถ้าแก่’ สองฝ่ามือที่เคยจับคราดไถจนดำกร้านก็ถูกขัดสีฉวีวรรณจนสะอาดสะอ้าน มือที่เคยใช้จับกะปู แปรเปลี่ยนเป็นมือจับแก้วเบียร์ให้แขก ภายในเดือนแรกก็มีคนมาโปรยหว่านคำหวานให้อยู่เสมอ วันนี้ก็เช่นกัน สีนวลก็ถูกล้อมรอบด้วยคำพูดแสนหวานจากคนที่มาดื่ม

“น้องคนงามเอย! น้องมีชื่อว่าแนวใด เห็นหน้ากันแต่โดน หากว่าบ่ทันฮู้ชื่อกันบอกอ้ายได้บ่” ฟังแล้วสีนวลขนแขนชูชัน เพาะคำว่า ‘อ้าย’ ที่หลุดออกมาจากปากของแต่ละคนนั้นน่าจะเรียก ‘อี่พ่อ’ มากกว่าจึงจะเหมาะสม แต่เธอก็ต้องอดทน ถึงแม้ว่าจะรู้สึกคลื่นไส้และเวียนหัว
“น้องชื่อสีนวล” เธอตอบพร้อมกับปล่อยรอยยิ้มออกมา
“โอ่! จั่งแม่นชื่อม่วนหนอ ชื่อก็งามนามก็คล่อง...” เขาผู้พุงโย้ตุ้ยนุ้ยกล่าวชม
“ชื่อบ่ม่วนจะเฮ็ดแนวใด โตก็เบิ่งติว่าลาวงามขนาดใด ดาราไทยังบ่ปาน” เขาผู้หัวล้านเลี่ยนทั้งพูดทั้งยักคิ้วใส่เธอ ด้วยความหวังจะได้ร่วมสัมพันธ์กับเธอ เธออดไม่ได้กับคำกล่าวชมเชยที่เกิดขึ้นหลายครั้ง เธอจึงพูดขึ้นว่า

“อย่าหย้องหลายเทาะ น้องบ่แม่นคนงาม...” เธอทั้งพูดทั้งหน้าแดงขึ้น ชายหัวล้านยิ่งได้ใจ เลยรีบพูดก่อนคนอื่นว่า
“ไผว่าน้องบ่งาม ถ้าน้องบ่งามจ้างหัวแตกอ้ายก็บ่มาบ่อนนี้ทุกมื้อดอก” ปากก็พูดไป แต่มือก็กอดเอวของเธอเอาไว้ประหนึ่งแร้งเห็นลูกไก่ จะย้ายที่นั่งก็อายคนอื่นเขา เธอจึงต้องทน และค่อยๆ เอามือของเขาออกจากเอวตัวเอง เขากลับยิ่งได้ใจและพูดขึ้นมาด้วยเสียงอันดังกว่าเดิม
“อย่าเล่นโตหลายตี้! อ้ายฮักน้องใด๋ อ้ายจึ่งเฮ็ดแนวจั่งซี่...! น้องต้องการหยังบอกอ้ายมา อ้ายจะหาให้ทันที! น้องฮู้จักบ่ว่า อ้ายต้องการน้องเท่านั้น อ้ายต้องการน้องคนเดียว”
“บ่แม่นเล่นโตดอก น้องคิดว่ามันบ่งามเท่านั้นแหละ!” เธอตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้เขา แล้วจึงพูดขึ้นว่า
“เฮ็ดแนวนั้นมันบ่งาม อันหนึ่งอ้ายกะมีเมียมีลูกแล้ว จักหน่อยพอลูกเมียอ้ายฮู้จะมีเรื่องบ่ดีเกิดขึ้นเด้”

คำพูดของเธอยิ่งทำให้ชายหัวล้านได้ใจ และพูดเสียงดังกว่าเดิม
“สิมีเรื่องหยังส่ำเมีย เงินเฮาก็หามาให้จ่ายบ่อดอยากปากแห้งหยัง สิเอาเมียน้อยอีกจัก ๑๐ คนกะสิเป็นหยัง!”
สีนวลได้แต่ก้มหน้าก้มตาด้วยความอาย เพื่อทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ ชายหัวล้านจึงพูดขึ้นมาว่า
“มื้อนี้อ้ายจะเมือก่อน มื้ออื่นอ้ายจะมาใหม่ให้น้องคิดดีๆ ไว้ว่า อ้ายยังเป็นห่วงน้อง อ้ายให้น้องไว้จ่าย ๓๐,๐๐๐ กีบ ถ้าหมดยามใดบอกอ้ายโลดเด้อ!”

