Skip to main content
ที่ร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง บนริมถนนล้านช้าง เช้าเช้าอย่างนี้เป็นเวลาที่ผู้คนกำลังเดินเข้าเดินออกเพื่อที่จะมาลิ้มรสกาแฟปากช่องที่ขึ้นชื่อที่สุด ชายหนุ่มชื่อต่ายเดินไปในร้านกาแฟ แกมองซ้ายมองขวา ก่อนที่จะนั่งลง อีกไม่ถืงสามนาที ก็มีหญิงสาวอายุประมาณยี่สิบกว่านิดๆ เดินเข้ามานั่งลงม้านั่งด้านตรงกันข้าม เสียงสนทนาแว่วๆ เข้าหู


"นึกว่าพี่จะไม่มา"

"ไม่มาได้ไง?"

"ขอบคุณค่ะ"

"ไม่เป็นไร ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว"

"ไอ้เรื่องไหนๆ ที่พี่ว่ามีความหมายว่าอย่างไร?"

"ไม่มีอะไรหรอก คิดมากไป..."

"ถามจริงๆเถอะ...พี่ชอบหนูจริงหรือเปล่าคะ?"

"เรื่องนี้เราคุยกันรู้เรื่องแล้วไม่ไช่หรือ? ทำไมต้องคุยอีก"

"ก็กลัวพี่ไม่รักหนูจริงนี่นา"


"หากพี่ไม่รัก พี่ไม่จำเป็นต้องบอกรักกับน้องหรอก"

"หนูรู้ค่ะว่าพี่บอกรักหนูตั้งร้อยครั้งแล้ว"

"แล้วทำไมต้องถามอีก?"

"ก็หนูไม่แน่ใจนี่"

"มีอะไรบ่งบอกให้เธอ?"

"ดูเหมือนพี่ทำเฉยเมย"

"จ้องจับผิดกันหรือเปล่า"

"ไม่ได้จ้องจับผิดนะ...แต่ดูพี่เหมือนไม่แคร์อย่างงั้นแหละ"

"ทำไมต้องจู้จี้จุกจิกด้วย ไม่ชอบ"

"ก็ใครจะทนได้น่าเบื่อที่สุด...ขี้บ่นจริงๆ"


เขาเดินออกจากร้านกาแฟ ใบหน้าดูดุร้ายยิ่งกว่าเสือ เขาเดินตรงไปข้างธาตุดำ ขื้นไปนิดหนึ่งแล้วเดินไปสู่สถานีวิทยุแห่งชาติลาว ตรงจุดนั้น เขาหันกลับไปที่ใต้ร่มลั่นทม อยู่ที่นั่นมองเข้าไปข้างในมีบ้านหลังเล็กๆ ต่ายนั่งลงบนเก้าอี้ สายตาจับจ้องที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เขามองสิ่งต่างๆ กำลังเลื่อนลอยไปมาบนหน้าจอ

"คนเรารักกันได้...แต่ทำไมต้องล้ำเส้นที่มีอยู่???"

"รักกันได้แต่ต้องให้เกียรติกันบ้าง..."

คำถามเหล่านี้มันปรากฏขื้นในสมอง เขาจำเรื่องราวต่างๆ ได้ดี ตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาได้เจอกับเธอ


"เข้ากันได้มั้ย?"เธอถามอย่างงั้น

"ก็คงได้กระมัง"

"ทำความรู้จักมักคุ้นกันก็ได้น้อ?"

