Skip to main content
พระอาทิตย์ยามใกล้ค่ำสาดแสงอ่อนๆ ลอดผ่านปลายไม้ตามถนนล้านช้าง บนถนนรถยังคงแน่นขนัดวิ่งสวนกันไปมา ข้าพเจ้าประคับประคองร่างกาย ค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่าช้าๆ สายตามองสองส่องหาเศษขยะ  ปากก็กลืนน้ำลายลงคอ  สมองก็เริ่มคิดว่า ในบรรดาถังขยะเหล่านั้นจะมีสิ่งใดที่พอทำให้ข้าพเจ้ามีชีวิตรอดต่อไปอีกหนึ่งวัน


ความหิววิ่งพล่านอยู่ในช่องท้องทุกขณะ ปวดท้องขึ้นมาคราใด ข้าพเจ้าต้องได้ทรุดตัวลงนั่งริมฟุตบาทเอาหัวเข่าแนบเข้ากับท้อง เพื่อบรรเทาความปวดจากความหิว เมื่อผ่อนคลายได้บ้าง ข้าพเจ้าก็จะมีแรงบังคับขาให้ก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้ ตอนนี้ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงเรื่องราวในวัยหนุ่มตอนที่ยังไม่มีครอบครัว  ข้าพเจ้าโซซัดโซเซไปตามถนนผ่านหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง  มีเสียงดังจากในร้านออกมาข้างนอกบ่งบอกได้ว่าทุกคนในร้านกำลังมีความสุข

"ของกินที่เหลือจะทำยังไงดีคะ" เจ้าของร้านถาม
"เอาใส่ถุงให้หน่อยจะเอากับไปให้เจ้าดำสุนัขที่บ้าน" ข้าพเจ้าสำรวจตัวเองแล้วเดินเข้าไปในร้านอาหาร เพื่อหวังจะขออาหารที่เหลือเท่านั้น แต่พอไปถึงเพียงหน้าร้านก็มีคนมาไล่ข้าพเจ้าให้ไปจากร้านเร็วๆ
"เอ็งมานี่ทำไม เดี๋ยวแขกในร้านก็ได้อ้วกกันพอดี"
"ข้าขอเศษอาหารพอได้รองท้องสักหน่อยเถอะ"
"ไม่มีหรอกเศษอาหารไป...ไปให้พ้นหูพ้นตา" ข้าพเจ้าจำเป็นต้องแบกความหิวโหยที่ทรมานนั้นเดินโซเซไปตามฟุตบาทอย่างไร้ความหวัง

ตอนนี้แสงพระอาทิตย์บนถนนล้านช้างเปลี่ยนจากสีเหลืองอ่อนๆ เป็นสีแดงคล้ายกับสีสนิมเหล็ก บนฟ้าทิศตะวันตกมองดูไปคล้ายมีเทพธิดาร่ายรำอยู่บนนั้นพอให้คนอย่างข้าพเจ้าได้ชมเป็นขวัญตา  แต่ด้วยความหิวทำให้ข้าพเจ้าต้องหันหน้าหนีมาสนใจถังขยะใบใหญ่ใบหนึ่ง ข้าพเจ้ายื่นมือเข้าไปควานหาถุงพลาสติกใบใหญ่ มือทั้งสองข้างสั่นเทาด้วยความหิว เมื่อล้วงลงไปก็เจอส้มที่กินเหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง ในถุงมีเนื้อติดกระดูกอยู่สองชิ้น  ข้าพเจ้าหยิบขึ้นใส่ปากแล้วกินอย่างอร่อย นอกจากนั้นในถุงยังมีกล้วยอีกสองใบ  เมื่อกินเสร็จ ข้าพเจ้าเอาหลังพิงกำแพงยืดตัวให้พอมีแรงแล้วเดินต่อไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย

ข้าพเจ้าไม่ได้คิดถึงอาหารเย็นอีกแล้ว  จะเหลือก็แต่ที่ซุกหัวนอนเท่านั้น ข้าพเจ้าเดินตามริมฟุตบาทไปเรื่อยๆ  แล้วเลี้ยวขึ้นไปทางถนนหลวงพระบางท่ามกลางแสงไฟฟ้าสว่างไสว เพราะตอนนี้เริ่มมืดแล้ว  ข้าพเจ้าเดินไปเรื่อยๆ  เพราะไม่รู้ว่าที่ไหนจะพอให้ได้ซุกหัวนอน  ก่อนหน้านี้ไปที่ไหนก็มีแต่คนไล่หนี

