Skip to main content

          เสียงนาฬิกาปลุกปลุกผมให้ลุกจากที่นอนรีบไปอาบน้ำ ผมสะพายเป้ ออกจากบ้านด้วยอารมณ์เรียบเฉยต่างจากวันก่อนที่อยากไปมากอย่างสิ้นเชิง คงเป็นเพราะบรรยายกาศที่มีฝนตกปรอยๆ และข้อมูลการเดินทางที่มีน้อยมาก มันเลยทำให้ผมไม่ได้คาดหวังอะไรมากจากการเดินทางครั้งนี้ผมนัดเจอกับชาติที่สายใต้ใหม่ ผมใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการรอและเราก็ออกเดินทางไปด้วยกันด้วยรถทัวร์ เราสองคนไม่ได้คุยทำความรู้จักกันมากเท่าไหร่ ชาติใส่หูฟัง ฟังเพลง ส่วนผมก็ดูบรรยากาศข้างทางไปเรื่อยๆ วันนี้อากาศครึ้มฝนทำเอาใจเริ่มหวั่นไหวกับสิ่งข้างหน้าที่รอเราอยู่ เราถึงกาญจนบุรีช่วงเวลา 8.00 น. แวะรับประทานอาหารกันเรียบร้อย ก็จะต้องทำการหารถเพื่อมุ่งหน้าไปสังขละบุรี ในใจตอนนั้นก็อยากนั่งรถบัสไปเพราะเป็นคนที่กลัวการนั่งรถตู้ที่สุด อาจเป็นเพราะการได้เสพข่าวตามหนังสือพิมพ์ที่มักเห็นรถตู้ซิ่งเบรคแตกตายยกคัน พูดแล้วก็เสียวสันหลัง ถ้าไม่จำเป็นจริงๆก็คงไม่คิดอยากจะนั่งแต่ทำไงได้ละเพราะเท่าที่เราเห็นตอนนั้นมันมีแต่รถตู้ที่ไปสังขละบุรี บางทีการที่เราฝืนความกลัวทำบางสิ่งนั้นมันก็รู้สึกทรมานใจในช่วงแรกเหมือนกัน ถึงแม้เมื่อนั่งไปสักพักเราจะรู้สึกอุ่นใจจาการที่พี่คนขับขับรถได้นิ่มนวลแต่สำหรับผมรถตู้ก็เป็นพาหนะที่อันตรายในสายตาอยู่ดี รถค่อยๆเคลื่อนไปเรื่อยๆผ่านตัวเมืองมุ่งหน้าสู่อำเภอไทรโยค ภายใต้เส้นทางเรียบแม่น้ำแควน้อย มีทิวทัศน์ของภูเขาให้เราดูเพลินๆ ก็ทำให้เรารู้สึกสบายใจขึ้นมาได้เยอะ รถมุ่งหน้าสู่อำเภอทองผาภูมิระยะทางที่เพิ่มขึ้น ก็เหมือนเรายิ่งได้เข้าใกล้กับธรรมชาติมากยิ่งขึ้น สองข้างทางเริ่มเต็มไปด้วยป่าเขาลำเนาไพรที่เขียวขจี ถ้าหากเส้นทางที่เราเดินทางไปทำงานเป็นอย่างนี้ทุกวันก็คงดี หลังจากแวะส่งผู้โดยสารที่ตัวอำเภอทองผมภูมิรถก็แล่นมุ่งสู่อำเภอสังขละบุรีโดยเส้นทางเริ่มที่จะหวาดเสียว ไต่ภูเขาลูกแล้วลูกเล่า ลัดเลาะไปตามแนวของเขื่อนวชิราลงกรณ์