"ก็ดี"


กว่าจะไปเจอเธอได้ ต้องใช้เวลาการเดินทางที่แสนยาวไกล เขาก็ใช้ไฮเทคโนโลยี เพื่อช่วยสื่อความในใจที่เขามีให้เธอ ก่อนนี้เมื่อ 18 เดือนที่แล้ว เขาเมลออกมา หวังส่งความในใจที่อยากจะเอ่ยให้เธอฟังตั้งแต่แรกที่เจอเธอ แต่เขาเห็นอินบ็อก บอกกล่าวให้รู้ว่าข้างในมีข้อความเพิ่งส่งมา เขาเปิดออกดู มีเนื้อความว่า


"พี่ต่ายจ๋า...พี่คิดถืงหนูไหม...อื้งคิดถืงพี่มากรู้ไหม?...ไม่รู้ว่าการเจอกันระหว่างพี่กับหนูจะเป็นครั้งแรก หรือครั้งสุดท้ายหรือเปล่า...หนูไม่มั่นใจเลยพี่ หนูรู้ว่าตัวเองขี้เหร่ ไม่ควรที่จะคบหากับพี่ หนูทำอย่างนี้คงเป็นเรื่องของคนที่ไม่เจียมตัวใช่มั้ย พี่ให้อภัยได้มั้ยพี่ จากนี้ไปหนูคงอายที่จะส่งความในใจให้พี่ เพราะพี่ทำให้หนูคิดมากรู้มั้ย รู้มั้ย พี่ทำอะไร พี่มาเจอหนูครั้งแรกพี่ก็ทำเหมือนเรารู้จักมักคุ้นกันมานานแรมปีอย่างงั้นแหละ...พูดแล้วอายตัวเองค่ะ ยังไงพี่ให้เวลากับหนูบ้างนะคะ ขอให้เวลาเป็นสิ่งตัดสินได้มั้ยว่า พี่ไม่เสียเวลาเปล่าในการที่จะคบกับหนู สำหรับหนูแล้ว ขอแค่พี่บอกมาว่า จะให้หนูทำอะไร หนูพร้อมที่จะทำทุกอย่างตามที่พี่ต้องการ... คิดถึงค่ะ จาก อื้ง"


เมื่ออ่านเสร็จ เขาเริ่มเปิดตรงที่เขียนข้อความใหม่ เขาเอามือเท้าคาง ตาจ้องที่บ็อกข้อความใหม่อย่างไม่กะพริบ เขานึกในใจ ไม่จำเป็นต้องออดอ้อนหรอก ขอเพียงข้อความที่เราเขียนนั้นมาจากห้องหัวใจจริงหรือเปล่า นั้นแหละเป็นสิ่งสำคัญมากกว่า เขายิ้มให้กับตัวเอง แล้วลงมือเขียน

"อึ้งครับ พี่อ่านข้อความที่อื้งเขียนแล้วจ๊ะ พี่ขอบคุณมากที่น้องมีน้ำใจไมตรีที่ดีงามให้พี่...จริงๆ พี่ซึ้งใจมากรู้มั้ย ทั้งๆ ที่เราไม่รู้กันมาก่อน แต่อื้งก็ไม่รังเกียจ สำหรับพี่แล้วไม่เคยนึกรังเกียจใคร เพราะคนเราอยู่ด้วยกันได้นั้นไม่ได้ขื้นกับหน้าตาหรือความสวยงามใดๆ แต่อยู่กันได้ด้วยความดีใช่มั้ย


พูดจริงๆนะ วันนั้นพี่รู้สึกเขินอยู่หรอก...แต่ทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขื้น พูดแล้วยังนึกอายเลยรู้มั้ย ฮาๆๆ เขินกับตัวเอง... อื้งจริงๆ แล้วพี่ก็มีความตั้งใจไม่น้อย ถ้าไม่อื้ง เข้าใจหรือเปล่าล่ะ จากที่ๆ พี่อยู่ถืงที่ๆ อื้งอยู่ไม่ใช่ใกล้ๆ แต่พี่ต้องไป พี่ไปเพื่อจะรู้ว่าสิ่งที่ใจพี่ถามหามานานนั้นใช่หรือเปล่า...


