Skip to main content
ที่ร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง บนริมถนนล้านช้าง เช้าเช้าอย่างนี้เป็นเวลาที่ผู้คนกำลังเดินเข้าเดินออกเพื่อที่จะมาลิ้มรสกาแฟปากช่องที่ขึ้นชื่อที่สุด ชายหนุ่มชื่อต่ายเดินไปในร้านกาแฟ แกมองซ้ายมองขวา ก่อนที่จะนั่งลง อีกไม่ถืงสามนาที ก็มีหญิงสาวอายุประมาณยี่สิบกว่านิดๆ เดินเข้ามานั่งลงม้านั่งด้านตรงกันข้าม เสียงสนทนาแว่วๆ เข้าหู


"นึกว่าพี่จะไม่มา"

"ไม่มาได้ไง?"

"ขอบคุณค่ะ"

"ไม่เป็นไร ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว"

"ไอ้เรื่องไหนๆ ที่พี่ว่ามีความหมายว่าอย่างไร?"

"ไม่มีอะไรหรอก คิดมากไป..."

"ถามจริงๆเถอะ...พี่ชอบหนูจริงหรือเปล่าคะ?"

"เรื่องนี้เราคุยกันรู้เรื่องแล้วไม่ไช่หรือ? ทำไมต้องคุยอีก"

"ก็กลัวพี่ไม่รักหนูจริงนี่นา"


"หากพี่ไม่รัก พี่ไม่จำเป็นต้องบอกรักกับน้องหรอก"

"หนูรู้ค่ะว่าพี่บอกรักหนูตั้งร้อยครั้งแล้ว"

"แล้วทำไมต้องถามอีก?"

"ก็หนูไม่แน่ใจนี่"

"มีอะไรบ่งบอกให้เธอ?"

"ดูเหมือนพี่ทำเฉยเมย"

"จ้องจับผิดกันหรือเปล่า"

"ไม่ได้จ้องจับผิดนะ...แต่ดูพี่เหมือนไม่แคร์อย่างงั้นแหละ"

"ทำไมต้องจู้จี้จุกจิกด้วย ไม่ชอบ"

"ก็ใครจะทนได้น่าเบื่อที่สุด...ขี้บ่นจริงๆ"


เขาเดินออกจากร้านกาแฟ ใบหน้าดูดุร้ายยิ่งกว่าเสือ เขาเดินตรงไปข้างธาตุดำ ขื้นไปนิดหนึ่งแล้วเดินไปสู่สถานีวิทยุแห่งชาติลาว ตรงจุดนั้น เขาหันกลับไปที่ใต้ร่มลั่นทม อยู่ที่นั่นมองเข้าไปข้างในมีบ้านหลังเล็กๆ ต่ายนั่งลงบนเก้าอี้ สายตาจับจ้องที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เขามองสิ่งต่างๆ กำลังเลื่อนลอยไปมาบนหน้าจอ

"คนเรารักกันได้...แต่ทำไมต้องล้ำเส้นที่มีอยู่???"

"รักกันได้แต่ต้องให้เกียรติกันบ้าง..."

คำถามเหล่านี้มันปรากฏขื้นในสมอง เขาจำเรื่องราวต่างๆ ได้ดี ตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาได้เจอกับเธอ


"เข้ากันได้มั้ย?"เธอถามอย่างงั้น

"ก็คงได้กระมัง"

"ทำความรู้จักมักคุ้นกันก็ได้น้อ?"

"ก็ดี"


กว่าจะไปเจอเธอได้ ต้องใช้เวลาการเดินทางที่แสนยาวไกล เขาก็ใช้ไฮเทคโนโลยี เพื่อช่วยสื่อความในใจที่เขามีให้เธอ ก่อนนี้เมื่อ 18 เดือนที่แล้ว เขาเมลออกมา หวังส่งความในใจที่อยากจะเอ่ยให้เธอฟังตั้งแต่แรกที่เจอเธอ แต่เขาเห็นอินบ็อก บอกกล่าวให้รู้ว่าข้างในมีข้อความเพิ่งส่งมา เขาเปิดออกดู มีเนื้อความว่า


