Skip to main content

ปัญหาบางเรื่องมิได้เกิดจากการเดินเข้าไปพบปัญหา แต่บางครั้งปัญหาก็บุกมาถึงตัวเราด้วยปฏิบัติการเป็นหมู่คณะของบริษัทห้างร้านที่ทำธุรกิจร่วมกันไขว้โปรโมชั่นไปมา แล้วเอาข้อมูลของเรามาหาประโยชน์ทางการค้า ด้วยการติดต่อมาหาแล้วพูดจาหว่านล้อมสารพัดจนเราพลัดตกลงไปในหลุมพรางหรือบ่วงล่อบางอย่างจนทำให้เกิดการตัดสินใจที่ไม่ถี่ถ้วน แต่บริษัทล้วนแต่ใช้พนักงานทักษะสูงจูงใจให้เราตกลงปลงใจไปด้วยข้อเสนอที่น่าสนใจหรือบางครั้งก็กดดันใจเราจนไม่กล้าปฏิเสธ แต่ในบางครั้งเราก็บอกปัดไปแล้วแต่กลับไม่เป็นไปตามที่พูดกันจนชักนำปัญหาเข้ามาในชีวิตอย่างกรณีของพ่อน้องคนนี้ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้มีผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนผู้บริโภคในการทำธุรกรรมต่างๆ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจกันพอสมควร

“พ่อของหนูเป็นสมาชิกพิเศษของสายการบินยี่ห้อหนึ่งเนื่องจากพ่อทำงานที่ต้องเดินทางบ่อยจึงได้คะแนนสะสมเยอะมากจนได้เป็นสมาชิกขั้นสูงซึ่งดูเหมือนคนรวย เพราะหลังจากได้เป็นสมาชิกพิเศษนี้จะมีโปรโมชั่นสินค้าและบริการต่างๆ ส่งเอกสารโฆษณาเข้ามาเยอะแยะเลย บางทีหนูก็คิดว่าน่าจะใช้สิทธิพิเศษไปตามคำเชิญชวนบ้าง แต่ก็อย่างที่บอกว่า มันสำหรับคนมีเงินทั้งนั้น ที่บ้านเราไม่ได้รวยขนาดนั้นเพราะที่พ่อได้มาก็เพราะการทำงาน ไม่ใช่เงินของเราเอง ถึงขนาดมีสถาบันการเงินแห่งหนึ่งโทรมาเข้าเชิญชวนให้ทำบัตรเครดิตกับบริษัทโดยบอกว่าไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายใดๆทั้งนั้น ขอแค่ให้ตกลงเดี๋ยวทางบริษัทจะจัดส่งบัตรมาให้เองไม่ต้องไปดำเนินการใดๆที่สำนักงาน เพราะเขาสามารถเอาข้อมูลต่างๆ จากสายการบินได้ทันที หากไม่มีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตก็จะไม่มีค่าธรรมเนียมใดๆทั้งสิ้น

หลังจากนั้นบริษัทก็ได้ส่งบัตรเครดิตมาให้แต่พ่อก็ไม่ได้สนใจอะไรเนื่องจากไม่ได้ใช้บัตรเครดิตในการใช้จ่ายกันอยู่แล้ว เพราะค่อนข้างกังวลกับการใช้จ่ายเกินตัวและกลัวเรื่องข่าวการลักบัตรเครดิตไปใช้บ้าง รวมไปถึงข่าวต่างๆ ที่มีการขโมยรหัสไปใช้ทางมือถือหรืออินเตอร์เน็ตแบบที่เราเคยดูข่าวกันอีก จึงไม่ได้ใช้บริการทำนองนี้กันทั้งครอบครัว ต่อมามีบริษัทประกันโทรมาหาพ่อต่อรองว่าขอให้พ่อเพิ่มบริการประกันวงเงินโดยทางบริษัทจะเข้ามาดูแลวงเงินและจ่ายดอกเบี้ยต่างๆให้ พ่อก็บอกไปว่าไม่เอาเพราะไม่ได้ใช้บริการอะไรอยู่แล้ว หลังจากนั้นก็โทรมาใหม่และเชิญชวนให้ทำประกันชีวิตแต่พ่อก็ไม่ได้ตกลงเนื่องจากมีสวัสดิการของที่ทำงานกับประกันชีวิตที่ทำไว้นานแล้ว อีกไม่นานก็มีพนักงานประกันสุขภาพโทรเข้ามาชักชวนว่าน่าจะเพิ่มประกันเข้าไปจะได้มีคนดูแลในช่วงที่ไม่สบายทำงานไม่ได้ หรือเพิ่มคุณภาพการรักษาให้หรูหราและดีขึ้นไปอีก ซึ่งพ่อเริ่มไม่พอใจจงปฏิเสธอย่างหงุดหงิดไปแล้วบอกว่าอย่าโทรมาอีก

