Skip to main content

เรื่องที่จะนำมาเล่าสู่กันฟังเป็นกรณีที่เกี่ยวกับความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของผู้อื่นที่อาจมาเคาะประตูบ้านเราได้ทั้งที่เราก็อยู่เฉยๆในบ้านไม่ได้ออกไปทำอะไรเสี่ยงภัย  แต่กลับประสบภัยจากความประมาทเลินเล่ออย่างรายแรงของผู้อื่น  ลองไปฟังเคราะห์หามยามซวยของน้องคนหนึ่งที่หวังจะใช้กฎหมายเป็นที่พึ่งหลังจากครอบครัวเขาต้องประสบกับโชคร้ายกันครับ

“ครอบครัวของข้าพเจ้าได้มีการต่อเติมบ้านเพิ่มเพื่อรองรับสมาชิกใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นมานั้นคือ หลานของพี่ชายที่กำลังใกล้จะคลอดเพราะพี่สะใภ้ตั้งครรภ์ได้ประมาณ 6 เดือนแล้ว   จึงได้มีการปรับขยายห้องพักด้านล่างไว้เพื่อเลี้ยงหลานและให้นมในเวลากลางวัน และต่อขยายหน้าร้านด้านนอกเพื่อเปิดเป็นที่ขายเครื่องดื่ม น้ำชากาแฟ และขนมต่างๆด้านหน้าบ้านให้ร่มรื่นเพื่อหารายได้เสริมเล็กๆน้อยๆที่บ้าน เพราะพี่สะใภ้ต้องออกจากงานเดิมมาเลี้ยงลูกที่บ้าน จะได้มีอะไรทำร่วมกับครอบครัวข้าพเจ้าเพื่อให้มีรายได้เข้ามาเพิ่มอีกทางด้วย  ซึ่งร้านนี้ก็เป็นความฝันของฉันและพี่ชายเพราะเราสองคนมีหนังสือหนังหาและการ์ตูนสะสมไว้เป็นหมื่นเล่มจะได้เอามาเป็นจุดขายในร้านขายกาแฟของเรา และฉันจะได้ทำขนมกับแม่มาขายด้วยเพราะอุตส่าห์ไปเรียนมา

กลางดึกคืนหนึ่ง หลังจากเสร็จงานก่อสร้างเพิ่มเติมแล้ว พ่อของฉันก็เตรียมถอยรถกระบะออกมาเพื่อจะได้ไปส่งคนงานกลับที่พักในแคมป์คนงานนอกตัวเมืองเหมือนเช่นเคย โดยพ่อเอาออกจอดรถอยู่ริมถนนหน้าบ้านเพื่อให้คนงานล้างไม้ล้างมือก่อนจะขึ้นรถกลับกัน ขณะที่พ่อจอดไว้และลงไปหยิบข้าวของอุปกรณ์ก่อสร้างต่างๆขึ้นรถเพื่อเตรียมจะออกเดินทาง ก็ได้มีรถคันหนึ่งขับเข้ามาชนท้ายรถด้วยความแรงเสียงดังสนั่นหวั่นไหว จนข้าพเจ้าและแม่ตกใจมากต้องรีบวิ่งออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับใคร เนื่องจากได้ยินเสียงร้องโอดโอยของคนงานดังโหยหวนออกมาด้วย พอออกมาถึงหน้าบ้านจึงเห็นว่ารถคันนั้นเข้ามาอัดท้ายรถกระบะของพ่อจนคนงานหญิงคนหนึ่งบาดเจ็บอย่างหนัก ต้องรีบพากันไปโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน หลังจากผ่าตัดพบว่าพี่คนงานบาดเจ็บสาหัสจนต้องเสียขาไป ส่วนพ่อข้าพเจ้าก็ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเพราะไม่ได้ยืนอยู่ตรงจุดที่ระพุ่งเข้าปะทะ

โดยอาการของชายเจ้าของรถคันนั้นหลังขับรถชนแล้วก็ยังไม่ออกมาดูเหตุการณ์หรือช่วยเหลืออะไร ยังคงนั่งอยู่ในรถ พอเราเข้าไปดูก็พบว่ามีอาการเมาสุราอย่างมาก พ่อต้องพาคนงานไปโรงพยาบาลก่อนเลยให้แม่โทรเรียกตำรวจและให้พี่ชายอยู่รอตำรวจเพื่อจะได้แจ้งความและดำเนินการทางกฎหมายต่อ พอไปถึงโรงพักทางเราก็เล่ารายละเอียดและขอให้ตำรวจวัดความเมาของคนที่ขับมาชนด้วย ปรากฏว่าการวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดของชายคนดังกล่าวก็สูงมาก