"ไป...ที่ตรงนี้ไม่ใช่ที่นอน ไม่มีบ้านนอนหรือไง...ไปๆ"
"ให้ข้าพเจ้านอนใต้ร่มไม้นั้นก็ได้"
"ใต้ร่มไม้ก็ไม่ได้ เดี๋ยวของชาวบ้านแถวนี้จะหาย"

ข้าพเจ้ามองชายวัยกลางคนด้วยสายตาอ้อนวอนขอความเห็นใจ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำอย่างไรหรือไม่  เพราะตอนนี้ข้าพเจ้ายืนอยู่ในที่มืด ข้าพเจ้าเข้าใจว่าชายคนนี้ต้องเป็นเจ้าของตึกใหญ่โตหลังนี้ เพราะใส่สร้อยคอทองคำเส้นโตเท่านิ้วก้อย ข้าพเจ้ามองดูชายคนนั้นแล้วมองดูตัวเอง  ฟ้ากับดินชัดๆ ข้าพเจ้าไม่ได้ต่อปากต่อคำกับชายคนนั้นอีกได้แต่ก้มหน้าเดินหนี เพราะชายคนนั้นโยนก้อนหินไล่  ข้าพเจ้าทั้งเดินทั้งคิดถึงตอนที่ตัวเองเป็นผู้ใหญ่บ้านในสมัยสงครามต่อสู้กับการรุกรานของจักรพรรดินิยม  เมื่อมีหลายคนมาถึงบ้าน ข้าพเจ้าจะบอกให้ภรรยาเอาน้ำมาให้เขาเหล่านั้นดื่ม ถึงแม้จะไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อนก็ตามที คิดถึงตอนนั้นแล้วข้าพเจ้ายังคงรู้สึกดี เพราะเชื่อว่าตัวเองได้ทำในสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว

"แผลเป็นตามตัวของลุงเกิดจากอะไร" เพื่อนร่วมอาชีพคนหนึ่งถามขณะที่ข้าพเจ้านอนตากหมอกตากลมอยู่ใกล้สี่แยกไฟแดงสีหอม ภาพทั้งหมดในอีดตผุดขึ้นมาในสมองของข้าพเจ้าทันที
"เรื่องนี้ถ้าจะเล่ายาวนะทนฟังได้หรือเปล่า"
"ไม่เป็นไรยาวก็ฟังได้"

ในปี ๑๙๖๙ ฟ้าไม่เป็นใจให้ลุง ในขณะที่ลุงกำลังเดินข้ามห้วยน้ำไหลแรงที่กำลังนองจนเต็มฝั่ง ตอนนั้นไม่รู้ว่าเครื่องบิน F๑๐๕ บินมาจากไหนปักหัวพลิกคว่ำพลิกหงายลงแล้วก็ปล่อยระเบิดลงมาปานห่าฝน มันเปลี่ยนกันมาถล่มทั้งวัน ลุงไม่มีโอกาสไปหาลูกกับภรรยาเลย เพราะระเบิดไม่ยอมหยุดทำงานแม้แต่วินาทีเดียว ลุงทนอยู่ในสภาพแบบนั้นต่อไปไม่ได้จึงรีบออกมาจากปากหลุมหลบภัย แล้ววิ่งลัดเลาะไปตามริมห้วยไปจนถึงป่าละเมาะ ลุงพยายามหาที่กำบัง จากนั้นก็วิ่งฝ่าห่าระเบิดเข้าไปในหมู่บ้าน ภาพที่ปรากฏในตอนนั้นคือบ้านหลายหลังกำลังถูกไฟไหม้ ตอนนั้นบ้านนาอุงจมอยู่ในกองเพลิง อารมณ์นั้นลุงไม่นึกกลัวอะไรอีกต่อไป ลุงรีบวิ่งเข้าไปในบ้าน แต่สิ่งที่พบคือความว่างเปล่า ลูกและภรรยาของลุงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทันใดนั้นลุงก็ได้ยินเสียงระเบิดดังสะเทือนไปทั่วแผ่นดิน หลังจากนั้นลุงก็ไม่รู้สึกตัว มารู้สึกตัวก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในโรงพยาบาลทหาร ลุงรักษาที่โรงพยาบาลเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม

