ธีรเชนทร์ เดชา
นักสังคมสงเคราะห์
1
“หนูมีแม่อยู่สองคนค่ะ” เสียงของเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งบอกเล่าให้ฟัง “วันนี้หนูมาหาแม่อีกคนหนึ่งของหนู…”
“แล้วหนูจำได้ไหมว่าแม่หนูรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง” ผมลองเอ่ยถามเธอดู ภายหลังคำถาม เด็กหญิงทำท่าทางเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง....
เธอนิ่งนานในความเงียบงัน.....แต่ในแววตาที่ไร้เดียงสานั้น เหมือนจะบอกกับผมอยู่อย่างนั้นว่าเธอจำแม่ของเธอได้ดี...เธอจำได้นะ...ผมไม่แปลกใจว่าทำไมเธอถึงให้คำตอบในสิ่งที่ผมถามเธอก่อนหน้านี้ไม่ได้
แม่...ที่เธอกำลังมาหาในวันนี้นั้น คือแม่แท้ๆ ที่อุ้มท้องเธอมา เป็นแม่ผู้ให้กำเนิด แต่ด้วยเหตุผลและความจำเป็นบางอย่าง แม่คนนี้จึงไม่ค่อยมีเวลาได้เลี้ยงดูแลเธออย่างเต็มที่เท่าที่ควร... จนกระทั่งสุดท้าย...แม่ได้จากเธอมาต้องโทษในเรือนจำแห่งหนึ่ง ... ตอนนั้นเธออายุเพียง 4 ขวบ โดยที่หนูน้อยไม่รู้เลยว่าแม่หายไปไหน
เธอรู้แต่ว่า ทุกวันนี้เธออาศัยอยู่กับแม่ของหนูอีกคน ซึ่งแท้จริงแล้วแม่ที่เธออยู่ด้วยนั้นคือ ยายที่รับภาระเลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย
และทุกครั้งยายจะบอกย้ำกับหนูน้อยว่า นี่แหละแม่....
ปัญหาระหว่างแม่กับยาย...นั้นทวีความรุนแรง จนถึงขั้นยายตัดแม่ตัดลูกกับแม่ของหนูน้อย แต่คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่างเธอคนนี้ กลับพลอยต้องรับผลจากสิ่งที่เกิดขึ้น....
ผมรู้สึกว่า บางครั้งผู้ใหญ่ก็ชอบจัดวางชีวิตให้กับเด็กโดยเห็นว่าถูกแล้ว..ดีแล้ว แต่ก็ไม่เคยเอ่ยถามความรู้สึกความต้องการของเด็กเลยสักคำ...
จนกระทั่งวันนี้ หนูน้อยอายุได้ 7 ขวบ เธอก็ยังไม่เคยพบเจอแม่แท้ๆ คนรอบข้างบอกเธอว่าเธอมีแม่อยู่อีกคน แต่ยายที่เธออยู่ด้วยกลับไม่เคยแพร่งพรายบอกเล่าให้ฟังและก็ไม่เคยพามาพบเจอแม่สักครั้ง
สถานการณ์บางอย่างมันก็ยากที่จะเข้าใจ หรือไปตัดสินว่าใครถูกใครผิด ถ้าหากว่าเราไม่เจอกับตัวเอง ...ใช่ ในชีวิตของคนเรานั้นบางครั้งก็ต้องรอเวลาในการรักษาเยียวยาจิตใจพอสมควร บางครั้งคนเราก็ต้องยอมรับความจริงและปล่อยให้ใจเจ็บปวดเพื่อที่จะสามารถก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้
เรื่องราวระหว่างยายกับแม่ของหนูน้อยนั้น ผมคิดว่าพอจะมีทางออก และทางเลือกที่ดีกว่านี้..เพราะผมเชื่อมั่นเหลือเกินว่าสายสัมพันธ์ความรักระหว่างแม่กับลูกนั้น เป็นสายสัมพันธ์ที่ไม่อาจตัดให้ขาดได้
อย่างเช่นตอนนี้ หนูน้อยเธอได้แสดงให้ผมเห็นและสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเช่นนั้น...