ถืงแม้เรายังไม่คุ้นเคยกัน...แต่อื้งก็ต้อนรับพี่ เหมือนน้องสาวที่แสนจะน่ารักคอยต้อนรับพี่ชายที่จากไปไกลสุดขอบฟ้านานแรมปีและเพิ่งกลับบ้านอย่างงั้นแหล่ะ


อื้งรู้มั้ยจ๊ะ...พี่ประทับใจมากที่สุด โอเคนะ เอาแค่นี้ก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะเมลหาอีก ขอให้อื้งจงนอนหลับฝันดี..." ต่ายยิ้มให้กับตัวเอง มือข้างขวาวางลงที่เม้าส์คอมพิวเตอร์ คลิ๊กเล่นเพื่อให้ข้อความที่เขียนลอยผ่านไฮเทคโนโลยีไปถืงเธอ...ถ้าเธอได้อ่าน เธอจะทำหน้าอย่างไรนะ เธอจะยิ้มมั้ย หรือเธอจะเก้อเขิน เหมือนกับเราบ้างมั้ยน้อ แล้วก็ปิดเครื่อง ลงไปใต้ถุนบ้านทิ้งข้าวเปลือกให้ลูกไก่กิน เขาทั้งหว่านข้าวให้ลูกไก่ทั้งยิ้มให้กับตัวเอง นึกอยู่ในใจลึกๆ ถ้าเธอเห็นเราตอนนี้ เธอจะทำอย่างไร เธอจะยิ้มให้เราหรือเปล่า หรือเธอจะว่าเราบ้าไปแล้ว ถ้าเธอคิดว่าเราบ้าก็ให้เธอว่าไปเถอะ เพราะ เราก็บ้าจริงๆ บ้าเพราะหลงรักเธอเข้าแล้ว...ต่ายหันหลังให้กับลูกไก่ที่กำลังจิกกินเมล็ดข้าวเปลือกอย่างเมามัน ตรงไปครัวหลังบ้านนานเกือบชั่วโมงแล้ว จึงกลับมาที่เดิม เขามองผ่านกิ่งลั่นทมขื้นสู่ท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ แล้วคำถามที่คุ้นเคยก็กลับมาปรากฏในสมองของเขาอีกครั้ง

"เราจะมีความสุขจริงหรือเปล่า..."


หลายเดือนผ่านไป...

งานมากขึ้นทุกวัน เขาต้องทำงานอย่างไม่รู้เหนื่อย หลายวันแล้วที่เขาต้องปิดโทรศัพท์ บางครั้งเขาทำงานไม่รู้กับคำว่าคิดถืงใคร... ในขณะเดียวกันเสียงโทรศัพท์ดังขื้น เขารีบรับโทรศัพท์

"ทำไมต้องปิดโทรศัพท์ด้วย?"

"ทำงานอยู่ข้างนอก ไม่มีสัญญาณ อยู่ชนบทโน้น"

"ไม่จริง...ไม่อยากคุยกับหนูแล้วใช่มั้ย?"

"ไม่ใช่หรอก...งานยุ่งจริงๆ"

"โกหก...ไม่ต้องโกหกก็ได้...ไม่ชอบก็ว่ามา"

"ไม่จริงๆ นะ...งานยุ่งจริงๆ...แค่นี้ก่อนนะ ยังทำงานอยู่ ต้องรีบส่งงานเขา"

"อย่าเพิ่ง...อย่าเพิ่งวางได้มั้ย..."


ไม่บ่อยครั้งที่เขามีเวลาเข้าไปเช็กอีเมล...แต่วันนี้มีเวลาว่างพอที่จะตรวจดู เขาตกตะลึง เพราะมีรูปภาพมากมายเข้าในบ็อก บางรูปก็น่าดู แต่มีหลายรูปไม่น่าดูเลยและไม่อยากที่จะบอกให้คนอ่านได้รู้เรื่องราวใดๆ เกี่ยวกับเรื่องร้ายๆ อย่างนี้ เขาไม่รู้ว่ามือคว้าโทรศัพท์ขื้นมาแต่เมื่อไร กดเลขหมายทันที

"ว่างแล้วหรือ..."

