ฉันถ่ายรูปไพจิตรไว้หลายรูปทีเดียว จนอดไม่ได้ที่จะเขียนถึงเธออีกครั้ง ด้วยความที่เธอบริสุทธิ์เหลือเกิน
บ้านของไพจิตรอยู่ในหมู่บ้าน แต่เธอและครอบครัวมักชอบไปนอนเถียงนาที่มีวัว ควาย หมู หมา ไก่ เป็นเพื่อน
ในหมู่บ้าน บ้านเรือนมักจะปลูกติดๆ กัน อันเป็นธรรมดาของสังคมหมู่บ้าน ซึ่งสมัยก่อน บ้านเรือนอาจปลูกไม่ชิดกันมากขนาดนี้ แต่เมื่อลูกหลานสร้างครอบครัวกันขึ้นมาใหม่ เริ่มปลูกบ้านหลังใหม่เพิ่ม ลักษณะหมู่บ้านจึงดูหนาแน่นขึ้น ครอบครัวของพ่อสนซึ่งรักความสันโดษเลยพากันไปนอนเถียงนาที่แสนจะเงียบสงบ อากาศเย็นสบาย และฉันก็มักไปนอนที่นั่นด้วยบ่อยๆ
ทุ่งนาแถบนี้จะเป็นนาผสมป่า คือจริงๆ แต่ก่อนก็คงเป็นป่าแต่ชาวบ้านได้แผ้วถางเป็นที่นา โดยยังคงเหลือไม้ใหญ่ไว้ให้ร่มเงาเป็นทิวแถว หากใครเคยเห็นแต่ทุ่งนาโล่งๆ สุดลูกหูลูกตาอย่างภาคกลางก็คงจะแปลกใจสำหรับทุ่งนาที่นี่ เพราะเหมือนป่ามากกว่านา หรือบางพื้นที่ก็ปล่อยให้เป็นป่าไปเลย เป็นป่าขนาดย่อมกลางความล้อมรอบของที่นา โดยเฉพาะป่าหินซึ่งหน้าฝนอย่างนี้จะมีลำน้ำสายน้อยลัดเลาะไหลไปเป็นลำธาร บ้างก็เป็นน้ำตก
ภาพแบบนี้สำหรับฉันแล้วนับว่าไม่เคยเห็นมาก่อน
บางที ขับมอเตอร์ไซค์ชมทุ่งนาไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นน้ำตกที่สวยงามอยู่ติดทุ่งนา เป็นน้ำตกที่เป็นธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในความธรรมดา ไม่ได้ถูกยกระดับให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวใดๆ ทั้งสิ้น พวกเด็กๆ ว่างในวันเสาร์อาทิตย์ก็พากันลงไปเล่นน้ำตกริมทุ่งนา น่ารักมาก
ส่วนป่าเถียงนาของพ่อสนนั้นหรือ มีอยู่ปริมาณหนึ่ง เป็นป่าสาธารณะไม่ได้มีใครเป็นเจ้าของ ในป่าแห่งนี้จะมีเห็ดและดอกกระเจียวขึ้นในช่วงแรกฝน ยามฉันไปนาพ่อสนคราใด เด็กหญิงไพจิตรมักจะเดินตามฉันต้อยๆ ไปทุกที่ทุกแห่ง ไม่ว่าฉันจะไปถ่ายรูปดอกไม้หรือเดินเล่นในป่า โดยเฉพาะถ้าฉันไปถ่ายรูปดอกไม้ โดยอัตโนมัติเลยที่เธอจะเดินไปเด็ดมาเชยชมและถือติดมือกลับมาทุกครั้งคราว
เราเคยช่วยกันหาดอกกระเจียวมาได้หลายดอกและเอามาให้แม่ของเธอต้มกินกับน้ำพริก
เราเคยช่วยกันหาเห็ด แต่ได้มาแค่สองดอกเพราะเห็ดในป่านี้มีน้อยหรือเพราะเราตาไม่ดี หาไม่เก่ง หรืออย่างไรไม่ทราบ