“หนูมีแม่อยู่สองคนค่ะ” หนูน้อยเชื่อในความรู้สึกข้างในของเธอและเธอก็บอกตัวเองหรือใครๆ อยู่อย่างนี้ตลอดมา
จนกระทั่งมาถึงวันนี้...วันที่เธอมีความหวังว่าจะได้พบแม่อีกคน.....
2
เหตุเกิดภายในเรือนจำจังหวัดๆ หนึ่ง ณ สถานที่เยี่ยมญาติใกล้ชิด
เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ไว้ผมเปียยาวสองข้าง แต่งชุดนักเรียน กำลังพูดคุยยิ้มแย้มกับอาจารย์ผู้หญิงที่พามาอย่างสนุกสนาน แกมความไร้เดียงสา เธอไม่ได้คิดว่าช่วงเวลาต่อจากนี้จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น…หรือจะต้องเตรียมตัวอย่างไร
รู้แต่ว่าครูบอกจะพามาพบแม่….แม่มาทำงานฝึกอาชีพอยู่ที่นี่ แม่…ที่จากเธอไปตั้งแต่เธออายุเพียง 4 ขวบ...และแม่คนที่เธออาจจะเคยผวาเรียกตามจิตใต้สำนึกในคืนวันอันฝันร้าย......
ประตูแดนควบคุมหญิงถูกเปิดออก...หนูน้อยกำลังพูดคุยจ้อเหมือนเดิมอยู่บนม้านั่งหินอ่อน หันหลังให้กับประตู ผู้หญิงร่างท้วมคนหนึ่งสวมชุดนักโทษหญิงสีฟ้า...โผล่พ้นออกจากบานประตู ในมือถือถุงใบใหญ่สีเขียว พร้อมกับผู้คุมหญิงซึ่งเดินตามหลังมา สายตาเธอพยามมองหาใครซักคน จนกระทั่งเจอสิ่งที่ตามหา…..
นักโทษหญิงไม่รอช้าเธอวิ่งไปยังจุดหมายโดยไม่สนใจผู้คุมหญิงที่เดินตาม ราวกับนักเดินทางผู้อิดโรย มาค้นพบธารน้ำใสกลางทะเลทราย ระยะทางจากประตูถึงที่หมายนั้น ราวๆ 10 เมตร ได้ แต่ผมเข้าใจว่าเธอ คงรู้สึกเหมือนกับว่าระยะทางนั้นมันช่างไกลเหลือเกิน...
สิ้นเสียงที่คุณครูบอกหนูน้อยว่า “แม่มาหาหนูแล้วนู้นไง” หนูน้อยรีบหันหลังไปดูตามที่ครูชี้ เธอลุกขึ้นยืนนิ่งอึ้งไม่ขยับเขยื้อน...ร่างท้วมในชุดฟ้าเริ่มเข้ามาใกล้มากขึ้นๆ
แล้วจู่ๆ หนูน้อยก็ค่อยๆ วิ่งเข้าไปหาเธอ หญิงในชุดฟ้าคุกเข่าลงสวมกอดหนูน้อย
ทั้งสองต่างกอดกันร่ำไห้ แม่ค่อยๆ ดึงหน้าหนูน้อยออกมา ใช้มือรูปไล้ตามใบหน้าอย่างทะนุทะนอม ทั้งสองสบตาซึ่งกันและกันไม่มีแม้แต่คำพูดซักคำ... แม่บรรจงหอมตรงกลางหน้าผากหนูน้อย ก่อนจะสวมกอดกันแน่นอีกครั้ง ท่ามกลางสายตาผู้คนที่ต่างกำลังมองภาพนี้ด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ….
