Skip to main content

ดาวใจและไพจิตร

เป็นชื่อของเด็กหญิงสองพี่น้อง ลูกสาวแม่พร พ่อสน คนดูแลสวน-สถานที่ของศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้าน


19_8_01


พ่อสนมีลูกทั้งหมดสิบคน ลูกชายสองคนก่อนหน้าดาวใจ ไพจิตร ชื่อไมโคร และ นูโว

นัยว่าพ่อท่าจะชอบเสียงเพลงมากถึงตั้งชื่อลูกเป็นชื่อศิลปินนักร้อง


ตอนนี้ลูกๆ ของพ่อสนที่ไม่ได้เอ่ยนามล้วนออกเรือน มีครอบครัว บ้างเสียชีวิต ลูกๆ ที่ยังอยู่กับพ่อสน แม่พร จึงมีสี่คนที่ว่า (ส่วนลูกชายอีกคนหนึ่งของพ่อสนที่เคยโด่งดังในม็อบปากมูนเมื่อหลายปีก่อน จนหนังสือพิมพ์หลายฉบับต่างเขียนถึงและลงบทสัมภาษณ์ คือดาวไฮปาร์คเด็กที่ชื่อ เปาโล ตอนนี้เปาโลโตเป็นหนุ่ม แต่งงานมีลูกแล้ว)


ดาวใจกับไพจิตร เป็นเด็กหญิงที่ร่าเริง แจ่มใส และเติบโตในครอบครัวที่อบอุ่นจริงๆ


ถึงแม้ว่าพ่อจะเป็นเพียงคนสวน ยังต้องเลี้ยงควาย ทำนา แต่ว่าครอบครัวนี้รักใคร่ กลมเกลียว เป็นห่วงเป็นใยกันอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ฉันมาอยู่ที่นี่ร่วมเจ็ดเดือนเข้าให้ ยังไม่เคยเห็นการทะเลาะเบาะแว้งของพ่อแม่หรือพี่น้องกันเลยสักครั้ง ยิ่งสองเด็กหญิงนี้แล้ว ถ้าไพจิตรงอแงเอาแต่ใจเมื่อไหร่ จะเห็นได้ชัดว่าดาวใจคนเป็นพี่จะยอมน้องเสมอ แม้บางครั้งน้องทำท่าจะอะไรที่ไม่ดี เธอก็จะเตือน เอ็ดบ้าง แต่ไม่เคยยื้อยุดฉุดกระชาก หลายครั้งหลายหนที่เธอได้อะไรมา เธอจะให้น้องสาวก่อน


เด็กหญิงดาวใจปีนี้อยู่ ม.2 แล้ว ส่วนไพจิตร ขึ้นป.4 แต่ดูเอาเถิด ฉันว่าทั้งสองเหมือนเด็กป.5 กับเด็ก ป.2 ยังไงยังงั้น ฉันเคยบอกดาวใจว่า ถ้าเป็นเด็กกรุงเทพฯ เรียนอยู่ ม.2 นี่เค้าเป็นสาวแล้ว ดาวใจได้แต่หัวเราะ


ส่วนไพจิตร เธอยิ่งดูเด็กเอามากๆ ขี้อ้อน และชอบเล่นสนุก ช่วงงานทำบุญร้อยวันการจากไปของพี่มด - วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ เมื่อเดือนมีนาคม ไพจิตรเข้ามาทำความรู้จักกับฉันครั้งแรก หลังจากด้อมๆ มองๆ มานาน เธอกับดาวใจขันอาสามาเป็นคนขายน้ำช่วยฉัน และก็นอนที่ร้านกาแฟ (เป็นร้านกาแฟ ชั่วคราว ตั้งเต๊นท์ผ้าใบและนอนในห้องเก็บของเล็กๆ) หลังจากนั้น เธอก็นับฉันเป็นเพื่อน เวลาไปไหน ถ้าฉันเดินเกาะบ่าเธอ เธอก็จะเอามือเล็กๆ โอบเอวฉันเดินกะหนุงกะหนิง

19_8_02


ไพจิตรทำท่าจะติดฉันเป็นตังเม ในช่วงปิดเทอม เธอจัดการยัดเสื้อผ้าใส่ย่าม ขอให้แม่พามาส่งที่ศูนย์ฯ เพราะอยากมานอนกับฉัน วันต่อมาดาวใจก็ตามมานอนด้วย ซึ่งดีจริงๆ เลยเพราะช่วงนั้นที่ศูนย์ฯ ไม่มีคนอยู่ คนทำงานไปประชุมกันที่จังหวัดโน้นจังหวัดนี้อยู่เรื่อยๆ ฉันเลยอยู่กับเด็กหญิงสองคน