เธอรับเอาเงินด้วยมือสั่นๆ แล้วเธอก็หวนนึกถึงคำพูดของสีจัน ต้องเอาอกเอาใจเขา เพื่อจะได้เงิน เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เธอจึงพูดขึ้นมาว่า
“ได้แล้ว! ขอบใจหลาย น้องบ่เอาดอก...” คำพูดของเธอทำให้เจ้าของเงินต้องชะงัก เขาเพ่งมองใบหน้าเธอเนิ่นนาน แล้วจึงพูดขึ้นว่า
“บ่เป็นหยังดอก น้องบ่ต้องหย้านหยัง อ้ายจะช่วยเหลือน้องเท่าที่อ้ายช่วยได้...มื้ออื่นอ้ายสิพาน้องไปเที่ยวไปกับอ้ายบ่ เพราะมื้ออื่นแม่นวันพัก?”
“จะไปเที่ยวไส? น้องบ่เคยไปเที่ยวจักเทื่อ”
เธอกึ่งถามกึ่งปฏิเสธ
“จะไปตาดฤาษี! น้องจะไปนำบ่? บ่เคยก็ลองไปเบิ่งตี้ บ่เป็นหยังดอก...” เขาทั้งพูดทั้งแลบลิ้นปลิ้นตาตามนิสัยของคนพาล จากนั้นมาสีนวลจึงถูกหยอกเย้าอยู่เรื่อยๆ เธอรู้สึกอึดอัดเป็นเพราะว่า เธอไม่เคยชินกับสนามรบแบบนี้สักครั้ง โดยเฉพาะสีจันเพื่อนของเธอที่ชักชวนมาทำงานด้วยกัน

“สีนวลเป็นนางเอกแล้วเด้อหมู่เฮาเอ้ย เพราะเขาเป็นคนงามมันก็แนวนี้โลดแหล่ว” เสียงพูดของสีจันที่คอยพูดกระทบกระเทียบให้ได้ยินอยู่เสมอ
“คันฮู้ว่าเฮ็ดแนวนี้! จ้างหัวแตกเฮาก็บ่มา...” สีนวลพูดออกมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก
“บ่เฮ็ดแนวนี้โตจะเฮ็ดแนวใด? ...เฮ็ดเวียกอื่นมันบ่ได้ดีท่อกับเฮ็ดอันนี้ดอกสิบอกให้...”
สีจันย้ำคำพูดของตัวเองพร้อมกับยื่นหน้ายื่นตาไปมาตามนิสัยของคนที่ชอบอวดตนว่าฉลาด

๒-๓ เดือนผ่านไป, มาถึงวันนี้สีนวลก็รู้สึกว่า ตนเองมีความคุ้นเคยกับกับอาชีพนี้เพิ่มขึ้น ยิ่งนานเท่าไหร่ สีนวลก็ยิ่งถลำลึกเข้าไปทุกวินาที แม้แต่สมอกเพื่อนรักของเธอที่เธอคิดว่าเธอรักสุดหัวใจ ก็ถูกลืมไปบางครั้งบางคราว เยื่อใยความสัมพันธ์แต่หนหลังระหว่างสมอกและเธอเริ่มเป็นสนิมยิ่งนานเท่าไหร่ยิ่งบอบบางลงทุกที ชีวิตของเธอเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก กลางวันนอน กลางคืนออกไปทำงาน พอเลิกงานตามหน้าที่แล้วก็ออกไปเที่ยว ซึ่งตอนนี้มันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของเธอ

นับแต่วันที่ก้าวออกจากบ้านมาอยู่ร้านอาหาร เส้นทางนี้ได้บั่นทอนการส่งข่าวคราวระหว่างเธอ และสมอกให้เหินห่างออกไป สัญญาใจที่ทั้งสองเคยให้ไว้แก่กันมลายไปตามกาลเวลา ป่านนี้สมอกคงเรียนจบและเดินทางกลับบ้านเกิด ถ้าสมอกมาพบเธอในตอนนี้ก็คงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกัน คงทำได้เพียงหลบหน้าหลบตา เพื่อไม่ให้เจอกันเลยคงเป็นเรื่องดี เพราะสิ่งที่เธอทำอยู่ในตอนนี้ สมอกคงจะผิดหวังเป็นอย่างมาก ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวพายุของชีวิตที่พัดโหมเข้ามาไม่ขาดสาย ยิ่งมาคิดถึงความรักที่เธอมอบให้กับสมอก มันสมควรจะเป็นความรักของเขาเพียงผู้เดียว แต่ตอนนี้ความหวังนั้นมันเลือนลางห่างไกลสิ้นดี ภาพของอดีตได้ผุดขึ้นมาในจิตใต้สำนึกของเธอ น้ำตาที่คลอเบ้าอยู่ได้หลั่งไหลอาบพวงแก้มที่ฉาบไว้ด้วยแป้งฝุ่น เพื่อบดบังรอยหม่นเศร้าบนใบหน้า