"พี่ต่ายจ๋า...พี่คิดถืงหนูไหม...อื้งคิดถืงพี่มากรู้ไหม?...ไม่รู้ว่าการเจอกันระหว่างพี่กับหนูจะเป็นครั้งแรก หรือครั้งสุดท้ายหรือเปล่า...หนูไม่มั่นใจเลยพี่ หนูรู้ว่าตัวเองขี้เหร่ ไม่ควรที่จะคบหากับพี่ หนูทำอย่างนี้คงเป็นเรื่องของคนที่ไม่เจียมตัวใช่มั้ย พี่ให้อภัยได้มั้ยพี่ จากนี้ไปหนูคงอายที่จะส่งความในใจให้พี่ เพราะพี่ทำให้หนูคิดมากรู้มั้ย รู้มั้ย พี่ทำอะไร พี่มาเจอหนูครั้งแรกพี่ก็ทำเหมือนเรารู้จักมักคุ้นกันมานานแรมปีอย่างงั้นแหละ...พูดแล้วอายตัวเองค่ะ ยังไงพี่ให้เวลากับหนูบ้างนะคะ ขอให้เวลาเป็นสิ่งตัดสินได้มั้ยว่า พี่ไม่เสียเวลาเปล่าในการที่จะคบกับหนู สำหรับหนูแล้ว ขอแค่พี่บอกมาว่า จะให้หนูทำอะไร หนูพร้อมที่จะทำทุกอย่างตามที่พี่ต้องการ... คิดถึงค่ะ จาก อื้ง"


เมื่ออ่านเสร็จ เขาเริ่มเปิดตรงที่เขียนข้อความใหม่ เขาเอามือเท้าคาง ตาจ้องที่บ็อกข้อความใหม่อย่างไม่กะพริบ เขานึกในใจ ไม่จำเป็นต้องออดอ้อนหรอก ขอเพียงข้อความที่เราเขียนนั้นมาจากห้องหัวใจจริงหรือเปล่า นั้นแหละเป็นสิ่งสำคัญมากกว่า เขายิ้มให้กับตัวเอง แล้วลงมือเขียน

"อึ้งครับ พี่อ่านข้อความที่อื้งเขียนแล้วจ๊ะ พี่ขอบคุณมากที่น้องมีน้ำใจไมตรีที่ดีงามให้พี่...จริงๆ พี่ซึ้งใจมากรู้มั้ย ทั้งๆ ที่เราไม่รู้กันมาก่อน แต่อื้งก็ไม่รังเกียจ สำหรับพี่แล้วไม่เคยนึกรังเกียจใคร เพราะคนเราอยู่ด้วยกันได้นั้นไม่ได้ขื้นกับหน้าตาหรือความสวยงามใดๆ แต่อยู่กันได้ด้วยความดีใช่มั้ย


พูดจริงๆนะ วันนั้นพี่รู้สึกเขินอยู่หรอก...แต่ทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขื้น พูดแล้วยังนึกอายเลยรู้มั้ย ฮาๆๆ เขินกับตัวเอง... อื้งจริงๆ แล้วพี่ก็มีความตั้งใจไม่น้อย ถ้าไม่อื้ง เข้าใจหรือเปล่าล่ะ จากที่ๆ พี่อยู่ถืงที่ๆ อื้งอยู่ไม่ใช่ใกล้ๆ แต่พี่ต้องไป พี่ไปเพื่อจะรู้ว่าสิ่งที่ใจพี่ถามหามานานนั้นใช่หรือเปล่า...


ถืงแม้เรายังไม่คุ้นเคยกัน...แต่อื้งก็ต้อนรับพี่ เหมือนน้องสาวที่แสนจะน่ารักคอยต้อนรับพี่ชายที่จากไปไกลสุดขอบฟ้านานแรมปีและเพิ่งกลับบ้านอย่างงั้นแหล่ะ


อื้งรู้มั้ยจ๊ะ...พี่ประทับใจมากที่สุด โอเคนะ เอาแค่นี้ก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะเมลหาอีก ขอให้อื้งจงนอนหลับฝันดี..." ต่ายยิ้มให้กับตัวเอง มือข้างขวาวางลงที่เม้าส์คอมพิวเตอร์ คลิ๊กเล่นเพื่อให้ข้อความที่เขียนลอยผ่านไฮเทคโนโลยีไปถืงเธอ...ถ้าเธอได้อ่าน เธอจะทำหน้าอย่างไรนะ เธอจะยิ้มมั้ย หรือเธอจะเก้อเขิน เหมือนกับเราบ้างมั้ยน้อ แล้วก็ปิดเครื่อง ลงไปใต้ถุนบ้านทิ้งข้าวเปลือกให้ลูกไก่กิน เขาทั้งหว่านข้าวให้ลูกไก่ทั้งยิ้มให้กับตัวเอง นึกอยู่ในใจลึกๆ ถ้าเธอเห็นเราตอนนี้ เธอจะทำอย่างไร เธอจะยิ้มให้เราหรือเปล่า หรือเธอจะว่าเราบ้าไปแล้ว ถ้าเธอคิดว่าเราบ้าก็ให้เธอว่าไปเถอะ เพราะ เราก็บ้าจริงๆ บ้าเพราะหลงรักเธอเข้าแล้ว...ต่ายหันหลังให้กับลูกไก่ที่กำลังจิกกินเมล็ดข้าวเปลือกอย่างเมามัน ตรงไปครัวหลังบ้านนานเกือบชั่วโมงแล้ว จึงกลับมาที่เดิม เขามองผ่านกิ่งลั่นทมขื้นสู่ท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ แล้วคำถามที่คุ้นเคยก็กลับมาปรากฏในสมองของเขาอีกครั้ง