ยามเช้าเราชวนกันเดินเล่น ยามกลางวันฉันทำงาน สองพี่น้องก็หาเรื่องเล่นสนุกๆ ในศูนย์ฯ ไป บางทีไพจิตรอยากเล่นกับฉันแต่ฉันยังต้องเขียนหนังสือ เธอก็จะลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ ดูฉันเขียนหนังสือ ดูไปนานๆ ชักเมื่อย เธอก็จะปูเสื่อนอน หลับสนิท หลับง่ายหลับดายสำหรับเด็กหญิงคนนี้


มีอยู่คืนวันหนึ่ง ฝนฟ้าคะนองอย่างแรง ศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้านกว้างถึงสิบเอ็ดไร่ แต่ในเวลานั้นเราอยู่กันเพียงสามคน ในสามคนนั้นคนที่กลัวฟ้าร้องและความมืดที่สุดคือฉัน พวกเด็กหญิงยังดูโทรทัศน์กันอย่างไม่สนใจอะไรมาก ฉันเลยลุกไปอาบน้ำ คิดว่าอาบน้ำเสร็จจะชวนพวกเธอนอนแล้ว แต่อาบน้ำไปได้ไม่ทันไร ไฟฟ้าก็ดับ ฉันเรียก “ดาว! จิตร!” เกรงว่าเด็กๆ จะกลัว พวกเธอไม่ตอบแต่ฉันได้ยินเสียงวิ่งไปมา จากนั้นก็เงียบ


ไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวพี่ออกไป”

ฉันรีบอาบน้ำแต่งตัว พอเปิดประตูก็พบว่าเด็กหญิงทั้งสองยืนยิ้มเผล่หน้าห้องน้ำพร้อมไฟฉายในมือ พวกเธอกลัวว่าถ้าฉันออกจากห้องน้ำมาจะเดินไปไหนไม่ถูกเพราะมันมืดมาก ซึ่งเป็นดาวใจที่สติดีและรอบคอบที่สุด เธอพกไฟฉายมาด้วยในขณะที่ฉันไม่มีอะไรเลย มีแต่ไฟแช็ค


ทำเป็นห่วงเด็กๆ แต่เอาเข้าจริงก็กลายเป็นว่าเด็กๆ ต่างหากที่ต้องมาดูแลฉัน


ฉันจุดเทียนและเริ่มกางมุ้ง ชวนเด็กๆ คุย แต่ไม่นานก็มีโทรศัพท์เข้า ฉันคุยโทรศัพท์กับเพื่อนไปสักห้านาที หันกลับมาไพจิตรก็หลับสนิท เหลือแต่ดาวใจ ในเวลาอย่างนี้ดาวใจจะเป็นผู้ใหญ่มาก เธอจะตรวจตราประตูหน้าต่างว่าปิดดีหรือยัง เธอกับฉันคุยกันไปเรื่อยเปื่อยสักพัก ดาวใจก็นอน เธอนอนอยู่ขวาสุดของมุ้ง ขณะที่ไพจิตรนอนอยู่ซ้ายสุดของมุ้ง เปิดพื้นที่ตรงกลางให้ฉันนอน แต่ยังไม่ทันจะล้มตัวนอน ไพจิตรก็ละเมอพูดอะไรไม่รู้ออกมา ฉันกับดาวใจได้แต่หันมามองหน้ากันงงๆ และหัวเราะ


รุ่งเช้า พอฉันมุดออกจากมุ้ง เด็กหญิงทั้งสองที่ตื่นก่อนแล้ว ดูท่าว่าจะอยากเล่าอะไรให้ฉันฟัง
ดาวใจรีบพูดก่อนว่า “แม่สร้อย เมื่อคืนเจ้าได้ยินเสียงซอบ่”

ฉันพยักหน้า “อือ”

ได้ยินจริงๆ ได้ยินถนัดหูเลย ยังคิดว่าบ้านตรงข้ามศูนย์ฯ เล่นหรือเปล่า แต่ไฟฟ้าดับและฝนตกหนักปานนี้ใครกันหนอช่างมาสีซอได้ และปกติบ้านตรงข้ามจะเล่นดนตรีพวกแซ็กโซโฟน หรือเครื่องดนตรีไฟฟ้า ไม่เคยได้ยินเสียงซอมาก่อนเลย


ดาวใจตบโต๊ะฟันธง “ข้อยว่าต้องเป็นแม่มดมาแน่ๆ เลย”

อืมม์... ฉันไม่กล้าคิดอย่างนั้นหรอก

เมื่อคืนไอ้จิตรมันฝันว่าแม่มดมาหา แม่บอกมันว่าบ่ต้องกลัว นอนเสีย”

เด็กหญิงไพจิตรพยักหน้า “แม่มดบอกหนูว่านอนเสียเด้อ บ่ต้องกลัว”


ฉันได้แต่ยิ้มไม่รู้จะพูดอะไร-ยังไงดี

อ่ะ... และฉันก็ไม่กล้าคิดอย่างนั้นด้วย


ผ่านพ้นไปแล้ว เมื่อคืนเราอยู่กันได้อย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์และพี่มดมีจริง ก็ขอบพระคุณที่ท่านคุ้มครองค่ะ


