"นึกว่าพี่จะไม่มา"
"ไม่มาได้ไง?"
"ขอบคุณค่ะ"
"ไม่เป็นไร ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว"
"ไอ้เรื่องไหนๆ ที่พี่ว่ามีความหมายว่าอย่างไร?"
"ไม่มีอะไรหรอก คิดมากไป..."
"ถามจริงๆเถอะ...พี่ชอบหนูจริงหรือเปล่าคะ?"
"เรื่องนี้เราคุยกันรู้เรื่องแล้วไม่ไช่หรือ? ทำไมต้องคุยอีก"
"ก็กลัวพี่ไม่รักหนูจริงนี่นา"
"หากพี่ไม่รัก พี่ไม่จำเป็นต้องบอกรักกับน้องหรอก"
"หนูรู้ค่ะว่าพี่บอกรักหนูตั้งร้อยครั้งแล้ว"
"แล้วทำไมต้องถามอีก?"
"ก็หนูไม่แน่ใจนี่"
"มีอะไรบ่งบอกให้เธอ?"
"ดูเหมือนพี่ทำเฉยเมย"
"จ้องจับผิดกันหรือเปล่า"
"ไม่ได้จ้องจับผิดนะ...แต่ดูพี่เหมือนไม่แคร์อย่างงั้นแหละ"
"ทำไมต้องจู้จี้จุกจิกด้วย ไม่ชอบ"
"ก็ใครจะทนได้น่าเบื่อที่สุด...ขี้บ่นจริงๆ"
เขาเดินออกจากร้านกาแฟ ใบหน้าดูดุร้ายยิ่งกว่าเสือ เขาเดินตรงไปข้างธาตุดำ ขื้นไปนิดหนึ่งแล้วเดินไปสู่สถานีวิทยุแห่งชาติลาว ตรงจุดนั้น เขาหันกลับไปที่ใต้ร่มลั่นทม อยู่ที่นั่นมองเข้าไปข้างในมีบ้านหลังเล็กๆ ต่ายนั่งลงบนเก้าอี้ สายตาจับจ้องที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เขามองสิ่งต่างๆ กำลังเลื่อนลอยไปมาบนหน้าจอ
"คนเรารักกันได้...แต่ทำไมต้องล้ำเส้นที่มีอยู่???"
"รักกันได้แต่ต้องให้เกียรติกันบ้าง..."
คำถามเหล่านี้มันปรากฏขื้นในสมอง เขาจำเรื่องราวต่างๆ ได้ดี ตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาได้เจอกับเธอ
"เข้ากันได้มั้ย?"เธอถามอย่างงั้น
"ก็คงได้กระมัง"
"ทำความรู้จักมักคุ้นกันก็ได้น้อ?"
"ก็ดี"
กว่าจะไปเจอเธอได้ ต้องใช้เวลาการเดินทางที่แสนยาวไกล เขาก็ใช้ไฮเทคโนโลยี เพื่อช่วยสื่อความในใจที่เขามีให้เธอ ก่อนนี้เมื่อ 18 เดือนที่แล้ว เขาเมลออกมา หวังส่งความในใจที่อยากจะเอ่ยให้เธอฟังตั้งแต่แรกที่เจอเธอ แต่เขาเห็นอินบ็อก บอกกล่าวให้รู้ว่าข้างในมีข้อความเพิ่งส่งมา เขาเปิดออกดู มีเนื้อความว่า
"พี่ต่ายจ๋า...พี่คิดถืงหนูไหม...อื้งคิดถืงพี่มากรู้ไหม?...ไม่รู้ว่าการเจอกันระหว่างพี่กับหนูจะเป็นครั้งแรก หรือครั้งสุดท้ายหรือเปล่า...หนูไม่มั่นใจเลยพี่ หนูรู้ว่าตัวเองขี้เหร่ ไม่ควรที่จะคบหากับพี่ หนูทำอย่างนี้คงเป็นเรื่องของคนที่ไม่เจียมตัวใช่มั้ย พี่ให้อภัยได้มั้ยพี่ จากนี้ไปหนูคงอายที่จะส่งความในใจให้พี่ เพราะพี่ทำให้หนูคิดมากรู้มั้ย รู้มั้ย พี่ทำอะไร พี่มาเจอหนูครั้งแรกพี่ก็ทำเหมือนเรารู้จักมักคุ้นกันมานานแรมปีอย่างงั้นแหละ...พูดแล้วอายตัวเองค่ะ ยังไงพี่ให้เวลากับหนูบ้างนะคะ ขอให้เวลาเป็นสิ่งตัดสินได้มั้ยว่า พี่ไม่เสียเวลาเปล่าในการที่จะคบกับหนู สำหรับหนูแล้ว ขอแค่พี่บอกมาว่า จะให้หนูทำอะไร หนูพร้อมที่จะทำทุกอย่างตามที่พี่ต้องการ... คิดถึงค่ะ จาก อื้ง"
