-ภาค 1-
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว อีสปกับศรีธนญชัยเป็นเพื่อนรักกัน ทั้งคู่เป็นนักเล่านิทานชั้นยอด และต่างยังชีพด้วยการเดินทางไปเล่านิทานเปิดหมวกในที่ต่างๆ พวกเขาชอบเล่านิทานเรื่องเดียว กัน ด้วยรสนิยมในการเล่าที่แตกต่างกัน ศรีธนญชัยชอบเล่านิทานแห่งความสุข ส่วนอีสปชอบเล่านิทานแห่งความซาบซึ้ง
นิทานแห่งความสุขของศรีธนญชัยนั้นเชิดชูความสามัญอย่างมนุษย์ธรรมดา ขณะนิทานแห่งความซาบซึ้งของอีสปเชิดชูจริยธรรมที่สูงส่งแบบเทพยดา
อาชีพนักเล่านิทานเปิดหมวกทำให้ศรีธนญชัยร่ำรวยขึ้น...ร่ำรวยขึ้น แต่กลับทำให้อีสปยากจนลง...ยากจนลง ทว่าเขายังคงยืนหยัดเล่านิทานด้วยความซาบซึ้ง
ต่อมาอีสปค้นพบว่าคนที่ซาบซึ้งในนิทานของเขานั้น ส่วนใหญ่เป็นชาวเมืองที่มีการศึกษาและฐานะค่อนข้างดี อีสปจึงปักหลักเล่านิทานอยู่ในเมือง ขณะที่ผู้ชื่นชอบนิทานของศรีธนญชัยส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านยากไร้ในชนบท ศรีธนญชัยจึงออกเดินทางไปตามหัวเมืองต่างๆ เพื่อเล่านิทานแห่งความสุขให้ผู้คนเหล่านั้นฟัง
ทุกๆ วัน อีสปและศรีธนญชัยต่างเล่านิทานเรื่องเดียวกัน ด้วยรสนิยมในการเล่าที่แตกต่างกัน ทุกวัน...ทุกวัน
อีกวันแล้วที่หญิงสาวของเขามาทำงานสาย จะเพราะอะไร ถ้าไม่ใช่มัวแต่ไปฟังนิทานก่อนนอนจนดึกดื่น หรือบางคืนอาจถึงเช้า
เนิ่นนานมาแล้วที่เธอหมกมุ่นอยู่กับนิทานเรื่องนั้นจนไม่ใส่ใจอะไรอื่น (แม้แต่เขา) เริ่ม แรกเธอไปฟังนิทานทุกเย็นวันศุกร์ ต่อมาเปลี่ยนเป็นวันเสาร์ นานเข้ากลายเป็นไปฟังนิทานทุกๆ เย็น เห็นว่าโรงนิทานของเธอเร่ร่อนไปเรื่อย จากหอประชุมธรรมศาสตร์ ไปสวนลุมพินีวัน วกมาลานพระบรมรูปทรงม้า กระเถิบมาสนามหลวง ก่อนเคลื่อนไปสะพานมัฆวานรังสรรค์ ปัจจุบันบุกเข้าไปปักหลักทำนาในทำเนียบฯ แว่วว่าอีกไม่นานจะเคลื่อนไปปิดสนามบิน
ช่วงนี้หญิงสาวของเขาห่างเหินไปจนน่าใจหาย เขาชักไม่แน่ใจว่าแท้จริงเขาเป็นคนรักหรือคนแปลกหน้า เวลาพักกลางวันที่น่าจะได้กินข้าวด้วยกันสักมื้อ เธอกลับหาซื้ออาหารง่ายๆ มานั่งกินคนเดียว กินไปอ่านหนังสือนิทานไป เป็นใครก็รู้ได้ว่าไม่ควรโผล่หน้าไปรบกวน
“หมู่นี้มาทำงานสายบ่อยนะ”
เขาทักเมื่อบังเอิญเดินสวนกันในตอนบ่าย ตรงทางเดินไปห้องน้ำ เธอดูซูบไป ขอบตาก็ดำคล้ำ
“ว่างมั้ย ไปหากาแฟกินกัน” เธอเอ่ยชวน
เขาและเธอทำงานอยู่คนละแผนก แม้ห้องทำงานไม่ไกลกัน แต่ภาระงานบังคับให้ต่างคนต่างอยู่ จำได้ว่าเมื่อแรกที่จีบเธอนั้น แต่ละวันเขาต้องใช้เวลาพักกลางวันให้คุ้มค่าที่สุด ด้วยหญิงสาวของเขานั้นเลิกงานเป็นต้องกุลีกุจอกลับบ้าน เพื่อทุ่มเทเวลาให้กับการอ่านหนังสือนิทานก่อนนอน เรื่องจะชวนเธอไปทำการรื่นเริงอย่างอื่นนั้น...ฝันไปเถอะ เธอรักการอ่านได้มากกว่ารักผู้ชายสักคน เขาจึงไม่เคยเบียดบังเวลาก่อนนอนของเธอได้ ไม่เหมือนนักเล่านิทานที่ทำเนียบรัฐบาลพวกนั้น
ใต้ร่มไทรข้างสำนักงานมีร้านกาแฟโบราณราคาย่อมเยา คนขายเป็นหญิงชาวบ้านในชุมชนแออัดข้างๆ นี้ มันเป็นร้านกาแฟเคลื่อนที่ มีที่นั่งสำหรับลูกค้าราวสี่ห้าโต๊ะ ยามนี้ทุกโต๊ะว่างเปล่า เธอเดินไปนั่งตรงโต๊ะริมสุด สั่งกาแฟร้อนสองถ้วย ไม่ถามความเห็นเขาสักคำ
เขานั่งมองหญิงสาวตรงหน้า เธอจิบกาแฟเงียบๆ สายตาหม่นเหม่อฝ่าเปลวแดดออกไปอย่างไร้จุดหมาย คล้ายเขาไม่มีตัวตน
“ดูโทรมไปนะ หาเวลาพักผ่อนบ้างสิ”
เขาเอ่ยด้วยความห่วงใย เธอไม่ใช่คนช่างดูแลตัวเอง แต่งเนื้อแต่งตัวก็ง่ายๆ เสื้อยืดปอนๆ กางเกงยีนเก่าๆ รองเท้าถ้าไม่ใช่ผ้าใบก็เป็นแตะหูคีบ หน้าตาไม่เคยเปื้อนแป้ง ริมฝีปากแห้งกร้านลม แต่อย่างไรเขาก็รับได้ ก็เขาหลงรักเธอเพราะความเรียบง่ายเหล่านี้ ที่เขาห่วงคือสุขภาพของเธอต่างหาก