ภาพที่ปรากฏพบเจออยู่เบื้องหน้านั้น สะกดให้ผมนิ่งอึ้ง…. ราวกับว่าโลกทั้งใบไร้ผู้คน สรรพสิ่งรอบข้างหยุดเคลื่อนไหว มีเพียงสองแม่ลูกและตัวผมเท่านั้น…
สำหรับผมแล้วมันคือช่วงเวลาแห่งความสวยงาม วินาทีที่สุดแสนประทับใจ… แม้จะถูกฉาบไว้ซึ่งความเศร้าก็ตาม…
ภายหลังการพูดคุยกันสักพัก ทุกคนต่างพากันเดินออกมาอยู่อีกที่หนึ่ง ปล่อยให้แม่ลูกได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันตามลำพัง เพราะสังเกตได้ว่าสีหน้าท่าทางของหนูน้อยเริ่มเปลี่ยนไป เธอได้แต่เงียบ ไม่ช่างพูดช่างคุยเหมือนเคย หนูน้อยคงอาจกำลังสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรือยังปรับภาวะทางอารมณ์ไม่ทัน
เหมือนเธอกำลังคิดหรือบอกกับกับตัวเองซ้ำๆ..ว่านี่คือความจริง ความจริงที่ไม่ใช่ฝัน....ความจริงที่เธอได้เจอแม่คนที่สองของเธอแล้ว....
เรื่องราวของหนูน้อยในวันนี้ถ้าหากเป็นละครเรื่องหนึ่ง และผมเป็นผู้กำกับผมคงอยากให้ฉากที่แม่ลูกได้พบเจอกันนี้เป็นฉากตอนจบ ทุกอย่างจะได้จบอย่างแฮปปี้เอนด์ดิ้ง....
แต่..ชีวิตจริงที่ไม่ได้อิงนิยาย ชั่วโมงนี้คงเป็นได้แค่วูบหนึ่งของความสุข...
วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรนั้น.....ยังยากที่จะคาดเดาได้ ก็คงได้แต่เอาใจช่วยและภาวนาให้เกิดแต่สิ่งที่ดี และงดงามอย่างนี้ ตลอดไป....
เพียงครู่เดียว หนูน้อยกลับมายิ้มพร้อมกับแววตาแห่งความสุขอีกครั้ง อีกทั้งเริ่มที่จะพูดคุยอย่างสนุกสนานเหมือนเคย เธอไม่ได้นั่งม้าหินอ่อนแล้ว แต่เธอนั่งตักแม่แทน...พร้อมกับทานขนมจากถุงที่แม่เธอถือออกมาด้วยก่อนหน้านี้
ผมรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความสุขของเธอภายใต้อ้อมกอดแม่นี้ แต่ก็คงจะไม่เทียบเท่ากับหนูน้อยคนนี้
ก่อนที่จะถึงเวลาที่ทั้งคู่ต้องลาจากกันอีกครั้ง..ผมบอกกับตัวเองว่าจะต้องพาเธอมาพบแม่อีกให้ได้ และหวังว่าถ้ามาครั้งหน้า แม่อีกคนหนึ่งของเธอจะยอมมาด้วย....
ทุกวันนี้ยายยังใจแข็ง ปฏิเสธการมาพบเจอแม่ของหนูน้อย นักโทษหญิงเสียใจที่แม่ไม่มาเยี่ยมพร้อมกับหนูน้อย แต่ลึกๆ แล้วแม่ของเธอคงปวดร้าวไม่ต่างจากเธอเช่นกัน...
เสียงคุณครูบอกหนูน้อย “เราต้องกลับแล้วนะคะ...” เธอทำท่าเหมือนจะร้องไห้
เมื่อรู้ว่าจะต้องจากอ้อมกอดแม่ พร้อมกับแหงนขึ้นไปมองหน้า.... “แม่...” แม่ได้แต่ยิ้มแล้วเอามือลูบหัว น้ำตาเริ่มคลอพร้อมกับเสียงสั่นเครือเบาๆ “หนูจะต้องเป็นเด็กดีและตั้งใจเรียนหนังสือนะ ...แม่รักหนูเสมอ...” แม่พูดพร้อมบรรจงจูบหน้าผากหนูน้อยและกอดกันอีกครั้ง
หนูน้อยค่อยๆ ลุกจากตักแม่ เดินไปหาครู ระหว่างที่ครูพาเดินกลับ เธอหันมามองแม่จนเดินลับผ่านประตูเรือนจำออกไป
ผมหันกลับมามองนักโทษหญิง เธอยังคงยืนนิ่งมองจนหนูน้อยพ้นประตูออกไป ก่อนที่ผมจะเดินตามหนูน้อยออกไป ผมเห็นว่าน้ำตาเธอได้ไหลเอ่อล้นออกมาอีกครั้งหนึ่ง...