เมื่ออ่านเสร็จ เขาเริ่มเปิดตรงที่เขียนข้อความใหม่ เขาเอามือเท้าคาง ตาจ้องที่บ็อกข้อความใหม่อย่างไม่กะพริบ เขานึกในใจ ไม่จำเป็นต้องออดอ้อนหรอก ขอเพียงข้อความที่เราเขียนนั้นมาจากห้องหัวใจจริงหรือเปล่า นั้นแหละเป็นสิ่งสำคัญมากกว่า เขายิ้มให้กับตัวเอง แล้วลงมือเขียน
"อึ้งครับ พี่อ่านข้อความที่อื้งเขียนแล้วจ๊ะ พี่ขอบคุณมากที่น้องมีน้ำใจไมตรีที่ดีงามให้พี่...จริงๆ พี่ซึ้งใจมากรู้มั้ย ทั้งๆ ที่เราไม่รู้กันมาก่อน แต่อื้งก็ไม่รังเกียจ สำหรับพี่แล้วไม่เคยนึกรังเกียจใคร เพราะคนเราอยู่ด้วยกันได้นั้นไม่ได้ขื้นกับหน้าตาหรือความสวยงามใดๆ แต่อยู่กันได้ด้วยความดีใช่มั้ย
พูดจริงๆนะ วันนั้นพี่รู้สึกเขินอยู่หรอก...แต่ทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขื้น พูดแล้วยังนึกอายเลยรู้มั้ย ฮาๆๆ เขินกับตัวเอง... อื้งจริงๆ แล้วพี่ก็มีความตั้งใจไม่น้อย ถ้าไม่อื้ง เข้าใจหรือเปล่าล่ะ จากที่ๆ พี่อยู่ถืงที่ๆ อื้งอยู่ไม่ใช่ใกล้ๆ แต่พี่ต้องไป พี่ไปเพื่อจะรู้ว่าสิ่งที่ใจพี่ถามหามานานนั้นใช่หรือเปล่า...
ถืงแม้เรายังไม่คุ้นเคยกัน...แต่อื้งก็ต้อนรับพี่ เหมือนน้องสาวที่แสนจะน่ารักคอยต้อนรับพี่ชายที่จากไปไกลสุดขอบฟ้านานแรมปีและเพิ่งกลับบ้านอย่างงั้นแหล่ะ
อื้งรู้มั้ยจ๊ะ...พี่ประทับใจมากที่สุด โอเคนะ เอาแค่นี้ก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะเมลหาอีก ขอให้อื้งจงนอนหลับฝันดี..." ต่ายยิ้มให้กับตัวเอง มือข้างขวาวางลงที่เม้าส์คอมพิวเตอร์ คลิ๊กเล่นเพื่อให้ข้อความที่เขียนลอยผ่านไฮเทคโนโลยีไปถืงเธอ...ถ้าเธอได้อ่าน เธอจะทำหน้าอย่างไรนะ เธอจะยิ้มมั้ย หรือเธอจะเก้อเขิน เหมือนกับเราบ้างมั้ยน้อ แล้วก็ปิดเครื่อง ลงไปใต้ถุนบ้านทิ้งข้าวเปลือกให้ลูกไก่กิน เขาทั้งหว่านข้าวให้ลูกไก่ทั้งยิ้มให้กับตัวเอง นึกอยู่ในใจลึกๆ ถ้าเธอเห็นเราตอนนี้ เธอจะทำอย่างไร เธอจะยิ้มให้เราหรือเปล่า หรือเธอจะว่าเราบ้าไปแล้ว ถ้าเธอคิดว่าเราบ้าก็ให้เธอว่าไปเถอะ เพราะ เราก็บ้าจริงๆ บ้าเพราะหลงรักเธอเข้าแล้ว...ต่ายหันหลังให้กับลูกไก่ที่กำลังจิกกินเมล็ดข้าวเปลือกอย่างเมามัน ตรงไปครัวหลังบ้านนานเกือบชั่วโมงแล้ว จึงกลับมาที่เดิม เขามองผ่านกิ่งลั่นทมขื้นสู่ท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ แล้วคำถามที่คุ้นเคยก็กลับมาปรากฏในสมองของเขาอีกครั้ง
"เราจะมีความสุขจริงหรือเปล่า..."