“ไม่ต้องมาบอกฉันหรอก ตัวเองน่ะดูได้ที่ไหน เที่ยวทุกคืนเลยล่ะสิ”
เธอทำหน้าระอา สายตาตำหนิคู่นั้นช่างทำให้เขาอึดอัด ยิ่งนานเขายิ่งสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้มีหัวใจหรือเปล่า ถ้ามี...มันเป็นของเขาจริงไหม
ไม่ทันสังเกตว่าร้านกาแฟแห่งนี้มีลูกค้าเต็มทุกโต๊ะแต่เมื่อไหร่ รู้เพียงภวังค์ของเขาถูกทำลายด้วยบทสนทนาที่ค่อนข้างดุเดือดนั้น
“ไอ้คนเล่านิทานพวกนั้นน่ะเรอะ ดีแต่แต่งเรื่องใส่ร้ายคนอื่น ไอ้พวกขี้อิจฉา” แม่ค้ากาแฟพูดไม่ออมเสียง
“ลื้อพูดอย่างนี้ยิ่งต้องไปฟัง จะได้หูตาสว่าง” ลูกค้าหญิงกลางคนท่าทางภูมิฐานโต้กลับ
ดูท่าอาเจ๊คงชอบไปฟังนิทานที่ทำเนียบรัฐบาลเช่นเดียวกับหญิงสาวของเขา
“ฉันไม่ไปให้เสียเวลาทำมาหากินหรอก”
“งั้นก็เชิญให้เขาหลอกต่อไปเหอะ”
“ก็ยังดีกว่าพวกชอบก่อความวุ่นวาย รถก็ติด เศรษฐกิจก็ตก ไม่เห็นเรอะ”
“ตกได้มันก็ขึ้นได้ พวกลื้อมันเห็นแก่เงิน ไม่มีจริยธรรม อั๊วไม่อยากพูดด้วย ไม่เอาไม่เอิวมันแล้วกาแฟ”
แล้วอาเจ๊ก็สะบัดก้นจากไปอย่างหัวเสีย ไม่สนใจเสียงด่าไล่หลังของแม่ค้ากาแฟ
“เอี้ยเอ๊ย! กูชงแล้วใครจะแดกล่ะทีนี้”
เขาเหลือบมองหญิงสาวของเขา ดูเธอเคร่งเครียดที่นักเล่านิทานคนโปรดถูกตำหนิ
“เลิกไปฟังนิทานไร้สาระนั่นเถอะ เห็นรึยังว่าพวกนั้นทำให้บ้านเมืองวุ่นวายแค่ไหน”
แต่ไรมา เขาไม่เคยกล้าแตะเรื่องนี้สักที เช่นเดียวกับที่เธอไม่เคยพูดถึง ไม่เคยเอ่ยชวนเขาไปฟังนิทานด้วยซ้ำ เวลาจะไปยังไม่เคยบอกเขาสักคำ เขารู้ทุกอย่างจากคนอื่นแท้ๆ
เธอมองหน้าเขาอย่างพินิจ ครู่หนึ่งจึงเอ่ยออกมา
“แล้วเธออยู่ฝ่ายไหน”
เขาไม่รู้อะไรมากนัก รู้เพียงการมาตั้งป้อมกินนอนบนท้องถนนมันทำให้คนอื่นเดือดร้อน ไม่ว่าปัญหาจะหนักหนาอย่างไร มันก็น่าจะมีวิธีแก้ไขที่ดีกว่านี้ อีกอย่างที่สำคัญกว่า คือ...เขาไม่อยากให้หญิงสาวของเขาต้องเป็นทุกข์ไปมากกว่านี้
"ไม่ได้อยู่ฝ่ายไหน เป็นกลาง”
ทันทีที่เขาตอบออกไป ประกายตาของเธอฉายรอยผิดหวังและเศร้า หากไม่นานก็แปรเป็นแข็งกร้าวจนน่ากลัว
“เฮอะ! เป็นกลาง” เธอดีดเสียงขึ้นจมูก ทำท่าราวถ้อยคำของเขามันโง่เขลานัก “ถามหน่อยว่าความเป็นกลางมันมีประโยชน์ยังไง”
นัยน์ตาสีเข้มของเธอแฝงแววดูถูกอย่างโจ่งแจ้ง หัวใจเขาปวดแปลบ
“คนเรามีสิทธิจะคิดต่างกันได้ แตกต่างโดยไม่จำเป็นต้องแตกแยก”
“ถ้าไม่รู้อะไรอย่าพูดดีกว่า เที่ยวผับเที่ยวเธคของเธอต่อไปเถอะ”
แล้วเธอก็ผุดลุกขึ้น เดินจากไปอย่างไร้เยื่อใย
เขาก้มมองกาแฟในถ้วย มันเพิ่งพร่องไปเพียงนิดเดียว
ยิ่งค่ำผู้คนยิ่งหลั่งไหลมา เสียงโฆษกบนเวทีประกาศว่า ตอนนี้มีผู้คนมาร่วมฟังนิทานเกินหลักแสนเข้าไปแล้วฉันหันมองผู้คนรอบข้างอย่างชื่นชม ทุกคนสละเวลามานอนกลางดินกินกลางทรายด้วยจุดมุ่งหมายเดียวกัน
...ขอเยาะเย้ยทุกข์ยากขวากหนามลำเค็ญ คนยังคง ยืนเด่นโดยท้าทาย
แม้นผืนฟ้า มืดดับ เดือนลับละลาย ดาวยังพรายศรัทธาเย้ยฟ้าดิน
ดาวยังพราย อยู่จนฟ้ารุ่งราง...**
แม้ท้องฟ้าเหนือทำเนียบรัฐบาลในคืนนี้จะไร้แสงดาวพรายดังในบทเพลง หากฉันก็เชื่อมั่นศรัทธาในผืนธงนับหมื่นนับแสนที่ชูขึ้นโบกสะบัดอย่างไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย แม้ถูกประณามจากใครต่อใครว่าการมาฟังนิทานในทำเนียบรัฐบาลของพวกฉันเป็นการใช้กฎหมู่เหนือกฎหมาย ก่อความวุ่นวายให้บ้านเมือง วันดีคืนดีที่พวกฉันออกเดินไปตามท้องถนนเพื่อนำนิทานเรื่องนี้ไปบอกกล่าวแก่ผู้คนที่ถูกปิดหูปิดตา ก็มักถูกค่อนขอดจากบางผู้คนว่าพวกฉันทำให้บ้านเมืองแตกแยก ทำให้รถติด เศรษฐกิจตก หากฉันยังคงเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ฉันรู้สึกฉงนสนเท่ห์นัก เหตุใดผู้คนในบ้านเมืองเดียวกันจึงคิดเห็นแตกต่างกัน จึงเห็นผิดเห็นถูกได้แตกต่างกัน…อย่างไม่น่าเชื่อ