3
เรื่องราวของเด็กน้อยกับแม่ที่ต้องโทษอยู่ในเรือนจำครั้งนี้....มันทำให้ผมหวนนึกถึงคำพูดของนักโทษวัยรุ่นชายคนหนึ่ง
ในระหว่างการสัมภาษณ์ผู้ต้องขังเป็นรายบุคคล นักโทษชายวัยรุ่นคนหนึ่ง เขาบอกกับผมว่า ข้อดีของการติดคุกสำหรับเขานั้น มันทำให้เขาได้ครอบครัวคืนมา...
“จากที่แต่ก่อนผมไม่เคยกอดพ่อกอดแม่ ก็ได้มากอดกันที่คุก และรู้ว่าพ่อรักผมแค่ไหนเมื่อได้เห็นน้ำตาของพ่อ ทั้งที่เราสองคนต่างกันคนละขั้ว ไม่เคยลงรอยกันเลยก็ว่าได้ จนทำไห้ผมคิดอยู่เสมอว่าพ่อไม่รักผม แต่การติดคุกครั้งนี้ ได้ทำลายความคิดนี้ของผมไปอย่างสิ้นเชิง”
สิ่งดีๆ ที่คาดไม่ถึงอาจผ่านมาสะกิดหัวใจ...ในชีวิต สำหรับบางคน....บางครั้งมันสามารถเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตได้ในพริบตา โดยที่ไม่ต้องมีใครมาพร่ำบ่น หรือดุ ด่า ว่ากล่าวตักเตือนให้คอยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเอง แท้จริงแล้วการเปลี่ยนแปลงที่ดีที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มจากข้างในตัวตนของตัวเอง
เหมือนกับที่ เดวิด วิสคอตต์ เคยบอกเอาไว้
“ไม่มีใครบังคับให้คุณเปลี่ยนได้
ไม่มีใครหยุดยั้งคุณจากการเปลี่ยนแปลงได้
ไม่มีใครรู้ดีว่าคุณต้องเปลี่ยนแค่ไหน
ไม่แม้แต่ตัวคุณ
ไม่ จนกว่าคุณจะเริ่ม”
ตัวผมเองนั้น...เชื่อในคุณค่าของและศักดิ์ศรีของความเป็นคน คนทุกคนมีศักยภาพและสามารถพัฒนาตนเองได้....เพียงแต่ถ้าเขามีโอกาส...โอกาสที่บางทีมันเข้ามาอย่างแว่วๆ และแผ่วเบา..เราจะทำยังไงให้เขาไขว่คว้าโอกาสเหล่านั้นไว้ได้.....คงไม่มีใครที่เกิดมาแล้วอยากเป็นคนเลวในสายตาของผู้อื่น...เหมือนกับท้องทะเลที่บ้าคลั่ง โหดร้าย...และน่าสะพรึงกล้ว แต่เมื่อคลื่นลมสงบ กลับราบเรียบ สวยงามดังเช่นที่เคยเป็นอีกครั้ง ท่ามกลางความเลวร้าย ทุกสิ่งย่อมมีสิ่งดีงามแอบแฝงอยู่เสมอ...สำหรับผม.....ความเลวร้ายไม่ใช่สิ่งที่ถาวร
เรื่องราวของนักโทษชายกับเรื่องหนูน้อยอาจจะเป็นคนละเรื่องกัน
แต่สำหรับผมแล้วมันคือ ความเหมือนที่แตกต่าง....
(#นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นคือเรื่องจริงผ่านความคิด ภายหลังจากที่เรือนจำได้ดำเนินการประสานความร่วมมือสร้างเครือข่ายงานสังคมสงเคราะห์ในเรือนจำกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น - -ขอขอบคุณองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งหนึ่ง ที่มีส่วนช่วยให้เกิดสิ่งที่สวยงามเหลือเกินสิ่งนี้ขึ้น)