"ทำไมอื้ง...เมื่อก่อนผมไม่เห็นคุณเป็นอย่างนี้...ก่อนนี้คุณเป็นคนสุภาพน่ารัก...เดี๋ยวนี้เกิดอะไรขึ้นกับคุณ ความน่ารักของคุณหายไปไหนแล้ว บอกผมได้มั้ย???..."

"ใช่ ก็ฉันมันไม่น่ารักเหมือนสาวๆ นี่...ไม่เหมือนคุณไปไหนมาไหนมีสาวๆ ห้อมล้อม... เดี๋ยวนี้ว่างโทรหาสาวๆ แต่ไม่ว่างสำหรับหนู..."


ความหงอยเหงาเข้ามาเยี่ยมและเป็นเพื่อนเขานานแรมปี....

ต่ายทนกับความคิดเก่าๆ และบ่อยครั้งมากที่ทำให้เขารู้สึกเศร้าเหงาหงอยเหมือนคนใกล้สิ้นใจด้วยโรคร้าย เขาเดินตรงไปที่บันไดก้าวขาขื้นบนบ้าน ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ เขาไม่ลืมมองมาห้องทำงาน ก่อนนี้ ที่ห้องทำงานของเขา แม้เขาจะอยู่คนเดียว เดี่ยวโดด แต่มีความสุข ดูเหมือนว่าในเวลานั้นอีเมลคงเป็นเพื่อนที่รู้ใจเป็นที่สุด อีเมลเป็นสื่อและเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขาและเธอได้อยู่ใกล้ชิดกัน แม้จะอยู่คนละฟากฟ้าที่ไกลแสนไกล เขาพึมพำกับตัวเอง

"ทำไมคนเราไม่ยอมเข้าใจกันบ้างหนอ...เมื่อไรวันที่แสนหวานจะกลับมา..."

เขาลุกจากเก้าอี้เดินตรงไปที่ห้องครัว...และแล้วก็มองเห็นแสงไฟสว่างนิดๆ ปะปนอยู่กับความมืดมิด...

 

 