ชีวิตที่เคยมีความสุขอยู่กับท้องนาได้ฉายกลับมาอีกครั้งในความทรงจำ อดีตเด็กสาวจูงควายไปกินหญ้า ความหวังที่จะพร้อมหน้าพร้อมตาแม่และน้องๆ เพื่อช่วยกันทำมาหากินได้ปรากฏขึ้นในความคิด เวลานั้นเธอคงจะมีครอบครัวแล้วมีลูกสักคนเพื่อเอาไว้ให้พ่อแม่ได้ชื่นใจ
“ถ้าหากบ่ตกทุกข์ได้ยากแม่เอย หวังว่าจะได้ลูกเขยมาอยู่เฮือน เพื่อดูแลแม่ หย้อนแม่เฒ่าแก่แล้ว ความหวังสุดท้ายของแม่ก็คือลูกสาวคนนี้คนเดียวที่จะดูแลแม่ เมื่อเวลาแม่ตายจากไปสิ่งที่เป็นมรดกตกทอดคือวัว ๕ ตัว ควายอีก ๓ ตัว เฮือนเสาตั้งแอ้มมุงหลังคาสังกะสี ซึ่งเป็นสมบัติของแม่และพ่อพร้อมกันสร้างด้วยสองฝ่ามือเปล่า อดมื้อกินมื้อ เพื่อเก็บหอมรอมริบได้เทื่อละกอบละกำ สะสมให้ลูกได้สืบต่อไป” นั้นคือความหวังของพ่อแม่ มันคือจิตวิญญาณของคน เพื่อสร้างคนให้มีคุณค่า

หยาดน้ำค้างตกใส่หัวของสีนวลจนขนแขนชูชันเพราะความเย็น ถึงแม้จะหนาว แต่ความหนาวของอากาศในเดือน ๑๒ คงไม่อาจทำให้เธอหนาวจนตาย แต่ความหนาวที่เกาะกุมอยู่ในดวงใจของเธอคือตัวต้นเหตุที่ทำให้เธอหนาวเย็นจนตัวสั่นเหมือนก้อนน้ำแข็ง ความหนาวเย็นเริ่มเพิ่มขึ้นจนเธอไม่สามารถเคลื่อนไหวไปมาได้อีก มีแต่เพียงคราบน้ำตาเท่านั้นที่ซึมออกมาแล้วไหลลงเพื่อชะล้างรอยโศกเศร้านั้นหรืออย่างไร เรื่องเช่นนี้มันเป็นเช่นไรก็คงเป็นเรื่องยากที่ใครๆ จะรับรู้ และเข้าใจกับเธอ ความหนาวเย็นของอากาศตอนดึก ทำให้เธอสะบั้นไปทั้งตัว สีนวลนั่งชันเข่าเอาปลายค้างวางทับหัวเข่า สองแขนกอดเข่าแน่นนิ่ง น้ำตา และน้ำมูกหลั่งไหลกันออกมา ในชีวิตนี้เธอคงหมดหวังเสียแล้ว...เธอสะอึกสะอื้นอยู่กับความสิ้นหวัง...

ดวงจันทร์เคลื่อนตัวไป แสงของมันสาดส่องใส่กิ่งมะพร้าวที่ยืนต้นตากหมอกตากลม เงาของมันบดบังสีนวลให้จมอยู่กับความมืด ทั่วทั้งบริเวณดูอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเป็นทวีคูณ เธอลุกขึ้นเช็ดน้ำตาแล้วก้มหน้าเดินเข้าห้องพักด้วยความขมขื่น เมื่อไปถึงที่นอน เธอก็ทิ้งร่างอันบอบบางลงบนที่นอน ที่ตรงนี้ที่นอนแห่งนี้ทำให้เธอมีความสุข และเป็นสิ่งที่เธอเลือกแล้ว ซึ่งมันสามารถส่งเสียให้น้องได้เรียนหนังสือ บัดนี้คล้ายกับว่ามีแต่หนามที่คอยทิ่มแทง จนทำให้เจ็บปวดไปทั้งตัว จนไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ รอยยิ้มของสมอกปรากฏขึ้นมาอีกครั้งในห้วงนึก ภาพนั้นปรากฏขึ้นมาครั้งใด ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงมายาภาพ แต่ก็ทำให้เธอรู้สึกอับอาย