ในขณะที่ลุงกำลังทำการรักษาตัวเองอยู่ในโรงพยาบาลก็ได้พยายามสืบข่าวหาครอบครัว แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือคำตอบว่า ที่บ้านนาอุงไฟไหม้เหลือแต่ขี้เถ้า สัตว์เลี้ยงก็ไม่หลงเหลือแม้แต่ตัวเดียว แพทย์พยาบาลบอกว่า ลุงเป็นคนโชคดีที่รอดชีวิตมาได้ จากนั้นมาลุงก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรอย่างไร วันๆ จึงเอาแต่เที่ยวไปเรื่อยๆ บางครั้งก็ไปอยู่กับน้องชาย บางครั้งก็ไปอยู่กับน้องสาว บางครั้งก็ไปอยู่กับพี่สาวเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ทุกวันลุงได้แต่กินข้าวกับน้ำตา เพราะตัวเองกลายเป็นคนพิการ

"แล้วทำไมลุงไม่แต่งงานใหม่"
"สภาพแบบนี้นะจะแต่งงานใหม่ เราต้องเข้าใจว่าเราแต่งกับเขาแล้วก็ต้องดูแลเขา ไม่ใช่ให้เขามาดูแลเรา อย่างนี้ไม่ใช่ลูกผู้ชาย ถ้าจะแต่งงานใหม่แล้วผู้หญิงคนไหนจะมาแต่งกับคนพิการ แต่ถ้ามีลุงก็คงไม่แต่ง เพราะสงสารคนที่เขาจะมาแต่งงานด้วย"
"แล้วเอ็งละยังหนุ่มแน่นทำไมมาขอทานเขากิน"
"ที่บ้านแห้งแล้งทำอะไรก็ไม่ได้ผลผลิต"
"ไม่ใช่เกียจคร้านทำนาหรือ"
"ไม่ใช่ ไม่ใช่ แต่บางคนก็ขี้เกียจจริงๆ แต่บางคนไม่มีที่ทำกิน"


ตอนนี้ใกล้เที่ยงคืนแล้ว เพื่อนร่วมอาชีพของข้าพเจ้าต่างก็ปล่อยความคิดล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมายปลายทางตามสภาพของแต่ละคน ข้าพเจ้ายื่นมือไปหยิบเอาสังกะสีแผ่นหนึ่งขึ้นมาเสียบเข้ากับตะปูที่ข้างกำแพงพอให้มันทำหน้าที่บดบังหมอกยามดึกให้กับตัวเอง เสียงรถบนถนนเริ่มลดลงบ้างแล้ว  ที่ส่งเสียงดังเป็นระยะก็เป็นรถจักรยานยนต์ของพวกวัยรุ่นที่กลับออกมาจากร้านคาราโอเกะ และร้านบันเทิงต่างๆ แล้วเหตุการณ์ทั้งหมดของค่ำคืนนั้นก็ผ่านไปท่ามกลางวันเวลาแห่งความหนาวเย็น หดหู่ และขมขื่น

อรุณเบิกฟ้าวันใหม่ส่องแสงสีแดงฉาบทาไปทั่วจนข้าพเจ้าต้องตื่นขึ้นมา เพราะรู้สึกอ่อนเพลียปวดเมื่อยไปทั้งตัว เพื่อนร่วมอาชีพของข้าพเจ้าหายไปแล้วคงเพราะความหิวอันเนื่องมาแต่คืนที่ผ่านมาไม่มีอาหารตกถึงท้อง ข้าพเจ้ายื่นมือไปคว้าเอาน้ำขวดที่ยังเหลืออยู่ครึ่งขวดมาล้างหน้า  จากนั้นก็ก้าวข้ามรั้วออกไปแล้วเดินมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ  อย่างที่เคยทำมา แต่วันนี้ดูเหมือนว่าจะโชคดีกว่าวันก่อน และถือว่าเป็นโชคใหญ่ในรอบปีของการเป็นขอทานที่หากินตามฟุตบาท  เพราะเพียงแต่เดินไปถึงเขตหลักสองหรือที่คนทั่วไปเรียกว่าช้างสามหัว  ข้าพเจ้าก็แวะเข้าไปในบ้านวิลล่าหลังหนึ่งเพื่อขอทาน พอเข้าไปยืนอยู่ขอบประตู  ชายผู้เป็นเจ้าของบ้านที่ค่อนข้างอ้วนนิดหนึ่งก็เดินออกมาจากบ้าน พร้อมทั้งสังเกตดูข้าพเจ้าตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเท่าที่ควรพร้อมกับถามว่า

