กินข้าวใหม่ วิถีแห่งการพึ่งพาและเกื้อกูล

ดอกเสี้ยวขาว

 

 

ยามสายของวันหนึ่ง ฝอยฝนหล่นลงมาอย่างไม่ขาดสาย ทำให้ถนนทางเข้าหมู่บ้านปางตอง ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เต็มไปด้วยโคลนดินแดงเข้ม ทำให้รถไม่สามารถผ่านเข้าออกได้ ยิ่งถ้าหากเป็นรถธรรมดา หมดสิทธิ์ที่จะไต่ข้ามเส้นทางสายนี้ไปได้ นอกจากรถขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตาม ด้วยมนต์เสน่ห์ของ “ประเพณี กินข้าวใหม่” ของพี่น้องลาหู่บนดอยสูง สามารถทำให้คนพื้นราบหลาย ๆ คน รวมทั้งผมด้วย มองข้ามเรื่องการเดินทางแสนยาก กับถนนเต็มไปด้วยดินโคลน จึงไม่เป็นอุปสรรคสำหรับงานนี้ รู้แต่เพียงว่าอยากเข้าไปสัมผัส ซึมซับกับบรรยากาศของงานประเพณีกินข้าวใหม่ในครั้งนี้ให้ได้

 

รถขับเคลื่อนสี่ล้อ รถคาริเบียนสีดำคันเก่าของผม ค่อย ๆเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ ลัดเลาะไปตามถนนดินโคลน ผ่านกลางป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ แสงแดดที่ว่าแน่แต่ก็ยังไม่สามารถทะลุผ่านเข้ามาได้ ทำให้ถนนสายนี้ชุ่มชื้นลื่นเละไปด้วยโคลนดินแดงตลอดทาง

 

จากปากทางเข้าหมู่บ้าน ประมาณ 20 นาที รถคันเก่าของผมได้เคลื่อนเข้าสู่หมู่บ้านปางตอง หมู่บ้านเล็กๆ 20 กว่าหลังคาเรือน เป็นชนเผ่าลาหู่ (มูเซอ) ที่มีการอาศัยอยู่ร่วมกันมานานหลายปี ที่สำคัญพวกเขามีประเพณีเป็นของตัวเอง โดยสืบทอดร่วมกันมานานหลายชั่วอายุคน และวันนี้พวกเขาได้ร่วมกันสืบทอดประเพณีนี้อีกครั้ง ในวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 11

ประเพณีกินข้าวใหม่ หรือ “จ่าลือจ่าเลอ” ของชนเผ่าลาหู่ ว่าไว้ว่า ถ้าไม่มีประเพณีนี้ ก็ไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตมาบริโภคได้ เชื่อว่าพอผลผลิตในไร่ เทพเจ้ากื่อซา ประทานมาให้ ประเพณีนี้เริ่มเมื่อข้าวแตกรวง เดือนสิงหาคม-กันยายน ของทุกปี ในวันพระจันทร์เต็มดวง เป็นวันประกอบพิธี

 

ถือว่าเป็นวันสัญลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งจะนำเอาข้าวที่ปลูกไว้ นำมาบูชาเทพเจ้ากื่อซา

 

ที่สำคัญ ผมมองว่า ที่สุดแล้ว พวกเขาได้หยิบยื่นการพึ่งพาและเกื้อกูลกันให้ต่อกัน การร่วมงานฉลองการกินข้าวใหม่ในครั้งนี้ ถึงแม้พวกเขาจะยากดีมีจนอย่างไร แต่น้ำใจที่ได้ชักชวนให้ใครต่อหลายคน เข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่ง สืบสานงานประเพณีกินข้าวใหม่ ถึงแม้ไม่ได้ปลูกข้าว เกี่ยวข้าว ตำข้าว ด้วยกันก็ตาม แต่ผมสัมผัสได้ว่า พวกเขาไม่ได้แบ่งแยกว่าคุณเป็นใคร มาจากไหน เป็นชาวอะไร คงมีเพียงแต่สังคมภายนอกเท่านั้น ที่พยายามแยกคนเหล่านี้ออกจากสังคม เป็นพวกชาวเขา มิใช่ชาวเรา

 

หากเป็นเช่นนี้ แล้วเราจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ความเห็น

Submitted by มิ้ม on

สัมผัสบรรยากาศอย่างนี้มาแล้วหลายครั้งหลายคราในอดีต และ ก็ยังมิวาย หวลคิดถึง และอยากกลับไป เยี่ยมเยียน บรรยากาศอย่างนั้น อีกสักครา จริงๆ..