ไก่ขันสอง ไก่ขันสาม และเริ่มที่ขึ้นเรื่อยๆ เธอลุกขึ้นพับผ้าและเก็บข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดใส่ลงไปในหีบ เพื่อจะไปจากที่นี้ ไปตามหาสิ่งที่เธอยังหวงและห่วงหา เสียงจิ้งหรีดเริ่มส่งเสียงร้องมาจากฟากกำแพงอีกด้านหนึ่ง เหมือนกับว่ามันสรรเสริญความคิดของเธอ ถ้าหากว่าเธอไปเพื่อแสงสว่างของชีวิต

สีนวลลุกขึ้นจับเอากระเป๋าแล้วก้าวออกจากที่แห่งนั้น ซึ่งเป็นสถานที่ที่เธอคิดว่า มันคือขุมนรกของคนที่ยังมีชีวิตจิตใจ เธอหันหลังกลับไปมองที่ที่เธอเคยเอาหัวหนุนหมอนนอนเสื่อแล้วก็บ่นงำงึมกับตัวเอง
“ลาก่อน! ความหวัง! ลาก่อน ภาพแห่งมายาหลอกหลอน! ลาก่อนแดนสวรรค์ของคนมีเงิน”
เธอสวมเสื้อสีขาวมือหิ้วกระเป๋าเดินฝ่าความมืดไปเบื้องหน้าโดยไม่หันหน้ากลับมามองเบื้องหลังอีก เธอเดินไปสู่หนใด ในที่นี้คงไม่มีใครรู้ คงมีแต่เธอผู้เดียวเท่านั้นที่รู้

“สาธุเด้อ! สาธุ ขอให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จงได้คุ้มครองลูกสาวของผู้ข้าให้ตลอดปลอดภัยด้วยเถิด...”
แม่พยายามประคับประคองร่างอันเหี่ยวย่นเต็มทีเพื่อมานั่งยังแท่นบูชาพระ เพื่อสวดมนต์ขอพรให้สีนวล สองมือสั่นเทาของแม่กำธูปแน่นก่อนปักลงบนแท่นบูชาพระ หลังจากนั้นก็ยกมือข้างซ้ายขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่ไหลซึมออกมาเต็มขอบตาที่แห้งเหี่ยวของแม่

หลังได้ยินเสียงฝีเท้าเดินขึ้นบันไดมาแล้วก็ห่างออกไป แม่ใช้สองมือพยุงร่างที่ลุกก็โอยนั่งก็โอยหันหน้ามาทางประตู แม่เพ่งสายตาที่เห็นพอเลือนลางนั้นขึ้นจนเต็มที่
“แม่นไผหวะ...”
แม่พูดอะไรไม่ได้อีกแล้ว นอกจากน้ำตาแห่งความดีใจชักชวนกันหลั่งไหลออกมา...
“แม่เอย! แม่ ลูกกลับมาแล้ว”
สีนวลร้องเรียกแม่พร้อมกับผวาเข้าไปกอดแม่ด้วยความรัก สองแม่ลูกร้องไห้ฟูมฟายน้ำตาของทั้งสองเหมือนว่ามันอยู่ไกลแสนไกล แล้วเดินทางมาพบกัน

“ลูกเอย! มาอยู่เฮือนของเฮาสา! อย่าไปไสอีกเทาะ...”
“แม่! ลูกกลับมาคราวนี้...ลูกจะบ่ไปอีกแล้ว...”

