Skip to main content

          เรานั่งรอคุณครูซามารับประมาณเกือบๆ 2 ชม.เพราะวันนี้ทางโรงเรียนติดส่งแขกที่เข้ามาบริจาคสิ่งของ แล้วรถของคุณครูก็มาถึงเป็นรถโฟวิลยกสูงคันใหญ่ ที่ขับมาโดยเด็กหนุ่มหน้าตาอย่างกับบอยแบรนด์เกาหลี ผมสวัสดีทักทาย ในใจก็คิดว่าสงสัยครูซาคงให้ลูกศิษย์ขับรถมาแทน แต่ก็ไม่ใช่อย่างที่เราคิด เพราะหนุ่มหน้าตี๋สุดหล่อคนนี้คือ ครูชาติ ครูหนุ่มอารมณ์ดีที่จะคอยสร้างเสียงหัวเราะให้เราตลอดการอยู่ร่วมกัน เราขึ้นรถออกจากตัวอำเภอสังขละบุรีเลี้ยวเข้าแยกหนึ่งจากถนนใหญ่ สองข้างทางเริ่มเต็มไปด้วยป่าเขาและบ้านเรือนของชาวบ้านอยู่เป็นระยะๆ ทางที่เข้าไปค่อนข้างชัน เป็นทางลูกรังสลับกับคอนกรีตให้เราได้ตื่นเต้นอยู่เป็นระยะๆ เมื่อเข้าไปเรื่อยๆสัญญาณมือถือเราก็เริ่มหายไปเป็นสัญญาณบ่งบอกให้เรารู้ว่าเรากำลังเข้าสู่โลกอีกใบหนึ่งที่จะไม่ต้องรับรู้เรื่องราวจากภายนอก บางทีการที่เราพาตัวเองมาอยู่ในที่แบบนี้บ้างมันก็ดีเหมือนกัน เพราะการเสพข่าวสารทุกวันมันก็ทำให้เราเป็นบ้า จิตตกกับข่าวได้เหมือนกัน การที่มันไม่มีเทคโนโลยีใดๆเลย มันอาจทำให้เราได้ใช้เวลาอยู่กับปัจจุบัน กับสิ่งรอบๆข้างเราได้ดีขึ้น ซึ่งมันเป็นอย่างที่เราคิดไว้จริงๆ รถแล่นมาเรื่อยๆ จนถึงลำธารแห่งหนึ่ง ระดับความลึกประมาณต้นขาแต่สายน้ำก็แรงเอาเรื่อง นี่เป็นเพียงเส้นทางเดียวที่รถยนต์จะสามารถเข้าไปถึงหมู่บ้านได้ การที่มีเส้นทางลำบากเช่นนี้ก็คงเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ความเจริญเข้าไปถึงหมู่บ้านนี้ได้ยาก และอีกปัจจัยหนึ่งก็คือ การที่หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่ของเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรจึงทำให้หมู่บ้านแห่งงนี้ยังคงไว้ซึ่งความงามในแบบฉบับของธรรมชาติอย่างแท้จริง