บล็อกของ แสงพูไช อินทะวีคำ

แสงพูไช อินทะวีคำ
เศษขี้ตะกอนจากแสงพระอาทิตย์เป็นสีสนิมเหล็ก เรี่มหยอดเป็นจุดเล็กจุดใหญ่ตามหุบเขาด้านทิศตะวันตก มองดูไกลๆโน้นเหมือนกับนางระบำในเทพนิยายของชาวตะวันตก เสียงสะอื้น และเสียงก่นด่าราวกับโกรธเกลียดตัวเองมานับพันปีของผู้หญิงคนหนึ่งดังลอดออกมาจากพุ่มไม้ท้ายวัดด้านทิศตะวันออกให้ได้ยิน “เอื้อยขอโทษ เอื้อยบ่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นแนวนั้น! บ่แม่นเอื้อยบ่อยากให้น้องเป็นแนวนั้น! เอื้อยบ่ได้ต้องการให้น้องมาตายจากเอื้อยไป น้องฮู้บ่?” ฟังจากเสียงร้องไห้แบบนี้ก็คงพอเดาได้ว่าผู้ตายต้องเป็นญาติใกล้ชิดกับเจ้าของเสียงร้องไห้นั้น เธอร้องไห้โหยหวนเหมือนกับว่าเธอได้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งผิดพลาดอย่างร้ายแรงไว้กับผู้ตาย…
แสงพูไช อินทะวีคำ
  มองฟากฟ้า นพาแจ่ม กระจ่าง ทางเบื้องบนเหมือนดั่งคน พ้นเคราะช้ำ ในกรรมเก่าพ้นจากทุกข์ พ้นจากเวร พ้นจากความเหงาทำให้เรา และท่าน เบีกบานใจ วันนี้แจ่ม วันหน้าหมอง ครองคู่กันผ่านคืนวัน ที่เศร้าหมอง แล้วสุขใจสลับเปรียน หมูนเวียน เช่นนี้ไปพอทนได้ เพราะคู่กัน ดังฉันและเธอ แต่ฟ้าแจ่ม เพียงหน้อยนิด ซิคิดมากทนลำบาก เพราะฟ้าครื้ม กระหื่มฝนขู่คำราม แผดเสียง อยู่เบื้องบนทำเอาคน ใต้ล้า หน้าเศร้าหมอง หลายคนแล ดูฟ้า นพาสลับนอนนั่งนับ เดือนปี ให้เปรียนผลเปรียนจากฟ้า คะนองกระหื่ม อยู่เบื้องบนให้เป็นผล งอกงาม ตามกฎเกณท์ วันใดหนอ ฟากฟ้า จะสดใสพอให้มวล พืชไม้ ได้เกีดผลเกีดไปตาม…
แสงพูไช อินทะวีคำ
ตะวันรอน ย่อนแสงริมฝั่งของ (โขง)สายตาเธอเหม่อมองอยู่รำไรมองฟากฟ้าที่ไกลแสนไกลเธอร้องไห้โทมนัสโศกระทมมีใครรู้ บ้างหรือเปล่า กันมั้ยหนอ?ใครผู้ก่อ สร้างกรรม ทำเธอหมองเสียงร้องไห้ เธอนั้น น่าขนพองดุดดังเธอ ร่ำร้อง โศกาดูรสายตาเธอ เอ๋ยกล่าว เมื่อเราพบว่าก่อนนี้ เธอคบ กับคนพาลเขาสัญญา กับเธอ ไม่ระรานไม่มีวัน ทำให้เธอ กล้ำกลืนทนความเป็นจริง กับสัญญา ที่มีนั้นไม่สัมพันธ์ มันต่างมุม ต่างภาษาต่างความคิด ต่างกระทำ ต่างเวลาเพราะสัญญา ภาษาคน บนใจมารเธอมายืน ร่ำร้อง บนริมฝั่งเผื่อความหวัง ให้นาคา ได้รับรู้บ่นเจ้ากรรม นายเวร ให้ช่วยกู้ให้รับรู้ สิทธิเธอ ถูกรุกรานใครจะให้ ความเป็นธรรม เธอบ้างหนอพอช่วยก่อ…
แสงพูไช อินทะวีคำ