หลายเดือนผ่านไป...
งานมากขึ้นทุกวัน เขาต้องทำงานอย่างไม่รู้เหนื่อย หลายวันแล้วที่เขาต้องปิดโทรศัพท์ บางครั้งเขาทำงานไม่รู้กับคำว่าคิดถืงใคร... ในขณะเดียวกันเสียงโทรศัพท์ดังขื้น เขารีบรับโทรศัพท์
"ทำไมต้องปิดโทรศัพท์ด้วย?"
"ทำงานอยู่ข้างนอก ไม่มีสัญญาณ อยู่ชนบทโน้น"
"ไม่จริง...ไม่อยากคุยกับหนูแล้วใช่มั้ย?"
"ไม่ใช่หรอก...งานยุ่งจริงๆ"
"โกหก...ไม่ต้องโกหกก็ได้...ไม่ชอบก็ว่ามา"
"ไม่จริงๆ นะ...งานยุ่งจริงๆ...แค่นี้ก่อนนะ ยังทำงานอยู่ ต้องรีบส่งงานเขา"
"อย่าเพิ่ง...อย่าเพิ่งวางได้มั้ย..."
ไม่บ่อยครั้งที่เขามีเวลาเข้าไปเช็กอีเมล...แต่วันนี้มีเวลาว่างพอที่จะตรวจดู เขาตกตะลึง เพราะมีรูปภาพมากมายเข้าในบ็อก บางรูปก็น่าดู แต่มีหลายรูปไม่น่าดูเลยและไม่อยากที่จะบอกให้คนอ่านได้รู้เรื่องราวใดๆ เกี่ยวกับเรื่องร้ายๆ อย่างนี้ เขาไม่รู้ว่ามือคว้าโทรศัพท์ขื้นมาแต่เมื่อไร กดเลขหมายทันที
"ว่างแล้วหรือ..."
"ทำไมอื้ง...เมื่อก่อนผมไม่เห็นคุณเป็นอย่างนี้...ก่อนนี้คุณเป็นคนสุภาพน่ารัก...เดี๋ยวนี้เกิดอะไรขึ้นกับคุณ ความน่ารักของคุณหายไปไหนแล้ว บอกผมได้มั้ย???..."
"ใช่ ก็ฉันมันไม่น่ารักเหมือนสาวๆ นี่...ไม่เหมือนคุณไปไหนมาไหนมีสาวๆ ห้อมล้อม... เดี๋ยวนี้ว่างโทรหาสาวๆ แต่ไม่ว่างสำหรับหนู..."
ความหงอยเหงาเข้ามาเยี่ยมและเป็นเพื่อนเขานานแรมปี....
ต่ายทนกับความคิดเก่าๆ และบ่อยครั้งมากที่ทำให้เขารู้สึกเศร้าเหงาหงอยเหมือนคนใกล้สิ้นใจด้วยโรคร้าย เขาเดินตรงไปที่บันไดก้าวขาขื้นบนบ้าน ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ เขาไม่ลืมมองมาห้องทำงาน ก่อนนี้ ที่ห้องทำงานของเขา แม้เขาจะอยู่คนเดียว เดี่ยวโดด แต่มีความสุข ดูเหมือนว่าในเวลานั้นอีเมลคงเป็นเพื่อนที่รู้ใจเป็นที่สุด อีเมลเป็นสื่อและเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขาและเธอได้อยู่ใกล้ชิดกัน แม้จะอยู่คนละฟากฟ้าที่ไกลแสนไกล เขาพึมพำกับตัวเอง
"ทำไมคนเราไม่ยอมเข้าใจกันบ้างหนอ...เมื่อไรวันที่แสนหวานจะกลับมา..."
เขาลุกจากเก้าอี้เดินตรงไปที่ห้องครัว...และแล้วก็มองเห็นแสงไฟสว่างนิดๆ ปะปนอยู่กับความมืดมิด...