"ขาเป็นอะไรมาแล้วตามตัวไปโดนอะไรมา"
"เหล่านี้ล้วนเป็นผลพวงแห่งสงคราม" เขาแสดงสีหน้างุนงงเล็กน้อยแล้วถามต่อ
"พิการจากการสู้รบใช่ไหม"
"พอดีตอนนั้นกำลังจะเข้าไปช่วยลูกและภรรยา"


เขาเดินเข้าไปในบ้านนานพอสมควรจนข้าพเจ้าหมดกำลังใจที่จะรอคอย กำลังจะก้าวขาเดินออกจากบ้านหลังนั้นไป  ก็พอดีได้ยินเสียงร้องเรียก ข้าพเจ้ารีบหันหน้ากลับมาทันเห็นเขาเดินออกมาพร้อมกับถังพาสติกใบใหญ่อันหนึ่งพร้อมกับตั้งคำถามมาอีก

"ดื่มน้ำก่อนไหมแล้วค่อยไป"
"พอดีมีแล้วขอบคุณมาก"

พอออกมาพ้นประตูบ้านข้าพเจ้ารีบเปิดถังพาสติกใบนั้นดู ในถังมีข้าวเหนียวห่อหนึ่ง และมีเนื้อทอด ๕-๖ ชิ้น ส้ม ๕ ลูก ไส้อั่ว ๓ ชิ้น และมีเงินราว ๓๐,๐๐๐ กีบ หัวใจของข้าพเจ้าเต้นแรงด้วยความดีใจ เพราะในระยะสามปีกับการมีชีวิตด้วยการขอทาน ข้าพเจ้าไม่เคยได้อะไรมากมายอย่างขนาดนี้ ข้าพเจ้าได้แต่ภาวนาให้ชายคนนั้นโชคดี ร่ำรวยขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า

วันนี้ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องขอทานอีก สิ่งที่ข้าพเจ้าได้จากการให้ทานของผู้ใจบุญวันนี้ ข้าพเจ้าสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึงหนึ่งอาทิตย์ ข้าพเจ้าเดินกลับมาตามถนนเลียบริมแม่น้ำโขง เดินผ่านหน้าโรงแรมล้านช้างไปประมาณ ๒๐ กว่าเมตรจึงนั่งพักผ่อนอยู่กลางสนามหญ้า อาหารเช้าวันนี้ ข้าพเจ้ามีอาหารที่อร่อยกว่าหลายๆ วันที่ผ่านมาตั้งร้อยเท่าพันเท่า ข้าพเจ้ายังรู้สึกแปลกใจว่าทำไมเขาจึงให้ข้าพเจ้ามามากมายเพียงนี้ หรืออาจเป็นเพราะเขาเห็นข้าพเจ้าเป็นคนเหมือนกับคนอื่นหรือว่าเขาเห็นข้าพเจ้าเป็นคนพิการ...

พระอาทิตย์เคลื่อนย้ายมาจนถึงเที่ยงวันแล้ว ข้าพเจ้าลงอาบน้ำในแม่น้ำโขงเพื่อชำระล้างคราบไคลตามร่างกาย แล้วกลับขึ้นมาที่เดิมเพื่ออาหารเที่ยงที่โชคดีที่สุด ข้าพเจ้ากินข้าวไปตาก็มองรถที่วิ่งผ่านไปมาบนถนนไม่ขาดสาย ทั้งเสียงรถเร่งความเร็ว ทั้งเสียงแตรดังสนั่น มันเป็นภาพของความเจริญทางวัตถุที่ข้าพเจ้ากำลังได้เห็นในช่วงของการดำรงชีพด้วยการเป็นขอทาน