บล็อกของ สร้อยแก้ว

สร้อยแก้ว
อืมม์... ดูเหมือนยุคนี้คนฆ่าสัตว์ตัดชีวิตจะกลายเป็นอาชญากร ไม่น่าคบไปเลยจริงๆ เมื่อฉันจัดการทุบหัวปลาโป๊กๆ สีหน้าน้องผู้หญิงบางคนเหยเก เบะปาก “กินไหมเล่า!” ฉันเอ็ดเอา “กินอ่ะ” “เออ ถ้าจะกินอย่าทำหน้าอย่างนั้น คนฆ่าเสียเซลฟ์เหมือนกัน” อืมม์... แต่จะว่าไปก็ฆ่าตัวเป็นๆ ซะหลายตัว จะไม่ให้น้องมันทำหน้าเบ้ได้ไง กับคนรู้จักมักคุ้นฉันมักออกตัวเสมอว่า ฉันไม่ใช่คนเรียบร้อยใจดีนะ ฉันเป็นคนที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตได้โดยไม่รู้สึกผิดเลย ตกปลาฆ่าปลาได้ ยิงหนังกะติ๊กเอานกมาย่างไฟได้ ฆ่าตั๊กแตน ฆ่าแมลงต่างๆ ได้ จับปูเป็นๆ เผาบนเตาถ่านได้ หรือจับปูเป็นๆ โขลกในครกได้ (การทำน้ำปู๋ของคนเหนือ)…
สร้อยแก้ว
ถ้าไม่ใช่คนอีสาน จะมีใครบ้างหนอ รู้จักแมงหัวหงอก ? โอ้! จ๊อด มันน่าตื่นตาตื่นใจเสียจริง ขนาดว่าฉันโตมากับป่าเขา ใช้ชีวิตอย่างคนบ้านนอกเหมือนกัน แต่ก็ใช่ว่าบ้านนอกทุกพื้นที่จะเหมือนกันเสียเมื่อไหร่ แมงหัวหงอกพากันมาจับต้นไม้ไร้ใบ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทันมีใครสังเกต เห็นอีกที มันก็ขาวเต็มต้นแล้ว แรกทีเดียวฉันคิดว่าเป็นครั่งเสียอีก แต่ไม่ใช่ มันเป็นแมลงเล็กๆ ขาวสะอาดทั้งตัว มีขนสีขาวตรงกลางหลังชี้ออกเหมือนขนหางนกยูง กระโดดได้ เวลาจับตัวมันไว้ในอุ้งมือมันจะกระโดดไปมาแรงทีเดียว ต้องจับลงถังน้ำ ถึงจะหมดความสามารถในการกระโดด แม้จะเป็นแมลงที่ดูสวยงาม น่ารัก แต่ว่าในเมื่อมันกินได้…
สร้อยแก้ว
แมงกุดจี่ทั้งเคยได้ยิน ทั้งเคยฟังเพลง และเคยกินมาก่อน แต่ยามได้เดินถือกระแป๋งตามเด็กสองคนไปขุดหาแมงกุดจี่ในยามเช้า ก็ยังรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้เห็นพวกมันผลุบๆ โผล่ๆ ในรู ดาวใจเป็นพี่สาวของไพจิตร เธอขุดแมงกุดจี่พลาดโดนตัวมันหลายครั้ง ทำให้ฉันขัดใจน่าดู “มา มา ขอพี่ทำหน่อยซิ” ฉันว่าฉันมือเบาน่าจะขุดได้ดี แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ ฉันสับเอาแมงกุดจี่หัวขาด ตัวขาด รุ่งริ่ง เสียจนน่าเวทนา เด็กหญิงไพจิตรร้องเสียงหลงทุกทีที่ฉันยั้งมือไม่ทัน คมเสียมสับลงกลางตัวแมงสีดำๆ นั้นเสียแล้ว
สร้อยแก้ว
เดือนเมษายน เมื่อฉันกลับไปยังศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้านอีกครั้ง ภาพของผืนดินแล้ง หญ้าแห้ง และต้นไม้ใบร่วงยืนโดดเดี่ยวเดียวดายที่เห็นชินตาก็แปรเปลี่ยนไปสายฝนที่สาดเทลงมาเพียงไม่กี่ครั้งได้ลบล้างโลกสีน้ำตาลให้หายไป สองข้างทางระหว่างที่รถสามล้อเครื่องนำพาไปมีทิวหญ้าสีเขียวระบัดใบตลอดทาง ต้นไม้ใบแห้งผลิใบเขียวชะอุ่ม และผืนดินแล้งก็มีพุ่มไม้ใบขึ้นเป็นกอเล็กกอน้อยนับว่าชวนตื่นตาตื่นใจไม่น้อยสำหรับเวลาที่หายไปเพียงยี่สิบวัน ผืนดินก็เปลี่ยนแปลงได้เพียงนี้