           ในที่สุดเราก็มาถึงที่โรงเรียน ภาพที่เห็นในตอนนี้คือสนามหญ้าหน้าโรงเรียนที่มองไปเห็นอาคารเล็กๆ สองชั้น สองสามอาคาร ล้อมรอบด้วยภูเขาสูงเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจีมันคือโรงเรียนในฝัน ที่สมัยเด็กๆ เราไม่มีโอกาสได้สัมผัส การได้เรียนในโรงเรียนบรรยากาศแบบนี้มันก็คงจะดีเพราะเวลาเราคิดอะไรไม่ออก การได้มองไปไกลสุดลูกหูลูกตา ไม่มีตึกอาคาร คอยบังความงดงามของทิวทัศน์ มันอาจทำให้เราได้ไอเดียใหม่ๆมากยิ่งขึ้น ถึงเวลาเลิกเรียนก็แค่เดินกลับบ้านไปตามทางเล็กๆในหมู่บ้าน ไม่ต้องไปทนรถติดให้วุ่นวาย คิดแล้วบางครั้งก็อิจฉาคนที่นี่เหมือนกันเพราะ มันมีอะไรหลายๆอย่างที่คนกรุงคงไม่มีวันได้สัมผัส  ผมเดินเข้ามาถึงตัวอาคารกลางเห็นเด็กๆกำลังตั้งหน้าตั้งตา เลือกเสื้อผ้าที่เขานำมาบริจาคกันกองใหญ่มหึมา ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าจะแจกจ่ายกันหมดไหม เมื่อได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้อำนวยการศูนย์ก็พบว่า เสื้อผ้าที่เหลือจากการคัดเลือกจะถูกส่งต่อไปยัง ศูนย์อพยพที่พม่าซึ่งมีคนจำนวนมากที่รอคอยความช่วยเหลืออยู่ในตอนนั้นเราได้พบกันเพื่อนของเราที่เดินทางล่วงหน้ามาก่อนคือ พี่แมค ส้มโอ และโม ทุกคนดูกลมกลืนกับเด็กในหมู่บ้านจนแทบจะแยกไม่ออก เราคุยกันสักพักและคิดกันว่าจะออกไปเดินเล่นที่หมู่บ้านกันสักรอบโดยมีเจ้าถิ่นที่น่ารักคอยนำทางให้เราตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะเดินไปไหน สุนัขที่นี่ใจดีมากเจอกันครั้งแรกก็แสดงอัธยาศัยต้อนรับผู้มาเยือนได้อย่างประทับใจ เรามีน้องหมาคอยนำทางพาเที่ยวชมหมู่บ้าน พร้อมน้องมายเด็กสาวกะเหรี่ยง ผู้ที่จะคอยแนะนำเราตลอดการอยู่ในหมู่บ้านนี้ มายเป็นอีกคนที่ผมรู้สึกประทับใจ เขาพร้อมที่จะตอบทุกอย่างที่เราถามหรือสงสัย และพร้อมพาเราไปในทุกที่ที่เราอยากไปมายไม่ใช่คนในหมู่บ้านสะเนพ่อง มายบอกเราว่าบ้านของมายอยู่อีกหมู่บ้าน ต้องเดินทางไปอีกประมาณ 4 กี่โล มายจึงต้องอาศัยอยู่กินที่โรงเรียนในช่วงเปิดเทอม และจึงได้กลับบ้านในช่วงปิดเทอม มายยังชวนพวกเราไปเยี่ยมหมู่บ้านของเธอถ้ามีโอกาส ซึ่งในครั้งต่อไปถ้ามีโอกาสผมก็คงอยากไปเพราะการได้เดินป่า 4 ชม คงสนุกน่าดู เราทั้งหมดเดินมากันเรื่อยๆ จนเข้าสู่ตัวหมู่บ้าน หมู่บ้านแห่งนี้ให้ความรู้สึกถึงคำว่าหมู่บ้านจริงๆ มากกว่าที่ผมเคยพบเจอ เพราะโดยส่วนใหญ่หมู่บ้านที่เคยไปมาบ้านแต่ละหลังไม่อยู่ห่างไกลกันก็อยู่แทบจะเบียดเสียดกัน แต่มองดูที่นี่แล้วรู้สึกว่าเป็นหมู่บ้านที่รู้สึกอบอุ่นให้อารมณ์คล้ายกับเวลาเราดูหนัง ดูละครที่มักเห็นฉากหมู่บ้านในหนังที่เราดู เราเดินผ่านผู้คนในหมู่บ้านซึ่งก็มองเราด้วยความสงสัยจนไปหยุดที่บ้านหลังหนึ่ง น้องมายบอกเราว่าบ้านหลังนี้มีเครื่องทอผ้าเป็นของตนเอง พวกเราจึงขออนุญาตเข้าไปในบ้าน ก็พบตากับยายคู่หนึ่งกำลังนั่งอยู่หลังบ้าน คุณตาท่าทางเป็นมิตรรีบออกมาต้อนรับพวกเรา แววตาของแกบ่งบอกถึงการต้อนรับแขกเต็มที่ แกเชิญให้พวกเรานั่งและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แกบอกว่าเราแกเป็นคนที่นี่มาตั้งแต่เกิด บรรพบุรุษอพยพมาจากพม่าก็มาตั้งรกรากที่นี่ แกบอกแต่ก่อนที่นี่กันดารกว่านี้มากทุกวันนี้ความเจริญเข้ามามากมายทำให้วิถีชีวิตกะเหรี่ยงบางอย่างก็เริ่มสูญหาย และระหว่างที่คุยอยู่นั้นก็ได้เสียงคุณยายกำลังทำอะไรบางอย่างกับเครื่องทอผ้า ทุกคนรีบลุกไปหลังบ้าน ปล่อยให้ผมนั่งคุยกับคุณตาสองคน คุณตาก็ไล่ถามประวัติผมอย่างสนใจ ระหว่างที่ทุกคนไปให้ความสนใจกับคุณยาย ผมก็คุยกับคุณตาอย่างถูกคอจนกระทั่งเวลาเริ่มเย็นเราจึงต้องรีบออกไปสำรวจที่อื่นต่อผมจึงต้องขอตัวลาคุณตาแต่ก็ให้สัญญาว่าวันพรุ่งนี้จะกลับมาคุยด้วยต่อ ซึ่งคำสัญญานั้นก็นำมาซึ่งอะไรบางอย่างที่ผมจำไม่รู้ลืม....