วันเวลาเลยผ่านไปเรื่อยๆ โดยไม่ยอมรอคอยใคร เวลาหมุนไปพร้อมกับดึงเอาความจริงหลายอย่างไปด้วย  และเหลือไว้เพียงส่วนหนึ่ง  เพื่อให้คนได้เห็น และสัมผัสกับมัน  ข้าพเจ้างีบหลับอยู่บนสนามหญ้านานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่พอตื่นขึ้นมา พระอาทิตย์ที่ขาวกระจ่างก็เปลี่ยนเป็นสีแดงช้ำอีกครั้ง เตือนให้รู้ว่า เวลาได้ดึงเอาทุกสิ่งทุกอย่างจากมนุษย์ไปอีกส่วนหนึ่งแล้ว

วันเวลาหมุนเวียนผ่านไปเร็วเหลือเกิน เงินที่ได้จากผู้ใจบุญก็ใกล้จะหมดไปแล้ว คิดจะกลับไปขอทานผู้ใจบุญคนนั้นอีก  แต่ข้าพเจ้าก็รู้สึกอายขึ้นมาทันทีที่นึกได้เช่นนั้น  ข้าพเจ้าจึงตั้งใจไว้ว่าจะไม่ไปรบกวนเขาอีกแน่นอน  ข้าพเจ้าเปลี่ยนเส้นทางเดินในการขอทานทันที  ถึงวันนี้จะไม่โชคดีเหมือนสองอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่ก็พอได้กินรองท้อง ข้าพเจ้ายังมีข้าวนึ่งปั้นหนึ่ง และเนื้อสองชิ้นสำหรับอาหารเย็น ข้าพเจ้าหิ้วถุงข้าวมุ่งหน้าไปทางน้ำพุ เดินไประยะหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ได้พบผู้คนจำนวนมากที่กำลังซุบซิบกันอยู่  มีเสียงหนึ่งดังขึ้น 

"ไป หนีไป มือเท้ายังดีจะมาขอทานทำไม ไปๆ"
"ทำบุญทำทานด้วยเถอะ ตั้งแต่เช้าจนป่านนี้ยังไม่ได้กินข้าวเลย"
"ไม่ ไป หนีไปไกลๆ ไม่มีโว้ย!"

ข้าพเจ้ามองเห็นชายคนนั้นทั้งสั่นทั้งกลัว  ตามเนื้อตัวของเขาหมองคล้ำกว่าข้าพเจ้ามาก เขาเดินเซไปเหมือนกับจะเป็นลม น้ำลายเริ่มไหลออกมาจากปาก  เขาเดินเซไปหาถังขยะที่มีถุงพลาสติกเต็มแล้วยื่นมือเข้าไปค้นหาตามแต่ละถัง  ไม่นานศรีษะของเขาก็มุดลงไปในถังขยะจนต้องร้องครวญครางโอดโอยด้วยความหิวโหย  ข้าพเจ้าดูแล้วเขาคงเจ็บปวดไม่น้อย ข้าพเจ้าจึงเดินเข้าไปหาเขาเมื่อผู้คนเดินหนีกันหมดแล้ว

"เป็นยังไงเจ็บมากไหม"
"เจ็บนะไม่มากหรอก แต่หิวมากกว่า"

ข้าพเจ้ามองดูถุงข้าว ทั้งมองดูเพื่อนร่วมชะตากรรม ทั้งคิดถึงความหิวของตนเองเมื่อเอาข้าวให้เขากินแล้ว คิดถึงความหิวของตัวเองเวลาขอทานไม่ได้ คิดถึงสภาพต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น แต่ในที่สุดข้าพเจ้าก็นั่งลงข้างๆ เขา แล้วดึงแขนเขาลุกขึ้นนั่งก่อนจะยื่นถุงข้าวให้ เขาคว้าถุงด้วยความดีใจทั้งพูดขึ้นว่า

"วันนี้ข้าเพิ่งได้กินข้าวครั้งแรกนี่แหละ"
ข้าพเจ้ากลืนน้ำลายลงคอนั่งมองดูเขากินข้าวด้วยความอร่อย และหิวโหย

 

 