เธอหิ้วเอากระเป๋าเดินเข้าไปในห้องที่เธอเคยนอนเมื่อ ๕-๖ ปีก่อน ห้องนอนที่เคยนอนยังอยู่ในสภาพเดิม ภาพคู่ของเธอและสมอกยังตั้งอยู่บนหลังตู้ ภาพแห่งอดีตได้ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง เธอถือรูปภาพใบนั้นขึ้นมาดูพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบพวงแก้ม เธอบ่นงำงึมกับตัวเองอีกครั้ง

“อ้ายสมอก! น้องขอโทษ! น้องมีความผิดต่ออ้ายอย่างหลาย...”
พูดเสร็จ เธอก็ฟุบหน้าลงใส่รูปแผ่นนั้น สะอื้นไห้แรงขึ้นกว่าเดิม ฝ่ามืออันเหี่ยวย่นถูกวางลงบนหลังของสีนวลแผ่วเบา
“ช่างเทาะ ลูกเอย! ขอให้เหตุการณ์ร้ายนี้ผ่านไปตามกาลเวลาเสียเถอะ! ความดีเท่านั้นที่เฮาจะต้องยึดถือเอาไว้”

บล็อกของ แสงพูไช อินทะวีคำ

แสงพูไช อินทะวีคำ
  น้องกล่าวว่าสะพานข้ามของโยงใจรัก เชื่อมสัมพันธ์แน่นหนักสองฝั่งของ แต่อ้ายว่าสะพานขัวนั้นมันเชื่อมโยง สองฝั่งของของน้องพี่คู่เคียงกัน
แสงพูไช อินทะวีคำ
 
แสงพูไช อินทะวีคำ
      สุขลุลาภได้.....................ชัยประเสริฐยอถืง เลิงๆเบยบานสุข...............ทุกข์อย่าเวินมาต้อง ความหมองเหยหายเสี้ยง....เหลือเพียงความซ้อยชื่น หมื่นปีสุข์อยู่สร้าง..............ปางฟ้าสหง่างาม....ท่านเอ๋ย  
แสงพูไช อินทะวีคำ
  คนสมัยนี้ ช่างแปลกดี เปลี่ยนแปลงไป ลบทิ้งได้ ความดีงาม ที่มีอยู่ ความดีแท้ เขาสร้างสรรค์ ครารุ่นปู่ ไม่เหลืออยู่ คนรุ่นนี้ ลบทิ้งไป  
แสงพูไช อินทะวีคำ
   