"เราจะมีความสุขจริงหรือเปล่า..."


หลายเดือนผ่านไป...

งานมากขึ้นทุกวัน เขาต้องทำงานอย่างไม่รู้เหนื่อย หลายวันแล้วที่เขาต้องปิดโทรศัพท์ บางครั้งเขาทำงานไม่รู้กับคำว่าคิดถืงใคร... ในขณะเดียวกันเสียงโทรศัพท์ดังขื้น เขารีบรับโทรศัพท์

"ทำไมต้องปิดโทรศัพท์ด้วย?"

"ทำงานอยู่ข้างนอก ไม่มีสัญญาณ อยู่ชนบทโน้น"

"ไม่จริง...ไม่อยากคุยกับหนูแล้วใช่มั้ย?"

"ไม่ใช่หรอก...งานยุ่งจริงๆ"

"โกหก...ไม่ต้องโกหกก็ได้...ไม่ชอบก็ว่ามา"

"ไม่จริงๆ นะ...งานยุ่งจริงๆ...แค่นี้ก่อนนะ ยังทำงานอยู่ ต้องรีบส่งงานเขา"

"อย่าเพิ่ง...อย่าเพิ่งวางได้มั้ย..."


ไม่บ่อยครั้งที่เขามีเวลาเข้าไปเช็กอีเมล...แต่วันนี้มีเวลาว่างพอที่จะตรวจดู เขาตกตะลึง เพราะมีรูปภาพมากมายเข้าในบ็อก บางรูปก็น่าดู แต่มีหลายรูปไม่น่าดูเลยและไม่อยากที่จะบอกให้คนอ่านได้รู้เรื่องราวใดๆ เกี่ยวกับเรื่องร้ายๆ อย่างนี้ เขาไม่รู้ว่ามือคว้าโทรศัพท์ขื้นมาแต่เมื่อไร กดเลขหมายทันที

"ว่างแล้วหรือ..."

"ทำไมอื้ง...เมื่อก่อนผมไม่เห็นคุณเป็นอย่างนี้...ก่อนนี้คุณเป็นคนสุภาพน่ารัก...เดี๋ยวนี้เกิดอะไรขึ้นกับคุณ ความน่ารักของคุณหายไปไหนแล้ว บอกผมได้มั้ย???..."

"ใช่ ก็ฉันมันไม่น่ารักเหมือนสาวๆ นี่...ไม่เหมือนคุณไปไหนมาไหนมีสาวๆ ห้อมล้อม... เดี๋ยวนี้ว่างโทรหาสาวๆ แต่ไม่ว่างสำหรับหนู..."


ความหงอยเหงาเข้ามาเยี่ยมและเป็นเพื่อนเขานานแรมปี....

ต่ายทนกับความคิดเก่าๆ และบ่อยครั้งมากที่ทำให้เขารู้สึกเศร้าเหงาหงอยเหมือนคนใกล้สิ้นใจด้วยโรคร้าย เขาเดินตรงไปที่บันไดก้าวขาขื้นบนบ้าน ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ เขาไม่ลืมมองมาห้องทำงาน ก่อนนี้ ที่ห้องทำงานของเขา แม้เขาจะอยู่คนเดียว เดี่ยวโดด แต่มีความสุข ดูเหมือนว่าในเวลานั้นอีเมลคงเป็นเพื่อนที่รู้ใจเป็นที่สุด อีเมลเป็นสื่อและเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขาและเธอได้อยู่ใกล้ชิดกัน แม้จะอยู่คนละฟากฟ้าที่ไกลแสนไกล เขาพึมพำกับตัวเอง

"ทำไมคนเราไม่ยอมเข้าใจกันบ้างหนอ...เมื่อไรวันที่แสนหวานจะกลับมา..."