บล็อกของ แสงพูไช อินทะวีคำ

แสงพูไช อินทะวีคำ
จริงๆแล้วผมพยายามถอดความจากกวีที่เป็นสำนวนภาษาลาวมาเป็นคำไทย.... แต่คงไม่ไพเราะเหมือนคำลาวที่ผมแต่งไว้เพราะการเขียนภาษาไทยไม่ดีพอ..... อย่างไรก็ตาม ผมมีความตั้งใจมากเพื่อการสื่อความเข้าใจทั้งสองด้านให้กลายเป็นพลังแห่งความรักของสองชาติลาวไทย  ผมมีความต้องการสูงสุดให้คนลาวและไทยมีความเข้าใจกันมากขื้น  ผมเข้าใจว่าในโลกใบนี้หากไม่มีคำว่า “ศัตรู” คงดีที่สุดพี่สัญญากับน้องว่าจะเปลี่ยนพี่จะเพียรแต่งแต้มแปลงเรือนผมผมไม่แดงเหมือนฝรั่งหลอกพี่ว่าแต่มาเจอเธอยิ่งกว่าเดีมผมก็แดงแทงใจน้องหูก็บ๋องมีต่างช่างเปลียนไปหูก็บ๋อง ผมก็แดงมันแทงใจก็นั้นไง…
แสงพูไช อินทะวีคำ
วันนี้ผมมีของฝากจากเมืองลาว มาให้พี่น้องได้อ่านกัน สิ่งที่ผมจะนำมาให้อ่านในประชาไทเป็นบทกลอนที่ผมแต่งขื้นเมื่อปี 2003 ระยะนั้นผมมองเห็นอะไรสักอย่างหนิ่งที่มันแฝงตัวอยู่กับสังคมลาว บางทีสิ่งที่พูดอาจไม่ใช่เป็นสิ่งที่เกีดขื้นในเมืองลาวเพียงอย่างเดียว......แต่มันอาจเป็นสิ่งที่เกีดขื้นในทั่วโลกก็เป็นได้ แต่ในที่นี้ผมขอใช้เป็นสำนวนภาษาลาว ด้านหนิ่งสมบูรณ์ด้วย  มูนมากเงินคำด้านหนิ่งต่ำเพียงดิน  คอบความจนไฮ้(ไร้)เปลียบเหมือนไฟลามไหม้  มะไลกันบ่ดับมอด   เป็นแล้วสองส้นเตาะต่อยดั้น  ครือพ้าบั่นขวานยามเมื่องกางต่อน้ำ  พัดขาดเป็นวังกางต่อฟังคำหวาน …
แสงพูไช อินทะวีคำ
ที่ ESCUDERO, ประเทศ Philippines“ไปทานข้าวกันเถอะ!”..............เธอเป็นคนค่อนข้างอ้วนท้วน  ยักไหล่เบาๆ...ปล่อยคำทักทายเหมือนกับเธอมีอำนาจสูงสุด ใช่จริงด้วยเพราะเวลานี้มันเลยเที่ยงไปแล้ว หลายคนท้องร้อง คอยให้ผู้รับผิดชอบงานสัมมนาบอกให้หยุดพักได้“วันนี้ไปรับประทานอาหารในสถานที่แปลกๆ กันนะ”....เธอร้องบอก ขณะที่ทุกคนเร่งเดินออกจากห้องประชุมมุ่งหน้าไปที่ร้านอาหาร......“เขาบอกว่าจะทานข้าวบนผิวน้ำ!”....หนุ่มฟิลิปปินส์คนหนึ่งเดินเข้ามาพูดกับผม“อ้าว! จะไปทานได้ไงล๋ะ?”“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”ผมมองหน้าเขา แล้วหนุ่มคนนั้นก็มองหน้าผม ในที่สุดเราทั้งสองก็หัวเราะ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรอีก…
แสงพูไช อินทะวีคำ
หยุดการพูดถึงวรรณคดีปฏิวัติไว้สักระยะหนึ่งก่อน แล้วค่อยพูดกันต่อไป...หันมาพูดเรื่องวัฒนธรรมให้อิ่มใจสักนิดหนึ่ง.........เพื่อนฝั่งเชียงของบอกผมว่า อยากอ่านงานเขียนเกี่ยวกับเรื่องวัฒนธรรมลาว ผมก็นึกจะเขียนตามนั้น แต่พอเอาเข้าจริงๆ มันไม่ใช่อย่างที่นึกเอาไว้ เพราะวัฒนธรรมชุมชนในบางแห่งเลือนหายไปอย่างมาก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนก็คงเป็นพิธีกรรมขอน้ำฟ้าน้ำฝนของชุมชนในชนบท   เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ผมก็คิดไปว่า เราจะพูดเรื่องนี้ให้ใครฟัง?  จะพูดให้ตัวเราเองฟังก็อายตัวเอง เพราะเหตุการณ์มันไม่ใช่เป็นไปอย่างเดิมแล้วผมขอพูดถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างทางพิธีกรรมดีกว่า…