แสงพูไช อินทะวีคำ
เดือนสว่างพรางแพรวแล้วแก้วตา คราตามองยังไม่ชัดดูมืดมัว ไม่ใช่ว่ากลัวผีคืนเดือนดับเป็นสลัว เพราะตามัวหรือมั้ยรู้จริงดูขรึม
แสงพูไช อินทะวีคำ
  แสงพูไชย อินทะวีคำ เขียนสุมาตร ภูลายยาว แปล  จำปีพยายามปั่นจักรยานเก่าๆ คู่ชีพของตนไปตามถนนเรื่อยๆ ทั้งวันตามคำแนะนำของป้าจำเริญ ที่หลายคนขนานนามให้แก่ว่า ‘คุณป้าแสนรู้' เพราะคนจะขายบ้านอยู่ตรงไหน ถนนใด ซอยใด คุ้มใดในขอบเขตเมืองเวียงจัน ไม่เป็นอันหลุดรอดสายตาป้าไปได้ จำปีทั้งปั่นทั้งยกมือขึ้นเอาชายเสื้อเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาราวกับน้ำจากรางริน เพราะความร้อนของอากาศเมืองเวียงจันในช่วงเดือน ๕ ของปี ๒๐๐๓
แสงพูไช อินทะวีคำ
เขียน: แสงพูไชย อินทะวีคำ แปล: สุมาตร ภูลายยาว แม้จะบิดเร่งคันเร่งเท่าไหร่ รถจักรยานยนต์ยังวิ่งช้าเหมือนเต่าคลาน  ที่เป็นอย่างนี้คงเพราะความเร่งรีบอย่างไปถึงไปรษณีย์ให้เร็ว เพราะชั่วโมงทำงานใกล้มาถึง มือบิดคันเร่งพอๆ กับหัวใจที่ร้อนรนกลัวไม่ทันเวลา  สายตาจึงต้องเพ่งมองไปตามถนนเพื่อหลบรถคันแล้วคันเล่าก่อนจะเลี้ยวซ้ายเข้าไปสู่ไปรษณีย์กลาง
แสงพูไช อินทะวีคำ
พระอาทิตย์ยามใกล้ค่ำสาดแสงอ่อนๆ ลอดผ่านปลายไม้ตามถนนล้านช้าง บนถนนรถยังคงแน่นขนัดวิ่งสวนกันไปมา ข้าพเจ้าประคับประคองร่างกาย ค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่าช้าๆ สายตามองสองส่องหาเศษขยะ  ปากก็กลืนน้ำลายลงคอ  สมองก็เริ่มคิดว่า ในบรรดาถังขยะเหล่านั้นจะมีสิ่งใดที่พอทำให้ข้าพเจ้ามีชีวิตรอดต่อไปอีกหนึ่งวัน
แสงพูไช อินทะวีคำ
ที่ร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง บนริมถนนล้านช้าง เช้าเช้าอย่างนี้เป็นเวลาที่ผู้คนกำลังเดินเข้าเดินออกเพื่อที่จะมาลิ้มรสกาแฟปากช่องที่ขึ้นชื่อที่สุด ชายหนุ่มชื่อต่ายเดินไปในร้านกาแฟ แกมองซ้ายมองขวา ก่อนที่จะนั่งลง อีกไม่ถืงสามนาที ก็มีหญิงสาวอายุประมาณยี่สิบกว่านิดๆ เดินเข้ามานั่งลงม้านั่งด้านตรงกันข้าม เสียงสนทนาแว่วๆ เข้าหู "นึกว่าพี่จะไม่มา""ไม่มาได้ไง?""ขอบคุณค่ะ""ไม่เป็นไร ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว""ไอ้เรื่องไหนๆ ที่พี่ว่ามีความหมายว่าอย่างไร?""ไม่มีอะไรหรอก คิดมากไป...""ถามจริงๆเถอะ...พี่ชอบหนูจริงหรือเปล่าคะ?""เรื่องนี้เราคุยกันรู้เรื่องแล้วไม่ไช่หรือ? ทำไมต้องคุยอีก""ก็กลัวพี่ไม่รักหนูจริงนี่นา"
แสงพูไช อินทะวีคำ
สมสีเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของพ่อเผย ชาวบ้านต่างกล่าวขานกันว่า เป็นผู้หญิงที่สวยเพียบพร้อมด้วยสมบัติบารมี ตรงตามตำราโบราณ รูปร่างสมส่วน ผิวขาวเหมือนไข่ปอก เข้ากับภาษิตที่ว่า ‘ตีนมือสวยลงน้ำหมานปลา ตีนมือหว้าลงนาหมานข้าว ไผได้เอาฮ่วมซ้อนคำไร้แม่นบ่มี’ เรื่องนี้เป็นที่รู้จักกันดีของชาวบ้านห้วยจิก วันนี้จ่อยกลับจากไปสู่ขวัญบ้านใต้ มองเห็นพ่อเผยกำลังนั่งเหลาตอกอยู่เพียงลำพัง จึงร้องทักอย่างคนคุ้นเคย “พ่อเผยเอ้ย! ข้อยขอเป็นลูกเขยได้บ่” จ่อยทั้งร้องทักทั้งส่งเสียงหัวเราะแหะๆ “บักจ่อย! มึงกล้าแต่ฮ้องใส่กูนี้แล้ว ถ้ามึงกล้าเว้ากับอี่สี แล้วมันตกลงแต่งงานกับมึง กูจะบ่ขัดทั้งสิยกให้มึงโลด”…
แสงพูไช อินทะวีคำ
พอเข้าบ้านปุ๊บ เสียงแปลกประหลาดก็วิ่งเข้าสู่รูหูทันที เสียงแบบนี้ข้าพเจ้าไม่คุ้นหูเอาเสียเลย และมันก็ไม่เคยเกิดขึ้นกับภรรยาสุดที่รักของข้าพเจ้าสักครั้ง เธอนั่งร้องไห้น้ำตาไหลพราก น้ำมูกย้อยเหมือนได้รับความระทมขมขื่นอันหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ข้าพเจ้าสืบเท้าเข้าไปหาเธอ เพื่อถามไถ่เรื่องราวต่างๆ แต่ข้าพเจ้าต้องหยุดชะงักอยู่กับที่ เมื่อเธอชี้หน้าทำตาขวางเหมือนจะบดขยี้ข้าพเจ้าให้แหลกคามือ คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของเธอไม่ต่างอะไรกับน้ำที่ไหลออกมาจากรางรินรับน้ำฝน ข้าพเจ้าฟังจนเกือบไม่ทัน เธอพูดว่า ''เจ้ามันบ้า! บ้าแท้ๆ! เจ้าบ่มีเวียกบ่? เดี๋ยวนี่คำเว้าของชาวบ้านแล่นเข้าหูข้อยจนล้นออกมาแล้ว…