เขาลุกจากเก้าอี้เดินตรงไปที่ห้องครัว...และแล้วก็มองเห็นแสงไฟสว่างนิดๆ ปะปนอยู่กับความมืดมิด...

 

 

บล็อกของ แสงพูไช อินทะวีคำ

แสงพูไช อินทะวีคำ
จริงๆแล้วผมพยายามถอดความจากกวีที่เป็นสำนวนภาษาลาวมาเป็นคำไทย.... แต่คงไม่ไพเราะเหมือนคำลาวที่ผมแต่งไว้เพราะการเขียนภาษาไทยไม่ดีพอ..... อย่างไรก็ตาม ผมมีความตั้งใจมากเพื่อการสื่อความเข้าใจทั้งสองด้านให้กลายเป็นพลังแห่งความรักของสองชาติลาวไทย  ผมมีความต้องการสูงสุดให้คนลาวและไทยมีความเข้าใจกันมากขื้น  ผมเข้าใจว่าในโลกใบนี้หากไม่มีคำว่า “ศัตรู” คงดีที่สุดพี่สัญญากับน้องว่าจะเปลี่ยนพี่จะเพียรแต่งแต้มแปลงเรือนผมผมไม่แดงเหมือนฝรั่งหลอกพี่ว่าแต่มาเจอเธอยิ่งกว่าเดีมผมก็แดงแทงใจน้องหูก็บ๋องมีต่างช่างเปลียนไปหูก็บ๋อง ผมก็แดงมันแทงใจก็นั้นไง…
แสงพูไช อินทะวีคำ
วันนี้ผมมีของฝากจากเมืองลาว มาให้พี่น้องได้อ่านกัน สิ่งที่ผมจะนำมาให้อ่านในประชาไทเป็นบทกลอนที่ผมแต่งขื้นเมื่อปี 2003 ระยะนั้นผมมองเห็นอะไรสักอย่างหนิ่งที่มันแฝงตัวอยู่กับสังคมลาว บางทีสิ่งที่พูดอาจไม่ใช่เป็นสิ่งที่เกีดขื้นในเมืองลาวเพียงอย่างเดียว......แต่มันอาจเป็นสิ่งที่เกีดขื้นในทั่วโลกก็เป็นได้ แต่ในที่นี้ผมขอใช้เป็นสำนวนภาษาลาว ด้านหนิ่งสมบูรณ์ด้วย  มูนมากเงินคำด้านหนิ่งต่ำเพียงดิน  คอบความจนไฮ้(ไร้)เปลียบเหมือนไฟลามไหม้  มะไลกันบ่ดับมอด   เป็นแล้วสองส้นเตาะต่อยดั้น  ครือพ้าบั่นขวานยามเมื่องกางต่อน้ำ  พัดขาดเป็นวังกางต่อฟังคำหวาน …
แสงพูไช อินทะวีคำ
ที่ ESCUDERO, ประเทศ Philippines“ไปทานข้าวกันเถอะ!”..............เธอเป็นคนค่อนข้างอ้วนท้วน  ยักไหล่เบาๆ...ปล่อยคำทักทายเหมือนกับเธอมีอำนาจสูงสุด ใช่จริงด้วยเพราะเวลานี้มันเลยเที่ยงไปแล้ว หลายคนท้องร้อง คอยให้ผู้รับผิดชอบงานสัมมนาบอกให้หยุดพักได้“วันนี้ไปรับประทานอาหารในสถานที่แปลกๆ กันนะ”....เธอร้องบอก ขณะที่ทุกคนเร่งเดินออกจากห้องประชุมมุ่งหน้าไปที่ร้านอาหาร......“เขาบอกว่าจะทานข้าวบนผิวน้ำ!”....หนุ่มฟิลิปปินส์คนหนึ่งเดินเข้ามาพูดกับผม“อ้าว! จะไปทานได้ไงล๋ะ?”“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”ผมมองหน้าเขา แล้วหนุ่มคนนั้นก็มองหน้าผม ในที่สุดเราทั้งสองก็หัวเราะ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรอีก…
แสงพูไช อินทะวีคำ