แสงพูไช อินทะวีคำ
วรรณคดีปฏิวัติที่กล่าวถึงมากที่สุดก็คงจะเป็นปรปักษ์สองด้าน คือ การปฏิวัติและระบบการปกครองเก่า การสะท้อนให้เราได้เห็นความอยุติธรรม นักประพันธ์ปฏิวัติสะท้อนให้เห็นภาพในระบบการปกครองเก่าได้ชัดเจน ว่า ระบบการปกครองเก่า เวลาใดก็เป็นปรปักษ์อย่างที่สุดต่อกับการปฏิวัติ ความอยุติธรรมส่วนมากก็คงเกิดขื้น บนแผ่นดินที่นอนอยู่ใต้แห่งการควบคุมของระบบการปกครองของระบบเก่าที่เวลาใดก็เป็นศัตรูสุดขีดต่อการปฏิวัติลาว ในบทประพันธ์สะท้อนให้เห็นมากที่สุดก็คงเป็น หนุ่มสาวพร้อมเพรียงกันหลบหนีจากแผ่นดินเกิดของเขา ไปหาการปฏิวัติวรรณคดีปฏิวัติที่พบเห็นส่วนมาก นักประพันธ์ชอบใช้ในรูปของการบันทึกเป็นส่วนใหญ่…
แสงพูไช อินทะวีคำ
มีหลายอย่างที่สะท้อนออกมาให้เราได้เห็นและคิด เมื่อมองเห็นภาพโดยรวมที่ว่า- -ทำไมนักเขียนถึงกำเนิดขึ้นในระยะที่ประเทศชาติทำการปฏิวัติชาติประชาธิปไตย? นักเขียนปฏิวัติมีจุดยืนของตัวเองอย่างไร เพื่อเขียนบทประพันธ์ของตน? นักประพันธ์ปฏิวัติมองเห็นข้อบกพร่องอะไรบ้างของระบบล่าอาณานิคมแบบเก่าและใหม่?  พวกเขาใช้หลักการประพันธ์อย่างไรเพื่อให้คนอ่านได้มองเห็นความสมจริงของเรื่อง?  นักประพันธ์ปฏิวัติมีความต้องการให้เข้าใจการปฏิวัติอย่างไรและเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งต่อระบบจักรววตินิยม? คำถามเหล่านี้ตั้งขึ้นเพื่อการหาคำตอบว่า นักประพันธ์มีจุดยืนของตนอย่างไรเพื่อการเขียน!…
แสงพูไช อินทะวีคำ
ในประเทศลาว หากเอ่ยถึงวรรณคดีปฏิวัติแล้ว หลายคนก็เข้าใจทันทีที่เอ่ยถึง ว่าเป็นบทวรรณคดีที่แต่งขึ้นในยุคที่ทำการปฏิวัติชาติประชาธิปไตย ซึ่งเป็นระยะที่ประเทศชาติลาวตกเป็นอาณานิคมของจักรพรรดิเก่าและใหม่  ระยะนี้วรรณคดีเกิดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์อยู่อย่างหนึ่ง คือ เป็นเครื่องมือรับใช้ให้แก่การปฏิวัติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปลดปล่อยประเทศชาติและประชาชนออกจากการกดขี่ของจักรวรรดินิยม เพื่อให้ชาติและประชาชนมีเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตยประชาชนเมื่อเป็นเช่นนั้น วรรณคดีปฏิวัติระยะนี้จึงมีความสำคัญมากในการประกอบส่วนเข้าในการโฆษณาเผยแพร่ผลงาน และการชนะสงครามของการปฏิวัติ,…