“แตกต่างได้ แต่อย่าแตกแยก”
พิธีกรรายการข่าวทีวีชื่อดังคนหนึ่งชอบพูดประโยคนี้บ่อยๆ
ชายหนุ่มของฉันคงจำเขามา อยากจะบ้าตาย นี่ฉันหลงรักเขาได้อย่างไรนะ ดีแล้วที่ตัดสินใจเลิกกับเขาเสียได้ ผู้ชายที่วันๆ จมอยู่แต่กับเรื่องไร้สาระ ไม่เคยนึกถึงอะไรอื่นนอกจากการกินเที่ยว เขาไม่รู้บ้างหรือไรว่าบ้านเมืองนี้มันเต็มไปด้วยความอยุติธรรม ไยเขาไม่มีสำนึกทุกข์ร้อนกับความอยุติธรรมนั้น เขาเพิกเฉยกับมันได้อย่างไร
“เอาล่ะครับ พ่อแม่พี่น้อง คืนนี้เราจะมาฟังอีสปกับศรีธนญชัยเล่านิทานกันเหมือนเคย” โฆษกบนเวทีเกริ่นเข้าสู่นิทานก่อนนอน
“ถ้าใครง่วงก็นอนพักผ่อนได้นะครับ ตื่นแล้วค่อยลุกขึ้นมาฟังต่อ ค่ำคืนของเรายังอีกยาวนาน นิทานของเราคงไม่จบลงง่ายๆ...ครับ วันนี้โรงนิทานแห่งชาติ ณ ทำเนียบรัฐบาล ภูมิใจเสนอนิทานเรื่อง เด็กเลี้ยงแกะ...ครับผม”
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ หมู่บ้านในชนบทแห่งหนึ่ง เด็กชายคนหนึ่งมีหน้าที่ต้อนฝูงแกะออกไปเลี้ยงกลางทุ่งทุกวัน การอยู่กลางท้องทุ่งเป็นเวลายาวนานทุกวันๆ ทำให้เขาเบื่อ วันหนึ่งเขาจึงคิดหาเรื่องเล่นสนุก
“ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย! หมาป่ามากินแกะข้า ช่วยข้าด้วย!” เขาตะโกนร้องเสียงดังลั่นทุ่ง
พวกชาวนาที่อยู่ใกล้ๆ ต่างตกใจ รีบคว้าจอบเสียมวิ่งหน้าตั้งมาหวังช่วยจัดการกับหมาป่า แต่ครั้นมาถึงกลับพบเด็กเลี้ยงแกะนอนหัวรั่วงอหาย โดยฝูงแกะยังคงเลาะเล็มหญ้าอยู่อย่างปกติสุข เด็กเลี้ยงแกะรู้สึกมีความสุขและภาคภูมิใจในความเฉลียวฉลาดของตัวเอง ขณะที่พวกชาวนาต่างพากันหัวเสียกลับไป
เด็กเลี้ยงแกะยังคงต้อนฝูงแกะออกไปเลี้ยงกลางทุ่งอยู่เรื่อยมา กระทั่งวันหนึ่งเกิดมีหมาป่ามากินฝูงแกะเข้าจริงๆ เด็กเลี้ยงแกะร้องตะโกนเสียงดังลั่นทุ่ง
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! หมาป่ามากินแกะข้าหมดแล้ว ช่วยข้าด้วย”
เมื่อพวกชาวนาได้ยิน ต่างพากันส่ายหัว แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานของตนต่อไป ฝูงแกะจึงถูกหมาป่ากินจนหมด
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ชอบโกหก...คือนิทานของอีสป
ส่วนนิทานของศรีธนญชัยความว่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ชนบทแห่งหนึ่ง เด็กชายคนหนึ่งมีหน้าที่ต้อนฝูงแกะออกไปเลี้ยงกลางทุ่งทุกวัน การอยู่กลางท้องทุ่งเป็นเวลายาวนานทุกวันๆ ทำให้เขาเบื่อ วันหนึ่งเขาจึงร้องตะโกนขึ้นลั่นทุ่งว่า “ช่วยด้วย ช่วยด้วย หมาป่ามากินแกะข้าหมดแล้ว ช่วยข้าด้วย”
ชาวนาที่อยู่ใกล้ต่างคว้าจอบเสียมวิ่งหน้าตั้งมาหวังช่วยจัดการกับหมาป่า แต่ครั้นมาถึงกลับพบเด็กเลี้ยงแกะนอนหัวร่องอหาย โดยฝูงแกะยังคงเลาะเล็มหญ้าอยู่อย่างปกติสุข พวกชาวนาโวยวายสองสามคำแล้วพากันกลับไป เด็กเลี้ยงแกะรู้สึกภาคภูมิใจที่คิดหาเรื่องเล่นสนุกได้ วันนั้นช่างเป็นวันที่เขาเลี้ยงแกะอย่างมีความสุข
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…คนโง่อาจตกเป็นเหยื่อของคนฉลาด แต่บางครั้งความโง่ของเราอาจทำให้คนอื่นมีความสุข และเราก็มีความสุขที่ทำให้คนอื่นมีความสุข
อยู่มาวันหนึ่งชายหนุ่มชาวเมืองคนหนึ่ง ซึ่งเป็นสาวกนิทานแห่งความซาบซึ้งของอีสป ได้เดินทางไปเยี่ยมบ้านเกิดของเขาที่หัวเมืองหนึ่ง ระหว่างนั่งร่ำสุรากับเพื่อนเก่าในวัยเด็ก เพื่อนของเขาได้พูดขึ้นว่า
“เอ็งเคยฟังนิทานเรื่องเด็กเลี้ยงแกะมั้ยวะ เจ้าเด็กเลี้ยงแกะนี่มันฉลาดจริงๆ เลย” หนุ่มชนบทว่าก่อนยกเหล้าขึ้นซด
“ฉลาดเรอะ เอ็งนี่ท่าจะบ้า ข้าว่ามันโง่จะตาย” หนุ่มชาวเมืองแย้งขณะรินสุราเติมให้เพื่อนรัก