ให้สัญญาว่าจะทำทุกอย่างที่ดีให้สัญญาว่าจะไม่ทำสิ่งที่ไม่ดีให้สัญญาว่าจะไม่บิดเบี้ยวความจริงแต่แล้วเขาก็ทำในสิ่งที่ใจเขาอยากทำแล้วจะทำอย่างไร?บอกกับประชาชนว่าเพื่อประชาชีบอกกับประชาชนว่าเพื่อความอยู่ดีกินดีบอกประชาชนว่าเพื่อชาติย่อมต้องพลีชีพแล้วในที่สุดก็กดขี่ประชาชีและประชาชนดั่งสำนวนกวีลาว             กล่าวอ้างแปลกใจคือเพี่นเว้า         เฒ่าแก่โบรานจาเป็นสัตว์สาคือควาย        บ่ก้มหัวกินหญ้าเป็นปลาบ่อลอยลื่น        …
แสงพูไช อินทะวีคำ
รักเผ่าพันธุ์ รักเพื่อนผอง ต้องรักป่ารักอาป้า พนาไพรเหมือนหัวใจตนรักพี่น้องทุกแห่งหน บนด่านด้าวประคองเอาพนาไพร ไม่ทำลายรักแม่น้ำ แมกไม้และเขาเขียวยามท่องเที่ยว บนภูเขาอย่าละเลยที้งของเสียให้รกร้างดั่งที่เคยความสวยงามก่อนนี้เอ๋ย ให้เสื่อมโทรมให้รักป่าเท่าชีวิต คิดให้ใกลบ่อนเรไรร่ำร้อง พงพนาถิ่นภูเขาเลากา และสัตว์ป่าบนผืนแผนสนธยา น่าอยู่กินหน้าที่เราทุกเผ่าพันธุ์ขันอาสาป้องผืนป่าให้พ้นภัยอันตรายทุกผืนที่ในแดนลาวมิวอดวายคนและป่าอยู่ร่วมกันไป นานเท่านานหากคนเรารักป่าอย่างจริงจังแม้กระทั้งพลีชีพชีวาวายเพื่อผืนดินและผืนป่าคู่คนไปแม้ตัวตาย ขอผืนป่าและสายน้ำค้ำจุนโลกดงดานบ่อนเรไรร่ำร้อง…
แสงพูไช อินทะวีคำ
เรื่องสั้นเรื่องนี้ ผมเขียนขื้นเมื่อปี คศ. ๑๙๙๕ ในขณะที่ผมเดินทางไปรอบๆ เมืองปากเช แขวงจำปาสัก เป็นระยะแห่งการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจ ลงพิมพ์ที่วารสารวัณนศิล เมื่อปี คศ. ๑๙๙๕ และลงพิมพ์ที่หนังสือพิมพ์เวียงจันท์ใหม่เมื่อปี คศ. ๒๐๐๐ แปลโดย ทองคร้าม ทองขาว เรื่องสั้นเรื่องนี้จะรวมเล่มเรื่องสั้นที่มีภาษาไทย ลาว และภาษาอังกฤษด้วย โดย Mekong Post
แสงพูไช อินทะวีคำ
แรกๆ ผมว่าจะเขียนเกี่ยวกับเรื่อง ICT camp ต่อ แต่เมื่อตอนค่ำของวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๑ เวลาประมาณ ๒ ทุ่มครึ่ง เป็นตอนจบของเรื่อง “เพลงดินกลิ่นดาว” ละครโทรทัศน์ช่อง ๗ ทำให้ผมเปลี่ยนใจ หันมาเขียนเรื่องนี้จนได้ กรณีที่ผมนำเรื่องนี้ขื้นมาพูดไม่ใช่เป็นทัศนะของวิชาการ แต่เป็นทัศนะส่วนตัวมากกว่า
แสงพูไช อินทะวีคำ
ขณะที่เดินทางไปพัทยา ผมมองดูกระเป๋าเดินทางของตัวเองด้วยความกังวลใจอยู่ลึกๆ “ขออย่าได้เป็นอะไรเลย ประเดี๋ยวจะขายขี้หน้าหมด” “อ้ายกลัวกระเป๋าเดินทางแตกใช่มั้ย?” น้องคนหนึ่งถาม“ก็....กลัวนะ....”“แต่ดูแล้วน่าจะไม่เป็นไรนี่”“ใช่.....”
แสงพูไช อินทะวีคำ