          เราเดินมากันเรื่อยๆ ก็สังเกตเห็นภูเขาทางซ้ายมือ มีเจดีย์ สีทองตั้งอยู่ตรงกลางเขา เราจึงถามตรงนั้นคืออะไร น้องมายบอกว่า เป็นเจดีย์ที่ทุดคนในหมู่บ้านร่วมกันสร้างขึ้นมา ซึ่งถ้าหากเราขึ้นไปตอนเช้าๆจะเห็นทะเลหมอก และเห็นมุมมองของหมู่บ้านทั้งหมด ผมได้ฟังก็ตาลุกวาวเพราะผมเป็นนักล่าทะเลหมอกสำหรับผมการได้เห็นทะเลหมอกมันให้ความรู้สึกสบายใจมันเหมือนตัวเราลอยขึ้นไปอยู่ท่ามกลางท้องฟ้า มันทำให้ผมรู้สึกว่าท้องฟ้าช่างกว้างใหญ่ไกลสุดลูกหูลูกตา อีกทั้งการที่เราจะได้ดูทะเลหมอกแต่ละครั้งเราจะต้องพยายามไปให้ถึงยอดเขาทะเลหมอกคือรางวัลของคนที่พยายามพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่สูงขึ้น แต่ที่ผ่านมาในหลายการเดินทางของผม ก็มักจะกินแห้วไม่ได้เห็นทะเลหมอกกับเขาสักที ครั้งนี้ก็เลยคิดว่าถ้าเราได้เห็นคงจะคุ้มค่าน่าดู เราเดินคุยกันมาเรื่อยๆจนถึงท้ายหมู่บ้านที่มีวัดสะเนพ่องตั้งอยู่โดยด้านหลังของวัดก็มีลำธารที่ชาวบ้านก็จะนิยมมาอาบน้ำกันมองดูแล้วก็รู้สึกว่าหมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านในจินตนาการเหมือนที่เราคิดไว้ในวัยเด็กจริงๆ มีลำธาร มีภูเขา มีวัดอยู่ท้ายหมู่บ้าน มีทางเล็กๆพอให้มอเตอร์ไซต์สวนกัน มีบ้านที่ตั้งอยู่ไม่ห่างกัน และก็ไม่ใกล้กันเกินไป บรรยายรายล้อมไปด้วยภูเขาทำเอาผมเริ่มตกหลุมรักที่นี่เข้าแล้วละสิ

 

บล็อกของ Storytellers

Storytellers
 เรื่องราวนี้เกิดขึ้นกับการเดินทางระหว่างฉันและเพื่อนๆกว่า 12 คน เราได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน 7 วัน 6 คืน ที่บ้านหัวเขาจีน ตำบลห้วยยางโทน อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี
Storytellers
เล่าประสบการณ์การไปเที่ยวแบบงงๆ เป็นอะไรที่ประทับใจมากค่ะ เรื่องราวคือการวางแผนเที่ยวหลังการทำโครงการที่มหาวิทยาลัยเสร็จจะไปเที่ยวทะเลก่อนอื่นต้องบอกเลยว่าเรียนที่กรุงเทพฯก็อยากจะไปไกลๆ ทะเลสวยๆ  แต่ค่ะสรุปลงตัวไปเกาะล้าน พัทยา เดินทางอย่างมากสัก 3ชั่วโมง วันที่ไปคือแปลกมาก ฟาดไป5ชั่วโมง จุด