หยุดการพูดถึงวรรณคดีปฏิวัติไว้สักระยะหนึ่งก่อน แล้วค่อยพูดกันต่อไป...หันมาพูดเรื่องวัฒนธรรมให้อิ่มใจสักนิดหนึ่ง.........เพื่อนฝั่งเชียงของบอกผมว่า อยากอ่านงานเขียนเกี่ยวกับเรื่องวัฒนธรรมลาว ผมก็นึกจะเขียนตามนั้น แต่พอเอาเข้าจริงๆ มันไม่ใช่อย่างที่นึกเอาไว้ เพราะวัฒนธรรมชุมชนในบางแห่งเลือนหายไปอย่างมาก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนก็คงเป็นพิธีกรรมขอน้ำฟ้าน้ำฝนของชุมชนในชนบท   เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ผมก็คิดไปว่า เราจะพูดเรื่องนี้ให้ใครฟัง?  จะพูดให้ตัวเราเองฟังก็อายตัวเอง เพราะเหตุการณ์มันไม่ใช่เป็นไปอย่างเดิมแล้วผมขอพูดถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างทางพิธีกรรมดีกว่า…
แสงพูไช อินทะวีคำ
วรรณคดีปฏิวัติที่กล่าวถึงมากที่สุดก็คงจะเป็นปรปักษ์สองด้าน คือ การปฏิวัติและระบบการปกครองเก่า การสะท้อนให้เราได้เห็นความอยุติธรรม นักประพันธ์ปฏิวัติสะท้อนให้เห็นภาพในระบบการปกครองเก่าได้ชัดเจน ว่า ระบบการปกครองเก่า เวลาใดก็เป็นปรปักษ์อย่างที่สุดต่อกับการปฏิวัติ ความอยุติธรรมส่วนมากก็คงเกิดขื้น บนแผ่นดินที่นอนอยู่ใต้แห่งการควบคุมของระบบการปกครองของระบบเก่าที่เวลาใดก็เป็นศัตรูสุดขีดต่อการปฏิวัติลาว ในบทประพันธ์สะท้อนให้เห็นมากที่สุดก็คงเป็น หนุ่มสาวพร้อมเพรียงกันหลบหนีจากแผ่นดินเกิดของเขา ไปหาการปฏิวัติวรรณคดีปฏิวัติที่พบเห็นส่วนมาก นักประพันธ์ชอบใช้ในรูปของการบันทึกเป็นส่วนใหญ่…
แสงพูไช อินทะวีคำ
มีหลายอย่างที่สะท้อนออกมาให้เราได้เห็นและคิด เมื่อมองเห็นภาพโดยรวมที่ว่า- -ทำไมนักเขียนถึงกำเนิดขึ้นในระยะที่ประเทศชาติทำการปฏิวัติชาติประชาธิปไตย? นักเขียนปฏิวัติมีจุดยืนของตัวเองอย่างไร เพื่อเขียนบทประพันธ์ของตน? นักประพันธ์ปฏิวัติมองเห็นข้อบกพร่องอะไรบ้างของระบบล่าอาณานิคมแบบเก่าและใหม่?  พวกเขาใช้หลักการประพันธ์อย่างไรเพื่อให้คนอ่านได้มองเห็นความสมจริงของเรื่อง?  นักประพันธ์ปฏิวัติมีความต้องการให้เข้าใจการปฏิวัติอย่างไรและเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งต่อระบบจักรววตินิยม? คำถามเหล่านี้ตั้งขึ้นเพื่อการหาคำตอบว่า นักประพันธ์มีจุดยืนของตนอย่างไรเพื่อการเขียน!…
แสงพูไช อินทะวีคำ
ในประเทศลาว หากเอ่ยถึงวรรณคดีปฏิวัติแล้ว หลายคนก็เข้าใจทันทีที่เอ่ยถึง ว่าเป็นบทวรรณคดีที่แต่งขึ้นในยุคที่ทำการปฏิวัติชาติประชาธิปไตย ซึ่งเป็นระยะที่ประเทศชาติลาวตกเป็นอาณานิคมของจักรพรรดิเก่าและใหม่  ระยะนี้วรรณคดีเกิดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์อยู่อย่างหนึ่ง คือ เป็นเครื่องมือรับใช้ให้แก่การปฏิวัติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปลดปล่อยประเทศชาติและประชาชนออกจากการกดขี่ของจักรวรรดินิยม เพื่อให้ชาติและประชาชนมีเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตยประชาชนเมื่อเป็นเช่นนั้น วรรณคดีปฏิวัติระยะนี้จึงมีความสำคัญมากในการประกอบส่วนเข้าในการโฆษณาเผยแพร่ผลงาน และการชนะสงครามของการปฏิวัติ,…