แต่เราสืบมาภายหลังพบว่าชายคนนี้รู้จักกับตำรวจที่โรงพัก พ่อข้าพเจ้าบอกว่าเขาได้ติดสินบนตำรวจไว้ด้วย จนพ่อข้าพเจ้ารู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมเพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามจะให้จบคดีหรือไกล่เกลี่ยโดยผลักภาระมาให้ทางครอบครัวข้าพเจ้ารับผิดชอบ โดยบอกว่ารถของพ่อมาจอดขวางทางจราจรและคนงานก็เอาข้าวของมาวางกีดขวางถนน    กระทั่งหลังจากนั้นได้มีการฟ้องร้องกัน ทั้งทางแพ่งและอาญาจากการกระทำและความเสียหายที่ชายคนดังกล่าวได้ก่อขึ้น   เนื่องจากค่าใช้จ่ายจากความเสียหายทั้งหมดจากการซ่อมรถเสียไปถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท รวมถึงค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลคนงานด้วย ที่พ่อข้าพเจ้าต้องรับผิดชอบออกไปทั้งหมด โดยทางคู่กรณีเองไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายใดๆเลย เพียงแต่ศาลตัดสินเขาให้จำคุกเพียง 1 ปี

วิธีแก้ไขในตอนนั้นคือข้าพเจ้าฟ้องศาลในทางแพ่งและอาญา เพื่อเอาความผิดแก่ผู้กระทำ เรียกร้องให้ลงโทษ เพื่อให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายและค่ารักษาพยาบาล แต่จำเลยไม่ยอมชำระค่าเสียหาย แต่ยอมจำคุก 1 ปีเท่านั้นจากการเมาแล้วขับ เท่านั้น ซึ่งนับว่าไม่เป็นธรรมอย่างมาก

วิเคราะห์ปัญหา

1.             การขับรถชนคนจนได้รับบาดเจ็บและทำลายทรัพย์สินเสียหายมีความผิดทางกฎหมายหรือไม่

2.             การขับรถขณะมึนเมา ถือเป็นความผิดหรือไม่และใครประมาทกว่ากันเมื่อเทียบกับการจอดรถในถนน

3.             ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นใครต้องเป็นผู้รับผิดชอบ การฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายกระทำได้ด้วยกระบวนการใด

4.             หากต้องการทวงถามให้ผู้ก่อความเสียหายชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากกระทำของเขาต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง

5.             การติดสินบนต่อเจ้าพนักงานและการไม่ดำเนินคดีอย่างเป็นธรรมมีความผิดหรือไม่

การนำกฎหมายมาแก้ไข

1.             การขับรถชนคนจนได้รับบาดเจ็บและทำลายทรัพย์สินเสียหายมีความผิดทางอาญาฐานความผิดต่อร่างกายและมีเหตุรับโทษเพิ่มเพราะทำให้บาดเจ็บสาหัสเสียอวัยวะสำคัญ และฐานทำให้เสียทรัพย์   และถือเป็นการละเมิดในทางแพ่งฯซึ่งนำไปสู่ความรับผิดและชดเชยค่าสินไหมทดแทนด้วย

2.             การขับรถขณะมึนเมา ถือเป็นความผิดตามกฎหมายจราจรทางบก และในการพิสูจน์ทางละเมิดจะสันนิษฐานไว้ก่อนว่า คนเมาแล้วขับมีความประมาท แต่ในกรณีนี้จะมีกฎหมายจราจรฯ ที่ห้ามมิให้ใครกีดขวางทางจราจรไม่ว่าจะตัวคนหรือข้าวของ เมื่อเกิดอุบัติเหตุก็ต้องเอาเข้ามาพิจารณาประกอบด้วยว่าใครประมาทกว่ากัน ซึ่งเป็นดุลยพินิจของศาลจากการนำสืบของคู่กรณีสองฝ่าย

3.             ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นใครที่ศาลวินิจฉัยว่าประมาทกว่าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ การฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายกระทำได้ด้วยอาศัยกระบวนการฟ้องทางอาญาที่พิสูจน์ว่าใครผิดเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกันไปในคราวเดียวเลย โดยผู้ฟ้องสามารถขอให้ตำรวจและอัยการกำหนดค่าเสียหายไปให้ศาลพิจารณาได้เลย

4.             หากต้องการทวงถามให้ผู้ก่อความเสียหายชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากกระทำของเขาต้องรอคำพิพากษาของศาลให้ถึงที่สุดเพื่อนำคำพิพากษาไปบังคับชำระหนี้ โดยมีกรมบังคับคดีติดตามให้ผู้ก่อความเสียหายชำระหนี้ หากไม่มีอาจมีการยึดทรัพย์มาขายทอดตลาดเพื่อชดใช้ค่าเสียหาย