“เอ็งว่ามันโง่ได้ยังไง ขนาดผู้ใหญ่ยังถูกมันหลอกเลย”
“ก็เพราะมันเที่ยวหลอกเขาไปทั่วน่ะสิ แกะของมันถึงโดนหมาป่ากินทั้งฝูง”
“เอ็งมั่วแล้ว นิทานเขาว่าฝูงแกะยังคงเลาะเล็มหญ้าอยู่อย่างปกติสุข”
“ใช่ที่ไหน ตอนท้ายเรื่องหมาป่ามันมากินฝูงแกะจริงๆ ไอ้เด็กเลี้ยงแกะตะโกนให้คนช่วยจนปากแทบฉีก ก็ไม่มีใครมาช่วย”
“ไม่จริง ตอนจบเขายังบอกว่า นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนโง่อาจตกเป็นเหยื่อของคนฉลาด”
“เอ็งเอาที่ไหนมาพูด นิทานเรื่องนี้เขาสอนว่า มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ชอบโกหก”
“ คนฉลาดต่างหาก”
“ฉลาด”
“โง่”
“ถ้าเอ็งว่าเด็กเลี้ยงแกะโง่อีกคำเดียว ข้าว่าเอ็งนั่นแหละโง่”
“เอ็งนั่นแหละโง่ โง่แล้วยังอวดฉลาด”
“อ้าว! พูดแบบนี้ก็สวยสิ”
แล้ววงเหล้าก็กลายเป็นเวทีมวย เพื่อนรักกลายเป็นศัตรู หลังจากนั้นได้เกิดเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างผู้คนในเมืองกับผู้คนตามหัวเมืองต่างๆ อยู่เนืองๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลายคู่ทะเลาะกันรุนแรงถึงขั้นยิงฟันกันดับดิ้น เพียงเพราะตกลงกันไม่ได้ว่าเด็กเลี้ยงแกะฉลาดหรือโง่ เหตุการณ์บานปลายจนผู้คนในเมืองพากันมาชุมนุมยืดเยื้อบนท้องถนน แล้วประสานเสียงกันตะโกนด่าเด็กเลี้ยงแกะว่า
“โคตรโง่!...โคตรโง่!...โคตรโง่!”
ฝ่ายผู้คนในชนบทต่างคับแค้นใจที่พวกชาวเมืองรุมด่าเด็กเลี้ยงแกะที่แสนฉลาดของพวกเขา จึงรวมตัวกันตั้งกองคาราวานควบอีแต๋น-ตุ๊กตุ๊กเข้ามาในเมืองเพื่อยืนยันว่า “เด็กเลี้ยงแกะ” ของพวกเขานั้น “ฉลาด” ที่สุด
อีสปอดทนต่อไปไม่ไหว รุดไปต่อว่าศรีธนญชัยว่าเป็นตัวการสร้างความแตกแยก
“เอ็งเจตนาเล่านิทานโกหก เอ็งกระหายเงินเสียจนหลงลืมจรรยาบรรณของนักเล่านิทาน”
“นั่นคือนิทานแห่งความจริงของข้า ชีวิตของพวกชาวนาวันๆ จมอยู่แต่กับงานหนัก มันผิดตรงไหนที่ข้าอยากทำให้พวกเขายิ้มได้ อยากทำให้พวกเขามีความสุข”
“แต่นั่นมันเป็นการกระทำที่ไร้จริยธรรม เอ็งต้องไปสารภาพผิดกับทุกคน”
“นั่นคือจริยธรรมของข้า ทำไมข้าต้องไปสารภาพผิด ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด ยังไงข้าก็ไม่ผิด”
ขณะที่กองคาราวานขบวนใหญ่เคลื่อนใกล้เข้ามาทุกขณะ ผู้คนบนท้องถนนในเมืองก็มากขึ้นๆ มากจนดูเหมือนว่า ท้องถนนทุกเส้นสายในเมืองนี้จะไม่เพียงพอสำหรับพวกเขา
-ภาค 2-
อีสปกล่าวโทษศรีธนญชัยว่ากำลังจะนำพาบ้านเมืองไปสู่หายนะ ประชาชนแตกแยกออก เป็นฝักฝ่าย และจะฆ่ากันตายในที่สุด เขาไม่อาจยอมรับพฤติกรรมฉ้อฉลไร้จริยธรรมของศรีธนญชัยได้อีกต่อไป บัดนี้หัวใจเขามีแต่ความเกลียดชัง
เมื่ออ้อนวอนให้ศรีธนญชัยสารภาพผิดแล้วไม่เป็นผล อีสปจึงชักชวนผู้คนเข้าไปถวายฎีกาขอให้พระราชาเนรเทศเพื่อนที่เคยรักของเขาออกไปจากเมือง
จากนั้นไม่นานนักเล่านิทานแห่งความสุขก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครพบเห็นเขาอีก บรรดาผู้คนชื่นชอบนิทานของเขาไม่อาจทนนิ่งอยู่ได้ พากันมารวมตัวที่กลางพระนคร เพื่อเรียกร้องให้นักเล่านิทานคนโปรดของพวกเขากลับมา
สองฟากถนนในเมืองนี้เต็มไปด้วยมะฮอกกานียืนต้นเรียงรายสูงเด่น มันช่วยทำให้ที่นี่ดูย้อนอดีตไปสักยี่สิบปี ราวกับนี่ไม่ใช่ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด
ตึกสูงระฟ้ารูปแบบทันสมัยเริ่มผุดขึ้นประปราย แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นตึกโบราณเก่าแก่ที่ถูกออกแบบและก่อสร้างอย่างประณีต ใครคนหนึ่งที่นี่บอกว่ามันเป็นเศษซากวัฒนธรรมที่จักรวรรดินิยมทิ้งไว้ให้