          ในที่สุดเราก็มาถึงอำเภอสังขละบุรีภายใต้เส้นทางลัดเลาะเขามาปรากฎเป็นภาพชุมชนตั้งอยู่เรียงรายบริเวณเขื่อน บ้างก็เป็นแพลอยอยู่บนพื้นผิวน้ำเป็นภาพที่มองดูแล้วก็เพลินตาดีเหมือนกัน ที่ได้เห็นเมืองเล็กๆที่ซ่อนอยู่ภายใต้ธรรมชาติอันกว้างใหญ่ไพศาล รถตู้มาส่งเราที่ท่ารถเราไม่รอช้ารีบนั่งวินเพื่อที่อยากไปเห็นสะพานมอญ สะพานไม้ที่ยาวเป็นอันดับ 2 ของโลก และในที่สุดเราก็มาถึงบรรยากาศบนสะพานไม้เต็มไปด้วยเด็กชาวมอญที่มาทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง บ้างก็อาสารับจ้างบอกเล่าประวัติสะพานมอญ บ้างก็รับปะแป้งลวดลายสวยๆให้เรา ถือเป็นมนต์เสน่ห์อย่างหนึ่งที่ใครก็ตามที่มาสังขละบุรีควรมาสัมผัสสักครั้งหนึ่งแต่ที่น่าหวาดเสียวก็คงเป็นกลุ่มเด็กที่รับจ้างโดดน้ำโชว์จากสะพานมอญที่ทำเหมือนเป็นการโดดน้ำเล่นที่คลองหลังบ้านเพราะมองดูแล้วความลึกของน้ำก็ไม่ได้ตื้นๆ เราเดินผ่านความยาวของสะพานมอญมาจนถึงอีกฝั่งหนึ่งและได้พบกับเด็กชาวมอญหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูเดินตรงเข้ามาหาเราพร้อมบอกให้เราช่วยอุดหนุนการปะแป้งน้องหน่อย ด้วยความสงสารและเอ็นดูเราจึงให้น้องปะแป้งพร้อมขอเซลฟี่คู่กับน้องไว้สัก1รูป และเราก็ได้คุยกันได้ใจความว่า น้องชื่อ อาบูดาบี (ชื่อเท่นะ) มาทำงานช่วงวันหยุดแถมยังมีถามกลับด้วยนะ พี่มานั่งทำไมเฉยๆ ทำไมไม่ไปทำงานหาเงิน(โดนสวนอีก) เราคุยกันได้สักพัก อาบูดาบีเริ่มซุกซนเปิดนู้นเปิดนี่ในกระเป๋าผมพร้อมทั้งเริ่มมาขี่คอกอดรัดฟัดเหวี่ยงเหมือนเราเป็นพี่น้องรู้จักกันมาตั้งแต่ในท้องแม่ ยังโชคดีที่แม่ของน้องเข้ามาห้ามไว้ทัน ไม่งั้นคงต้องมีการเลือดตกยางออกกันไปข้างหนึ่งละ หลังจากที่เราได้ดื่มด่ำบรรยากาศที่สะพานมอญกันอย่างจุใจก็ถึงเวลาที่เราจะมุ่งสู่จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของเรากันสักที ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาครูซา ครูประจำศูนย์การเรียนรู้ศรีสุวรรณที่อยู่ ณ หมู่บ้านสะเนพ่องที่เป็นคนดูแลเราตลอดการอยู่ในหมู่บ้านสองวันต่อจากนี้และช่วงเวลาต่อจากนี้มันกำลังเป็นช่วงเวลาที่พิเศษสุดในชีวิตของผม ที่ผมจะไม่มีวันลืมเลือนไปได้เลย............... เด็กหนุ่มชาวมอญอาบดูาบี สะพานมอญ สังขละบุรี

 

บล็อกของ Storytellers

Storytellers
 เรื่องราวนี้เกิดขึ้นกับการเดินทางระหว่างฉันและเพื่อนๆกว่า 12 คน เราได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน 7 วัน 6 คืน ที่บ้านหัวเขาจีน ตำบลห้วยยางโทน อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี
Storytellers
เล่าประสบการณ์การไปเที่ยวแบบงงๆ เป็นอะไรที่ประทับใจมากค่ะ เรื่องราวคือการวางแผนเที่ยวหลังการทำโครงการที่มหาวิทยาลัยเสร็จจะไปเที่ยวทะเลก่อนอื่นต้องบอกเลยว่าเรียนที่กรุงเทพฯก็อยากจะไปไกลๆ ทะเลสวยๆ  แต่ค่ะสรุปลงตัวไปเกาะล้าน พัทยา เดินทางอย่างมากสัก 3ชั่วโมง วันที่ไปคือแปลกมาก ฟาดไป5ชั่วโมง จุด