พอครบหนึ่งปีที่อายุบนบัตรระบุไว้ ทางบริษัทบัตรเครดิตก็ได้ส่งจดหมายแจ้งเรื่องบัตรหมดอายุมาแล้วเตือนว่าควรจะติดต่อขยายอายุบัตรต่อไปเพราะนี่เป็นบัตรพิเศษที่พ่วงกับสมาชิกสายการบินจะมีสิทธิพิเศษและโปรโมชั่นมากมายตามมา แต่พ่อก็บอกไปว่าไม่เอาแล้วเนื่องจากมีบริษัทห้างร้านโดยเฉพาะบริษัทประกันโทรเข้ามาทำให้รำคาญใจในหลายๆครั้ง จึงตัดสินใจจบความสัมพันธ์ทั้งหลายไว้เพียงเท่านี้ แต่แล้ววันหนึ่งก็มีจดหมายแจ้งค่าชำระบริการจำนวนเจ็ดพันกว่าบาท เป็นค่าบริการประกันวงเงินประกันที่ค้างชำระสิบสองเดือน จึงโทรไปสอบถามทางบริษัทบัตรเครดิต พบว่าเป็นค่าใช้จ่ายจากการที่บริษัทประกันที่เคยโทรมาให้ทำประกัน แต่พ่อของหนูยังไม่ได้ตอบตกลงใดๆกับบริษัทประกันเลย และยังไม่เคยได้รับกรมธรรม์ใดๆด้วย

ทางบริษัทบัตรเครดิตไม่รับผิดชอบใดโดยบอกปัดให้ไปคุยกับทางบริษัทประกันภัยเอง ส่วนทางบริษัทประกันภัยบอกว่าจะยกเลิกสัญญาประกันไม่ได้จนกว่าจะได้ชำระเบี้ยประกันให้ครบสิบสองเดือนก่อน ซึ่งพวกเราคิดว่าไม่เป็นธรรมมากเนื่องจากเราไม่เคยตอบตกลงใดๆเลย เอกสารอะไรก็ไม่เคยเซ็น ตัวแทนก็ไม่เคยเจอหน้า เอกสารสัญญาหรือกรมธรรม์อะไรก็ไม่มี จะมาผูกมัดกันอย่างนี้ได้อย่างไร แม้เงินจะไม่ได้มากมายอะไร แต่มาหากินกันด้วยการโกงง่ายๆแบบนี้ รับไม่ได้ จึงเข้ามาปรึกษากับพี่เพื่อหาทางออกต่อไป” ใช่ครับเรื่องนี้เกิดขึ้นบ่อยมากในช่วงหลังและก็เกี่ยวข้องกับคดีผู้บริโภคด้วย แต่ในเบื้องต้นที่ต้องคิดก่อนคือ สัญญาเกิดขึ้นและผูกมัดแล้วหรือไม่ จึงค่อยดูต่อว่าจะแก้ไขปัญหาต่อไปอย่างไร

วิเคราะห์ปัญหา
1. การทำสัญญาโดยเราไม่ตกลงจะมีผลบังคับหรือไม่ ใครจะต้องชดใช้จำนวนเงินที่เกิดจากค่าใช้จ่ายในวงเงินนั้น
2. หากมีผู้ตัดสินใจใช้วงเงินในบัตรเครดิตของเราไปใช้จ่ายโดยที่เราไม่อนุญาต จะเป็นความผิดตามกฎหมายหรือไม่
3. หากเกิดความเสียหายเกี่ยวกับบัตรเครดิต ใครเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการกับผู้ที่ทำธุรกรรมเกี่ยวเนื่องกับบัตรโดยไม่ได้รับอนุญาต
4. ประชาชนผู้เป็นเจ้าของบัตรร้องดำเนินการอย่างไรเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น
5. การนำข้อมูลของลูกค้าจากบริษัทหนึ่งไปให้อีกบริษัทหนึ่งใช้หาประโยชน์ทางธุรกิจมีความผิดทางกฎหมายหรือไม่