ในเมืองนี้รถติดน้อยกว่ามหานครซาคานที่ฉันจากมา คงเพราะรถยนต์ยังมีน้อย ถนนจึงพอใช้ ผู้คนส่วนใหญ่ใช้มอเตอร์ไซค์กัน กฎจราจรยังไม่เข้มแข็งนัก รถเมล์ไม่ต้องรอนาน และขึ้นทีไรก็มีที่นั่ง เมื่อเอ่ยถามถึงความยากจนและชนชั้น ใครคนเดิมบอกฉันว่าในประเทศที่มีธงชาติรูปดาวสีเหลืองอยู่กลางผืนผ้าสีแดงนั้น เรื่องนี้ไม่ถูกพูดถึง
ฉันนึกถึงเหตุการณ์วุ่นวายในซาคานแล้วรู้สึกหดหู่ ฉันเองก็คาดไม่ถึงว่าเหตุการณ์มันจะกลับตาลปัตรไปเช่นนี้
“มีสัญญาณบางอย่างที่น่ากังวล ผมกำลังกลัวว่านิทานของเราจะหลงทางไปไกล”
“เตียง” เพื่อนหนุ่มร่วมฟังนิทานที่ทำเนียบรัฐบาลซึ่งพูดคุยถูกคอกัน กล่าวเช่นนั้นในวันสุดท้ายก่อนฉันจากมา
ฉันละทิ้งนิทานเรื่องนั้นเดินทางมาเป็นอาสาสมัครสอนภาษาซาคานที่นี่ในเดือนกรกฎาคม มหาวิทยาลัยหลายแห่งในเมืองนี้เริ่มเปิดสอนภาษาซาคานหลายปีมาแล้ว บางแห่งเปิดเป็นวิชาเอก บางแห่งเป็นวิชาโท แม้ไม่เป็นที่นิยมนัก และนักศึกษาที่มาเรียนส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกพลาดหวังจากสาขายอดนิยม เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น และภาษาอังกฤษ ทว่าในแต่ละปีก็มีคนเข้าเรียนภาษาซาคานไม่น้อยกว่ายี่สิบคน
หลังการจากไปของศรีธนญชัย เหตุการณ์ไม่ได้จบลงดังที่อีสปและใครต่อใครคาดหวัง ตัวแทนของนักเล่านิทานแห่งความสุขที่มีอยู่มากมายทั่วแผ่นดิน ออกมาเดินขบวนยืดเยื้อเรียกร้องให้นักเล่านิทานในดวงใจของพวกเขากลับมา
เห็นดังนั้นอีสปยิ่งคับแค้นใจ บัดนี้เขาปรารถนาจะกำจัดศรีธนญชัยให้สิ้นซาก ในแผ่นดินนี้มีนิทานเพียงเรื่องเดียวที่จะลบชื่อนักเล่านิทานจอมฉ้อฉลคนนั้นออกไปจากหัวใจของผู้คนได้ นิทานเรื่องที่หากใครได้เป็นผู้เล่า จะไม่มีวันเป็นผู้แพ้
มันเป็นนิทานปรัมปราเก่าแก่ที่ถูกจารึกไว้ในชาดกโบราณ มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เหนือนิทานเรื่องใดๆ
ฉันเริ่มคุ้นกับชีวิตในประเทศสังคมนิยมที่ผู้คนค่อนข้างเสรี ดื่ม กิน เล่น เที่ยวกันเต็มที่ ร้านกาแฟมีอยู่เต็มเมือง ผู้คนที่นี่นิยมนั่งดื่มกาแฟอย่างอ้อยอิ่งยาวนาน บางร้านมีเปลผูกให้ลูกค้านอนกลางวัน มันเป็นวัฒนธรรมที่ดูจะไม่สูญไปง่ายๆ แม้แต่ในมหาวิทยาลัยที่ฉันสอน ยังมีเตียงนอนไว้รับรองคณาจารย์ถึงห้องพัก
นักศึกษาของฉันส่วนใหญ่เริ่มพูดซาคานได้คล่อง เว้นเพียงน้องใหม่ปีหนึ่งที่เพิ่งเริ่มเรียนกอไก่กอกา
“บ้านเกิดคือพวงมะเฟืองหวาน
หากใครลืมบ้านเกิด...แม้โตเป็นผู้ใหญ่
แต่ไม่เป็นคนดี”
พวกเขาหัดแปลเพลงพื้นเมืองของตนเป็นภาษาซาคานกระท่อนกระแท่น
นิทานโบราณอันศักดิ์สิทธิ์สามารถสะกดให้ผู้คนทรุดตัวลงกับพื้น นั่งฟังด้วยความตื้นตัน สาวกนิทานของอีสปจึงมีมากขึ้นทุกวัน ทั้งนักปราชญ์ ราชบัณฑิต นักเขียน กวี อาจารย์ นิสิต นักศึกษา ต่างปวารณาตัวเป็นสาวกของเขา ข้อเขียนทางวิชาการ เรื่องสั้น นวนิยาย และบทกวีในเมืองนี้จึงเต็มไปด้วยเรื่องราวของนิทานโบราณ ยิ่งนานผู้คนยิ่งหลงใหลนิทานปรัมปราที่อีสปเป็นผู้เล่า พากันคุกเข่าหมอบกราบด้วยความซาบซึ้ง
แต่ผู้คนตามหัวเมืองยังคงถวิลหานักเล่านิทานแห่งความสุขที่ชื่อศรีธนญชัยของพวกเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เมื่อทำอย่างไรก็ไม่เป็นผล พวกเขาตัดสินใจถวายฎีกาขอให้พระราชาพระราชทานอภัยโทษให้ศรีธนญชัย
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้แก่อีสปและสาวก ที่บัดนี้ถูกนิทานโบราณครอบงำจนเสียสติ ไม่อาจตริตรองสิ่งใดได้ ในห้วงสำนึกของพวกเขามีเพียง...ใครแตะต้องนิทานโบราณ...มันผู้นั้นไม่ใช่คน
ลินห์เป็นนักศึกษาปีสามที่พูดซาคานได้ดีจนน่าทึ่ง เธอเป็นหนึ่งในนักศึกษาน้อยคนที่เลือกเรียนเอกซาคานแต่เริ่มต้น เพื่อนร่วมชั้นเรียนบางคนของลินห์แอบกระซิบบอกฉันว่าเพราะลินห์หลงรักหนุ่มซาคานคนหนึ่งซึ่งมาทำงานในเมืองนี้ จึงกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้วัฒนธรรมของชายที่ตนหลงรัก