สังคมไร้พิษภัยอย่างละแวกลุ่มน้ำมูนทำให้เธอมีความสุขกับการเล่นกับลูกหมู เด็ดดอกไม้มาดม วิ่งเล่นบนคันนา ใส่เสื้อผ้าสีมอๆ ยามได้กินขนมทีก็จะมีการแบ่งไว้กินหลายช่วงเพราะกลัวหมด เธอไม่ติดโทรทัศน์ เพราะเถียงนามีแต่ตะเกียง เธอจึงเป็นเด็กที่นอนแต่หัวค่ำ และถ้าลองได้หลับแล้ว ต่อให้แม่ดึงเธอให้ลุกขึ้นยืน เธอก็จะเพียงแค่ลืมตาและทิ้งตัวลงเหมือนไร้กระดูก ไหลลงไปกองกับพื้น หลับสนิท
ฉันเห็นเธอทีไรก็ไม่อยากเชื่อว่าเธออายุสิบขวบย่างสิบเอ็ดขวบเข้าแล้ว หน้าตาของเธอเวลาหัวเราะดูเบิกบานเหมือนดอกทานตะวัน มันบานแฉ่ง และทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะหันกล้องไปถ่ายรูปเธอ
ในหัวและในใจของไพจิตรดูแทบไม่แปดเปื้อนกับเรื่องร้ายใดๆ ยามเธอตื่นมา เธอจะยิ้ม นั่งรอฉันชวนไปโน่นนี่ เธอคิดถึงแต่ความสนุกที่มีอยู่ในธรรมชาติรอบๆ ตัว ไม่เคยสักครั้งที่จะชวนฉันไปดูดูรายการโทรทัศน์สักรายการหนึ่ง
ที่ๆ ไพจิตรชอบที่สุดคือทุ่งนา ไม่ว่าจะหน้านาหรือหน้าแล้ง ไพจิตรดูจะร่าเริงเป็นพิเศษถ้าได้วิ่งเล่นอยู่กลางที่โล่งกว้าง
ครั้งหนึ่ง ฉันชวนเธอออกไปเก็บขี้ควายในท้องนาข้างศูนย์ฯ เพราะกำลังจะปลูกดอกลั่นทมที่กิ่งมันหักตอนฝนตกแรง ตั้งใจว่าจะหักกิ่งก้านของมันและปลูกลงดินเลย เพราะอุรุดา-เพื่อนนักเขียนหญิงของฉันเคยบอกว่ามันขึ้นง่าย
ไพจิตรถือถุงพลาสติกสอดส่ายสายตาหากองขี้ควายอย่างตั้งอกตั้งใจ ยามเห็นกองขี้ควายคราวใดก็ร้องดีใจเหมือนคนอยากรวยเห็นเพชรยังไงยังงั้น ความสุขของไพจิตรในสายตาฉันช่างมีคุณค่า ฉันก็ไม่รู้จะบอกยังไงดีว่า ทำไมคนๆ หนึ่งถึงเห็นกองขี้ควายมีมูลค่ามหาศาลต่อจิตใจปานนั้น
เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารัฐและสายตาของคนในสังคมบางกลุ่มได้จัดเธอเป็นพลเมืองประเภทยากจน ต้องให้ความช่วยเหลือจนคล้ายทุพลภาพ พวกเขาต่างยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้อง กระทั่งกลายเป็นข้ออ้าง เอะอะก็เพื่อคนจน แต่ไพจิตรที่ฉันเห็น เด็กหญิงไม่เคยกำเงินแม้แต่ใบเดียวหรือเหรียญเดียว ฉันไม่เคยเห็นเธอซื้ออะไรเลยจริงๆ ซึ่งไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดที่ทำให้เธอไม่เคยถือเงิน แต่เธอก็เป็นเด็กหญิงสุขภาพจิตดีที่สุดคนหนึ่ง มีความสุขตลอดเวลา
............
ไพจิตรเก็บขี้ควายแห้งกลางท้องนาด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มและหยาดเหงื่อ เธอและฉันเก็บมาได้เต็มถุงและเราก็ช่วยกันปลูกลั่นทมรอบบ้านดินได้ถึงสี่ต้น (หักกิ่งของมันเป็นสี่กิ่ง)
จนทุกวันนี้ ลั่นทมรอบบ้านดินของศูนย์ฯ แตกใบ เจริญเติบโต งดงาม เห็นคราวใดก็นึกถึงมือน้อยๆ และความตั้งใจป่นขี้ควายแห้งลงหลุมดินของคนปลูกทุกครั้ง