5.             อย่างไรก็ดีอาจต้องแก้ปัญหาเรื่องการติดสินบนต่อเจ้าพนักงานและการไม่ดำเนินคดีอย่างเป็นธรรมก่อนเพราะมีผลต่อการทำสำนวนให้พลิกไปเข้าทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยในคดีนี้สำนวนทำให้เห็นว่าการขับรถขณะมึนเมาเป็นความผิดจริง แต่การกีดขวางจราจรเป็นสาเหตุสำคัญกว่า  เพราะไม่มีการร้องเรียนเรื่องการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตของเจ้าพนักงานแต่ต้น

ช่องทางเรียกร้องสิทธิ

1.             คดีนี้สามารถเริ่มได้ด้วยการแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง หรือสถานีตำรวจในพื้นที่เกิดเหตุ  ถ้าตำรวจและอัยการสั่งไม่ฟ้อง ผู้เสียหายอาจแต่งทนายขึ้นฟ้องคดีต่อศาลเองก็ได้

2.             การฟ้องร้องจะเกิดขึ้นในศาลอาญาและเรียกค่าเสียหายทางแพ่งฯไปในคราวเดียวกันโดยไม่ต้องไปฟ้องซ้ำที่ศาลแพ่งฯอีก

3.             การติดตามให้ชำระหนี้อาจทวงถามเอง หรือรอคำพิพากษาเพื่อไปให้กรมบังคับคดีช่วยดำเนินการต่อไป

4.             การร้องเรียนเรื่องเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ต้องกล่าวโทษต่อผู้บังคับบัญชา สน. นั้น หรือร้องต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และขั้นเด็ดขาด คือ ร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.

สรุปแนวทางแก้ไข

ใช้หลักการทำให้เสียทรัพย์ทางอาญาและละเมิดในทางแพ่งซึ่งเกี่ยวเนื่องกัน ส่วนกระบวนการและการใช้อำนาจของเจ้าพนักงานตำรวจและศาลตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาการชี้ว่าผู้ใดผิดและต้องชดเชยความเสียหายต้องดูว่าผู้ใดประมาทกว่า ซึ่งกรณีนี้ผู้มึนเมาแอลกอฮอล์จะต้องถูกสันนิษฐานไว้ก่อนว่าประมาทเว้นแต่ข้างเราจะมีความประมาทกว่า   ส่วนเรื่องการติดสินบนต้องแจ้งต่อผู้บังคับบัญชา หรือ ปปช. ให้ดำเนินการ   หากไม่พอใจคำตัดสินของศาลอาจทำการอุทธรณ์ต่อไปเพื่อให้มีการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในทางแพ่งที่เกิดจากมูลละเมิด


 

 