ยามว่างลินห์มักแวะมาพูดคุยกับฉัน ในวันหยุดเธอพาฉันซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวตามที่ต่างๆ ทั้งตลาดสด ตลาดขายสินค้าโบราณ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ และสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ซึ่งมีอยู่ทั่วเมือง ระหว่างเดินทางท่องเที่ยวลินห์มักพาฉันแวะกินอาหารพื้นเมืองในร้านเก่าแก่ และดื่มกาแฟในร้านที่มีบรรยากาศพิเศษ ซึ่งตั้งอยู่เต็มเมือง ช่วงเทศกาลที่มีวันหยุดยาว ลินห์พาฉันท่องไปไกลถึงทะเลต่างเมือง เราติดฝนอยู่ที่นั่นถึงสามวันสามคืน ลินห์ว่าเมืองของเธอมีฤดูฝนยาวนาน ฤดูหนาวจะมาเยือนเพียงช่วงสั้นๆ ตอนปลายปี หรือบางปีหากฤดูฝนเกิดดื้อดึงไม่ยอมไป ลมหนาวอาจไม่มาเยือนเลยก็ได้ คงเพราะเหตุนี้ผู้คนในเมืองนี้จึงเตรียมพร้อมสู้ฝนกันเต็มที่ ร่ม หมวก และเสื้อกันฝน คือสินค้าที่หาซื้อได้ง่ายที่สุด มันวางขายอยู่ริมถนน ตามทางเดิน ทุกตรอกซอกซอย แม้แต่ป้ายรถเมล์ ไม่ว่าใครจะอยู่ตรงจุดไหน หากนึกจะซื้อเครื่องกันฝนพวกนี้ เพียงออกแรงเดินไม่กี่ก้าวก็หาซื้อได้แล้ว
ลินห์ทำให้ชีวิตต่างเมืองของฉันมีสีสันและผ่านไปอย่างไม่เชื่องช้านัก หากไม่มีลินห์ฉันคงเหงา และเอาแต่นั่งเฝ้าอินเตอร์เน็ตทั้งวันทั้งคืน
กลางเดือนกันยายน ในเช้าของวันฟ้าหลัว พื้นถนนยังเฉอะแฉะจากพายุฝนที่กระหน่ำหนักเมื่อตอนใกล้รุ่ง ข่าวจากเมืองไกลเดินทางมาถึงพร้อมก้อนเมฆสีเทาที่ลอยเรี่ยต่ำเหนือตึกสิบชั้นข้างหอพัก
เตียงโทร.มาแจ้งข่าวร้าย ท้ายเสียงของเขาเศร้าและร้าวราน แม้รู้สึกสงสารเขานัก หากฉันกลับรู้สึกว่า...มันเป็นข่าวดี
“มันจะดีได้ยังไง ในเมื่อมันต้องอาศัยรถถังและกระบอกปืน”
“มันคงเป็นทางออกสุดท้าย เราอดตาหลับขับตานอนไปฟังนิทานกันแทบเป็นแทบตาย ยังไม่มีทีท่าว่าจะชนะ มีแต่พวกเราจะอ่อนล้าลงไปทุกวัน ในสถานการณ์แบบนี้ มันคงไม่มีวิธีไหนดีไปกว่านี้อีกแล้ว”
ฉันเชื่อเช่นนั้น และนั่นทำให้เตียงเอ่ยปากว่าผิดหวัง เรามีปากเสียงกันหลายคำก่อนเตียงจะวางสายไป
ฉันเข้าไปเช็กข่าวในสถานกงสุล พบถ้อยคำยืนยันอันสงบนิ่งของท่านกงสุลใหญ่
“ไม่มีใครคัดค้าน ประชาชนเอาดอกไม้ไปให้ด้วยซ้ำ”
อีสปหวั่นใจว่าคนเจ้าเล่ห์อย่างศรีธนญชัยจะคิดหาหนทางกลับมาได้ในที่สุด เขาจึงทุ่มเทเล่านิทานอย่างหนัก หวังให้นิทานโบราณเรื่องนั้นแทรกซึมสู่จิตวิญญาณของพลเมืองทุกคนในราชอาณาจักรนี้
แม้สาวกนิทานของเขาจะเพิ่มขึ้นทุกวัน แต่อีสปก็ยังไม่อาจวางใจ เขารู้ดีว่านิทานโบราณเรื่องนี้เดินทางผ่านกาลเวลามายาวนานเต็มที นอกจากต้องสู้รบกับศัตรูตัวร้ายอย่างศรีธนญชัยและเหล่าสาวกผู้โง่เขลาของเขาแล้ว ยังต้องต่อสู้กับยุคสมัยที่รุดหน้า ซึ่งนับเป็นศึกหนักหนากว่าศึกไหน
อีสปจึงสมคบกับเหล่านักปราชญ์ราชบัณฑิตคิด “กฎมณเฑียรบาลใหม่” ขึ้น เพื่อให้นิทานโบราณเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์และลอยอยู่เหนือยุคสมัย
กฎมณเฑียรบาลใหม่ของอีสปประกาศหลักการสำคัญสามประการ คือ
หนึ่ง ห้ามมิให้ผู้ใดก้าวล่วงนิทานโบราณอันศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษจำคุกสามถึงสิบห้าปี
สอง เพื่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ห้ามพลเมืองมั่วสุมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป
และสาม ผู้คนตามหัวเมืองต่างๆ นั้น มีการศึกษาน้อย พวกเขาหาได้มีความเฉลียวฉลาดอันใดไม่ สติปัญญาของพวกเขาเทียบเท่ากับแมลงสาบตัวหนึ่งเท่านั้น จึงเห็นควรให้ริบคืนสิทธิใดๆ ที่พวกเขามี เว้นแต่พวกเขาจะกลับใจหันมาภักดีต่อนิทานโบราณ และเข้าพิธีสาบานหน้าศาลหลักเมือง พร้อมคุกเข่าฟังนิทานโบราณอย่างเคร่งครัดทุกยี่สิบนาฬิกา