ถือว่าผมเป็นคนหนึ่งที่มีเพื่อนพ้องน้องพี่มากพอสมควร แต่ละคนชอบส่งข่าวให้กันและกันบ่อยๆ เวลาที่มีเรื่องราวต่างๆ ที่น่าสนใจ เรื่องไอชีที ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เพื่อนส่งข่าวให้รู้ว่า “....คนจากลุ่มน้ำโขงจะมารวมตัวกันที่ ICT Camp มากมาย...เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้พบกับผู้คนมากหน้าหลายตาจากประเทศพม่า กัมพูชา เวียดนาม ไทย ลาว .....” ทุกคนดูตื่นเต้นเอามากๆ เมื่อมีคำบอกเช่นนั้นจากเพื่อนๆ ผมจึงตกลงใจว่า “ไป” อีกประการหนึ่งก็คือ มีน้องๆ จากองค์กรเดียวกันไปร่วมด้วยเช่นกัน เพื่อเรียนรู้ร่วมกัน ะในโปรแกรมบอกว่ามีทั้งเรื่อง ไอที ข้อมูลข่าวสาร และเรื่อง Advocacy งานนี้จัดขื้นที่ Learning Resort…
แสงพูไช อินทะวีคำ
ข่าวการสั่งห้ามชาวบ้านที่หลวงพระบางทำกิจการให้ชาวต่างประเทศหรือนักท่องเที่ยวเช่าจักรยานและจักรยานยนต์ ได้ส่งผลลบมาสู่การท่องเที่ยวอีกครั้งหนึ่ง หนังสือพิมพ์บางฉบับในไทยได้ลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย เนื่องจากกลัวว่าอาจทำให้ความน่าสนใจ น่าเชื่อถือที่จะมาเยือนหลวงพระบาง เมืองมรดกโลกลดลงไป การสั่งห้ามไม่ให้ชาวบ้านทำเช่นนั้น เป็นเพราะอะไร หลายคนเข้าใจว่า จากการหยุดไม่ให้ชาวบ้านทำ แต่มอบให้บริษัทเป็นคนทำ อาจทำให้ชาวบ้านสูญเสียรายได้ แล้วกลายเป็นการส่งเสริมนายทุนเพียงฝ่ายเดียว ชื่งไม่เป็นธรรมกับชาวบ้าน ผู้นำเที่ยวท่านหนึ่งบอกผมว่า “การห้ามชาวบ้านทำ เพราะไม่มีประกันความปลอดภัย…
แสงพูไช อินทะวีคำ
วันที่ผมรู้สึกอบอุ่นมาก ก็คงหนีไม่พ้นงานพบปะของคอลัมนิสต์ประชาไท.....ที่เชียงใหม่เพราะผมไม่ได้นึกว่าจะมีโอกาสมาเจอเพื่อนสหาย นักเขียนไทยมากหลายเอาขนาดนี้ ส่วนมากก็คงเป็นคนเชียงใหม่....รอยยี้ม...เสียงหัวเราะ....ไม่ได้ต่างกันแม๋นิดเดียว....อาจจะต่างภาษา...แต่เรื่องนี้ก็ไม่แปลก เพราะเผ่าพันธุ์ต่างๆ ล้วนมีภาษาที่เป็นตัวของตัวเอง....สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความเข้าใจที่มีต่อกัน และเป็นสิ่งนี้เองที่บ่งบอกถึง “มิตรภาพ”  ซึ่งสื่อออกมาได้จากภาพที่ผมเก็บไว้
แสงพูไช อินทะวีคำ
   โอน้อ เจ้าผู้พ้วดอกอ้ม ผมพี่ดำนิน เฮียมเอยผมดำงามพอดูช่างตื่มสีแดงเข้มดำแดงคนเขาเอี้นสองสีแตกต่างสังมาอยู่ฮ่วมเค้าเกสาเจ้าผู้เดียวน้องบ่ออยากเว้าเลี้ยวเว้าล่ายความจริงมีบ่อนอีงจริงมาจา ว่ากันตามเรื่องย่อนมันเคืองคาข้อง หม้องใจน้องอุ่นความคิดเป็นว่าวุ้น นำอ้ายบ่าวพี่ชายน้องนี้หมายอยู่ซ้อนเฮียงฮ่วมชายเดียว อ้ายเอยคนอื่นนางบ่อเหลียวม่ายตานางซ้ำกรรมหยังนางบ่อฮู้ มาเห็นชายจริงหวังฮ่วมหวังอยากมาฮ่วมซ้อน นำอ้ายแต่ผู้เดียวแต่ว่าอ้ายพัดเบี้ยว แปล เปรียนสัญญาว่าสิแปลงผมยอย ย่อนลงทางหน้าชายสิเอามันถี้ม ให้เป็นสีดำธรรมชาติบาดมาเห็นเทื่อนี้…