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
Nick Srnicek ได้สรุปภาพรวมของแพลตฟอร์มดิจิทัลที่แตกต่างกัน 5 ประเภท คือ1.แพลตฟอร์มโฆษณา, 2.แพลตฟอร์มจัดเก็ยข้อมูล, 3.แพลตฟอร์มอุตสาหกรรม, 4.แพลตฟอร์มผลิตภัณฑ์, และ 5.แพลตฟอร์มแบบลีน 
ทศพล ทรรศนพรรณ
ผู้ประกอบการแพลตฟอร์มดิจิทัลมีรายได้และผลกำไรจำนวนมหาศาลจากการประมวลผลข้อมูลการใช้งานของผู้บริโภคในระบบของตน แต่ยังไม่มีระบบการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม    เนื่องจากยังมีข้อถกเถียงเรื่องใครเป็นเจ้าของข้อมูลและมีสิทธิแสวงหาผลประโยชน์จากข้อมูลเหล่านั้นบ้าง    จึงจ
ทศพล ทรรศนพรรณ
การบังคับใช้ พรบ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ที่ผลักดันออกมาในปี พ.ศ.
ทศพล ทรรศนพรรณ
แพลตฟอร์มมักเป็นระบบแบบเปิดให้ทุกคนมีส่วนร่วม ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่นำไปสู่ปัญหา จากการที่ทำให้การเข้าถึงข้ามเขตอํานาจ ในทางกลับกัน กลับมีการกําหนดให้หน่วยงานกํากับดูแลและผู้ออกกฎหมายต้องร่วมมือกันข้ามพรมแดนแห่งชาติเพื่อประสานระบอบกฎหมายและกฎระเบียบในขณะที่จัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นรวมถึงประเด็นกา
ทศพล ทรรศนพรรณ
การวิเคราะห์ปรับปรุงเกระบวนการระงับข้อพิพาทของบรรดาผู้บริโภคในแพลตฟอร์มต่าง ๆ ยืนยันว่าระบบสามารถใช้เพื่อทำการแก้ไขปัญหาให้แก่ผู้บริโภคจํานวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน่วยงานระงับข้อพิพาททางเลือก (Alternative Dispute Resolution - ADR) ที่ได้รับการรับรองจากสาธารณะให้เป็นมากกว่ากลไกการระงับข้อพิพาทใน
ทศพล ทรรศนพรรณ
การสร้างความเชื่อถือให้กับผู้บริโภคจึงเป็นผลดีต่อการเติบโตของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ และการตัดสินใจของผู้บริโภคที่จะทำธุรกรรมออนไลน์กับผู้ขายต่อไป ทำให้ประเทศต่าง ๆ  รวมถึงประเทศไทยให้ความสนใจและมุ่งให้เกิดการคุ้มครองอย่างจริงจังต่อปัญหาการละเมิดสิทธิในความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของผู
ทศพล ทรรศนพรรณ
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันทันใดที่ผู้คนจำนวนมากขาดความรู้ความเข้าใจต่อเทคโนโลยีที่มีผลกระทบต่อชีวิตโดยตรง รัฐในฐานะผู้คุ้มครองสิทธิประชาชนและยังต้องทำหน้าที่กระตุ้นความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจด้วย จึงมีภาระหนักในการสถาปนาความ “เชื่อมั่น” ให้เกิดขึ้นในใจประชาชนที่ลังเลต่อการเข้าร่วมสังฆกรรมใน
ทศพล ทรรศนพรรณ
โลกเสมือนจริงเป็นสื่อใหม่ในโลกยุคดิจิทัลที่แสดงด้วยภาพและเสียงสามมิติซึ่งผู้ใช้สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในโลกที่ถูกสร้างขึ้นเหล่านี้ ทำให้เกิดเป็นสังคม (Community) ภายในโลกเสมือนจริงที่ผู้คนสามารถติดต่อสื่อสารและมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันได้ แต่มิใช่เพียงการเข้าไปรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสเพียงเท่านั้น นอก
ทศพล ทรรศนพรรณ
การทำธุรกรรมบนอินเตอร์เน็ตมีแนวโน้มที่จะส่งเสริมการเข้าร่วมสัญญาอย่างรวดเร็วสะดวกลดอุปสรรค ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตก็ด้วยไม่ต้องการเดินทางหรือไม่ต้องมีตัวกลางในการประสานความร่วมมือหรือต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับผู้รับรองสถานะของสัญญาในลักษณะตัวกลางแบบที่ต้องทำในโลกจริง ที่อาจถูกกฎหมายบังคับให้ทำตามแบ
ทศพล ทรรศนพรรณ
โลกเสมือนจริง (Virtual World) คือสภาพแวดล้อมเสมือนซึ่งสร้างและปฏิบัติการด้วยซอฟต์แวร์ (Software) ที่อยู่ในเซิร์ฟเวอร์ (Server) ของเจ้าของแพลตฟอร์ม (Platform) สิ่งแวดล้อมเสมือนเหล่านี้ออกแบบมาให้ผู้เล่นหรือผู้ใช้โลกเสมือนจริงสามารถใช้ตัวตนเสมือนหรืออวตาร (Avatar) ในการท่องไปในโลกนั้น โดยสามารถติดต
ทศพล ทรรศนพรรณ
เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ในยุคดิจิทัลตั้งอยู่บนพื้นฐานของเสรีภาพในการแสดงออกบนโลกออนไลน์ โดยมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับประเด็นกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาเนื่องจากกฎหมายลิขสิทธิ์สามารถห้ามปรามการเผยแพร่ความคิดหรือการแสดงออกในงานสร้างสรรค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยอ้างเหตุแห่งการคุ้มครองสิทธิของปัจเจกชนอย
ทศพล ทรรศนพรรณ
ความเฟื่องฟูของเศรษฐกิจดิจิทัลที่สร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการจำนวนมหาศาลแต่นำมาซึ่งความกังขาว่า สังคมได้อะไรจากการเติบโตของบรรษัทขนาดใหญ่ผู้เป็นเจ้าของเทคโนโลยีและควบคุมแพลตฟอร์มเหล่านี้ อันเป็นที่มาของเรื่อง การจัดเก็บภาษีดิจิทัลได้กลายเป็นข้อกังวลที่สำคัญสำหรับหลาย ๆ รัฐบาล ในยุโรป เช่นใน เยอรมนี