ย่างเข้าสู่เดือนแห่งฤดูหนาวแล้ว แต่ฝนยังเทลงมาอย่างหนักและนาน พายุซัดขึ้นฝั่งครั้งแล้วครั้งเล่า บางพื้นที่ถูกพายุถล่มจนอาคารบ้านเรือนและเรือกสวนไร่นาของชาวบ้านพังยับ ผู้คนไม่น้อยจมหายไปกับสายน้ำ เมืองที่ฉันอยู่ยังโชคดีที่ฝนเพียงตกหนักกว่าที่เคย
แต่ไม่ว่าฝนจะตกหนักสักเพียงไหน ผู้คนในเมืองนี้ก็ไม่ท้อต่อสายฝน ตรงริมถนนหน้าหอพักยังมีป้าแก่ๆ หาบอาหารพื้นเมืองมาวางขายอยู่เป็นนิจ อีกฝั่งถนนชายขาด้วนคนนั้นยังนั่งรถเข็นมาขายล็อตเตอรีตรงที่เดิมทุกวัน มอเตอร์ไซค์รับจ้างยังหมั่นเร่หาลูกค้าตามริมถนน ผู้คนหนุ่มสาวยังคร่ำเคร่งกับตำรับตำราเป็นบ้าเป็นหลัง ลินห์พูดกับฉันบ่อยครั้งว่าการเรียนเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้พวกเธอไปพ้นจากอดีต
แน่นอน เธอหมายถึงอดีตอันแสนเจ็บปวดของบรรพบุรุษสมัยสงคราม
ในชั่วโมงการพูด ลินห์และเพื่อนมักเล่าถึงประวัติศาสตร์อันน่าเศร้าของพวกเขาให้ฉันฟัง ครั้งหนึ่งเพื่อนของลินห์เล่าว่าทหารอเมริกันจับงูพิษยัดใส่อวัยวะเพศของหญิงพื้นเมืองคนหนึ่ง เพื่อไม่ให้เธอสืบทอดเผ่าพันธุ์ได้อีกต่อไป เด็กสาวบางคนร่ำไห้เมื่อได้ฟัง บ้างร้องออกมาว่าทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว
แต่อย่างไรหนุ่มสาวเหล่านี้ก็พร้อมจะลืมความหลัง ในวันนี้พวกเขามุเรียนภาษาตะวันตกอย่างเอาเป็นเอาตาย ยามพบเจอฝรั่ง ไม่ว่าชาติไหน พวกเขาพร้อมจะพุ่งเข้าหา การได้สนทนากับคนต่างชาติสามารถเอาไปคุยอวดกัน
มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในวันนี้ฉันได้พบเห็นอดีตทหารอเมริกันสมัยสงครามกลายมาเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษในมหาวิทยาลัย...ในเมืองนี้
กฎมณเฑียรบาลใหม่ของอีสป ถูกนักปราชญ์ราชบัณฑิตและผู้คนที่ไม่เห็นด้วยต่อวิญ ญาณเผด็จการ วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วง แต่เขาหาได้ใส่ใจไม่ ยังคงปลุกปั่นให้พลเมืองทั่วราชอาณาจักรสนับสนุนกฎมณเฑียรบาลเหล็กของเขาต่อไป
นั่นยิ่งสร้างความช้ำชอกใจให้บรรดาผู้หลงใหลนิทานแห่งความสุข ฎีกาที่เงียบหายทำให้พวกเขาล่วงรู้ความจริงบางอย่างและรู้สึกเศร้า บัดนี้ความปรารถนาของพวกเขาได้แปรเปลี่ยนไปแล้วตลอดกาล สิ่งที่พวกเขาใฝ่หามิใช่การได้กลับมาตุภูมิของศรีธนญชัยอีกต่อไป ความสุขและความยุติธรรมในแผ่นดินเกิดต่างหากเล่า คือสิ่งที่พวกเขาเฝ้าโหยหาอย่างแท้จริง
ในวันที่ความเจ็บปวดสุกงอม พลเมืองผู้ปรารถนาความความสุขและความยุติธรรมแห่งแผ่นดินเกิดทั่วราชอาณาจักร ได้หลั่งไหลมารวมตัวกัน ณ ดินแดนหลวง เพื่อทวงคืนความสุขและความยุติธรรมบนแผ่นดินที่พวกเขาเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง
มันเป็นปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์แห่งชาติของดินแดนนี้
แต่แล้ว...แผ่นดินนี้กลับกลายเป็นแผ่นดินอื่น พวกเขาถูกฝ่ายตรงข้ามประโคมข่าวให้ร้ายว่าเป็นภัยต่อนิทานโบราณอันศักดิ์สิทธิ์ ข่าวแล้วข่าวแล้ว วันแล้ววันเล่า กระทั่งพวกเขากลายเป็นเพียงฝูงแมลงสาปที่หาค่าอันใดไม่ได้
สุดท้ายถูกล้อมปราบอย่างทารุณ ผู้คนบาดเจ็บล้มตาย ท่ามกลางสายตาพลเมืองดีที่มองมาอย่างชิงชัง
เฝื่องเป็นเพื่อนสนิทของลินห์ ระยะหลังเธอมักติดตามลินห์มาพูดุคยกับฉันด้วย เด็กสาวจากภาคเหนือคนนี้สนใจเรื่องการเมืองเป็นพิเศษ
“ตอนนี้คนซาคานกำลังอิจฉาพวกเราใช่ไหมคะ”
เฝื่องตั้งคำถาม ทำเอาฉันคอแข็ง
“ทำไมเฝื่องถึงคิดแบบนั้น”
“ก็ตอนนี้ประเทศของเราเจริญมาก คนซาคานเลยกลัวว่าจะถูกเราแย่งทุกอย่างไป” เด็กสาวตอบอย่างไม่หวั่นไหว
“ใครเจริญเราก็ดีใจด้วย” ฉันพยายามตอบ