นิทาน (โบราณ) แห่งชาติ

เพียงคำ ประดับความ

 

-ภาค 1-

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว อีสปกับศรีธนญชัยเป็นเพื่อนรักกัน ทั้งคู่เป็นนักเล่านิทานชั้นยอด และต่างยังชีพด้วยการเดินทางไปเล่านิทานเปิดหมวกในที่ต่างๆ พวกเขาชอบเล่านิทานเรื่องเดียว กัน ด้วยรสนิยมในการเล่าที่แตกต่างกัน ศรีธนญชัยชอบเล่านิทานแห่งความสุข ส่วนอีสปชอบเล่านิทานแห่งความซาบซึ้ง

เสียมเรียบ..รำลึก

 ปราโมทย์  แสนสวาสดิ์


1

เม็ดฝนโปรยปรายยืดเยื้อมาตั้งแต่เมื่อวาน กระทั่งถึงช่วงเช้าก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ทำให้บรรยากาศจุดผ่านแดนไทย-กัมพูชา  บริเวณด่านช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ เวลานี้ดูเทาทึบและเหงาหม่นไปตามอารมณ์ของฟ้าฝน ซึ่งแตกต่างกับในยามปกติที่นี่..จะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนทั้งสองฝั่งที่เดินทางไปหาสู่กันเป็นประจำด้วยเหตุผลต่างๆกัน บางคนเข้ามาค้าขาย  บางคนเป็นนักเสี่ยงโชคกระเป๋าหนัก บางคนเป็นนักลงทุนผู้มองการณ์ไกล บางคนเข้ามาเยี่ยมญาติ บางคนค้าของเถื่อน หรือบางคนหนีความกันดารอดอยากเข้ามาขายเรือนร่างในเมือง กระทั่ง บางคนเป็นนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางแบบภาคพื้นดินเพื่อเข้าไปสู่ยังกัมพูชา ภาพเหล่านี้ล้วนสะท้อนความเคลื่อนไหวซึ่งบรรจุข้อเท็จจริงของชีวิตผู้คนเมืองชายแดนสองฝั่งไว้ครบถ้วน ลมหายใจของที่นี่จึงหมายถึงการค้าและการท่องเที่ยว 

กินข้าวใหม่ วิถีแห่งการพึ่งพาและเกื้อกูล

ดอกเสี้ยวขาว

 

 

ยามสายของวันหนึ่ง ฝอยฝนหล่นลงมาอย่างไม่ขาดสาย ทำให้ถนนทางเข้าหมู่บ้านปางตอง ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เต็มไปด้วยโคลนดินแดงเข้ม ทำให้รถไม่สามารถผ่านเข้าออกได้ ยิ่งถ้าหากเป็นรถธรรมดา หมดสิทธิ์ที่จะไต่ข้ามเส้นทางสายนี้ไปได้ นอกจากรถขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้น

พริตตี้ดับไฟ

 

วัชระ สุขปาน


เรื่องต่อไปนี้แต่งขึ้น ไม่ใช่เป็นเรื่องหาอ่านได้ทั่วไป โดยอิงสถานการณ์จริง ผู้แต่งได้พยายามควบคุม สั่งการ อาจมีการละเมิดเสรีภาพของตัวละครทุกท่าน แต่เหมาะสำหรับผู้อ่านทุกวัย

 


 


 

คีทอ ผู้มีมุมมองทางสุนทรียะภาพลดลงอย่างน่าเป็นห่วง เขานั่งจิบเบียร์เย็นๆ ทอดอารมณ์นิ่งๆ
ภูเขาเบื้องหน้า คือดอยประจำเมือง ที่มีไฟป่าเป็นจุดๆ ผสมผสานกัน จนเป็นส่วนหนึ่งของแสงเมือง

เรื่องเล่าของเจ้าหล่อน 'แม่ก้นครก'

 

 

เธอเอ๋ย...
เย็นนี้แดดสุกสว่างน่าออกไปเดินเล่น ถนนกรวดสีน้ำตาลแลดูสวยเหมือนเดิม
ใบไม้ใบหญ้าเขียวละไมตา เอ๊ะ..นั่นอะไรผลิบานตูมเต่งใต้ใบไม้แห้งหนอ
อ๋อ!  เห็ดป่านั่นเอง  เจ้าหล่อนถูกเรียกมาเนิ่นนานว่า.. "เห็ดก้นครก"
วงจรชีวิตของหล่อนนั้นอาศัยร่มไม้ใบบังอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ชื่อว่า "เจ้ากระบาก"
ฉันค่อย ๆ เอื้อมมือไปทักทายเจ้าหล่อนอย่างนุ่มนวล
ใช้ปลายนิ้วค่อย ๆ แตะไปที่หน้าบาน ๆ ของเจ้าหล่อน
ด้วยเกรงว่าจะเกิดการแตกปริเสียหาย...หล่อนจะโกรธกริ้วและทำลายตัวเองเป็นเสี่ยง ๆ