เฝื่องยิ้ม สบตาฉันอย่างเชื่อมั่น ก่อนอรรถาธิบายยืดยาวด้วยภาษาไทยกระท่อนกระแท่น
“ถ้าเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในเอเชียอาคเนย์ จะเห็นว่าทุกประเทศต้องเอาหมดแรงเพื่อความเป็นเจ้าของประเทศตนเอง เพียงแต่ซาคานเท่านั้นที่เป็นชาติเดียวรอดพ้นจากสงครามได้ เพราะคนซาคานเป็นคนนุ่มนวล และนโยบายการทูตแบบมีปัญญาและความยืดหยุ่น โดยวิธีใช้มหาอำนาจนี้ควบคุมมหาอำนาจอื่นๆ แล้วก็ยอมเซ็นสนธิสัญญาหลายอย่างกับมหาอำนาจหลายประเทศ แต่ในทางตรงกันข้าม ซาคานก็ต้องขึ้นอยู่กับมหาอำนาจอื่นๆ ผลที่ตามมาคือซาคานกลายเป็นสนามหลังของสหรัฐอเมริกา คนซาคานมีสิทธิจะภูมิใจในตัวเอง เพราะความสำเร็จทางการทูตในสมัยสงครามล้วนแต่ทำให้ปัจจุบันนี้เขาได้หลีกเลี่ยงสงครามนองเลือดและไม่ยุติธรรม มีโอกาสพัฒนาประเทศ ตามที่นักเศรษฐศาสตร์คำนวณว่า ซาคานได้ก้าวหน้าสิบห้าครั้งกว่าเรา แต่ซาคานก็มีอิทธิพลมาจากระบบนายทุนต่างประเทศมากมาย ทำให้สภาพการเมืองในประเทศไม่สงบ และมีปัญหาสังคมที่สับสนมากมาย ซาคานมีการปฏิวัติหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่ได้รับความมั่นคงทางการเมืองการปกครองเลย มันมีความหมายว่าคนซาคานได้ทำร้ายคนซาคานด้วยกันนั่นเอง และคนที่ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุดก็คือสามัญชน แม้แต่ในปัจจุบันนี้ซาคานก็ไม่ได้รับการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงเลย และคนซาคานไม่ได้รับประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ เพราะสังคมซาคานมีความแยกแยะแตกต่างระหว่างชนชั้นหนักมาก และผู้นำหน้าหรือผู้ที่มีอำนาจสูงสุดของชาติ อันที่จริงก็คือพระราชา นั่นคือพระราชาได้ความเคารพมากเกินไป ใครๆ ก็มีสิทธิเสมอภาคเท่าเทียมกัน แต่ทำไมประชาชนซาคานต้องกราบและคุกเข่าเมื่อสัมผัสต่อหน้าเขา เรามีความนับถือเคารพต่อพระราชาหรือผู้ที่มีเกียรติและผู้ที่อุทิศให้ชาติ สังคม แต่เราไม่ควรปฏิบัติเหมือนเรามีคุณค่าต่ำมากเช่นนี้ แล้วก็เราเป็นคนเหมือนกัน ไม่ใช่ทาสของใครใช่ไหม ประเทศของเรามีคุณลุงคนหนึ่งที่มีบุญคุณกับพวกเรามาก แต่เราไม่เคยต้องคุกเข่าเมื่ออยู่ต่อหน้าคุณลุงหรือเมื่อไปเยี่ยมสุสานของคุณลุงเลย”
เฝื่องยิ้มเมื่อพูดจบ ลินห์สบตาฉันอย่างเกรงใจ
ฉันยิ้มให้เด็กสาวทั้งสองอย่างหวั่นไหว
จิตวิญญาณของพลเมืองผู้ปรารถนาความสุขและความยุติธรรมในแผ่นดินเกิด ได้ถูกทำให้แปรเปลี่ยนไปแล้วตลอดกาล อยุติธรรมและความเจ็บปวดผลักให้พวกเขาลุกขึ้นสู้ และนับจากนี้จะสู้อย่างไม่ยอมอีกต่อไป
บัดนี้พวกเขาชัดแจ้งแก่ใจแล้วว่า
“ศัตรูแท้จริงของพวกเขาคือใคร”
สงครามกลางเมืองกำลังจะเริ่มขึ้น และมันจะไม่จบลงง่ายๆ!!!
ลมหนาวล่องมาจนได้ ท้องฟ้าขมุกขมัวแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินสดใส ใบไม้ปลิวร่วงลงสู่พื้นเหมือนสายฝน ทำให้ถนนทุกสายในเมืองนี้น่าเดินเล่น
เราไปถึงเมืองเล็กๆ กลางหุบเขาที่น่าจดจำ อากาศที่นั่นหนาวเย็นตลอดเวลา ผลไม้มีสีสวยและรสชาติหอมหวาน ร้านกาแฟบรรยากาศพิเศษมีอยู่เต็มเมือง ส่งกลิ่นหอมกรุ่นไปทั่วหุบเขา
ฉันหลงลืมข่าวคราวต่างๆ ที่คอยเฝ้าติดตามทางอินเตอร์เน็ตไปชั่วขณะ กระทั่งเตรียมจะเดินทางกลับ เตียงส่งข่าวมาอย่างร้อนรน
เขาว่าเหตุการณ์ในซาคานกำลังดำเนินไปถึงจุดแตกหัก ผู้คนมากมายรวมทั้งเขาตัดสินใจเข้าร่วมกับขบวนการต่อต้านนักเล่านิทานแห่งชาติที่เคยศรัทธาและเครือข่ายอันใหญ่โตที่เฝ้าบ่อนทำลายซาคานมายาวนาน
"ตอนนี่้เรารู้แล้วว่า ศัตรูแท้จริงของพวกเราคือใคร สงครามกลางเมืองกำลังจะเริ่มขึ้น และมันจะไม่จบลงง่ายๆ" ชายหนุ่มย้ำแล้วย้ำอีกก่อนวางสาย
** เพลงแสงดาวแห่งศรัทธา คำร้อง-ทำนอง โดย จิตร ภูมิศักดิ์