การนำกฎหมายมาแก้ไข
1. ผู้ที่ทำสัญญาขึ้นตามอำเภอใจไร้ความสมัครใจของคู่สัญญา เจ้าของบัตรที่ถูกบังคับโดยไม่ได้ยินยอมไม่ต้องชดใช้จำนวนเงินที่เกิดจากค่าใช้จ่ายในวงเงินนั้นรวมถึงดอกเบี้ยใดๆทั้งสิ้น
2. หากมีคนนำวงเงินในบัตรเครดิตของเราไปใช้จ่ายโดยที่เราไม่อนุญาต จะเป็นความผิดตามกฎหมายเนื่องจากมิได้เกิดจากความยินยอม และต้องรับผิดทางอาญาจากการกระทำโดยทุจริตนั้นด้วย ซึ่งหมายรวมทั้งบริษัทประกันและบริษัทบัตรเครดิต
3. หากเกิดความเสียหายเกี่ยวกับบัตรเครดิต สถาบันการเงินผู้ออกบัตรเครดิตเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการติดตามผู้ที่นำวงเงินในบัตรไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต และเหตุการณ์เกิดกับบริษัทประกันไหนก็ต้องให้ความร่วมมือด้วยเช่นกัน
4. ประชาชนผู้เป็นเจ้าของบัตรร้องดำเนินการปิดบัตรและวงเงินทันที และแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากไม่ได้รับการดูแลที่ดีพอจากเจ้าของบัตรหรือห้างร้านก็อาจร้อง สคบ. ได้เพิ่มเติมอีกด้วย หรืออยู่เฉยๆ ให้บริษัทประกันฟ้องแล้วค่อยไปปฏิเสธในชั้นศาลก็ได้ เพราะอีกฝ่ายไม่เคยมอบคู่สัญญาหรือกรมธรรม์ให้แต่อย่างใด จึงบังคับกันไม่ได้
5. ประชาชนผู้เสียหายมีสิทธิเรียกร้องต่อบริษัทสายการบินที่เอาข้อมูลส่วนตัวไปเปิดเผยให้กับผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต จนทำให้เกิดความเสียหายตามมา แต่ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายเรื่องการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโดยตรงจึงอาจดำเนินการยาก เนื่องจากต้องใช้หลักละเมิดตามกฎหมายแพ่งเพื่อพิสูจน์ความเสียหายและผู้เสียหายมีหน้าที่นำสืบแทน

ช่องทางเรียกร้องสิทธิ
1. เมื่อเกิดเหตุการณ์ให้ติดต่อสถาบันผู้ออกบัตรทันที
2. แจ้งความดำเนินคดีกับบริษัทประกันและบริษัทบัตรเครดิตผู้นำวงเงินบัตรไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตที่สถานีตำรวจใกล้บ้านหรือเจ้าของพื้นที่เกิดเหตุ
3. หากสถาบันการเงินหรือบริษัทประกันไม่ให้การดูแลอาจร้องเรียน สคบ.ในพื้นที่ หรือสคบ.กลางมาดูควบคุมแลหรืออกกฎมาเพิ่มเติมได้ เช่นเดียวกับเรื่องใช้ข้อมูลส่วนตัวโดยพลการก็แจ้งต่อ สคบ.
4. หากยังหาข้อยุติไม่ได้อาจฟ้องคดีอาญาผ่านเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อเอาผิดและยกเลิกสัญญาทั้งหลาย หรือรอให้บริษัทฟ้องคดีในศาลแพ่งฯ แล้วรอต่อสู้คดีเพื่อยกเลิกสัญญาที่มิชอบ

สรุปแนวทางแก้ไขปัญหา
ใช้หลักนิติกรรมสัญญาเรื่องความสมัครใจในการเข้าทำสัญญา การใช้สิทธิต้องกระทำโดยสุจริต และการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งกรณีนี้เป็นการบังคับและก่อสัญญาที่คู่สัญญาไม่สมัครใจเข้าผูกพันผลของสัญญาไม่สมบูรณ์สามารถบอกล้างได้ และให้ฟื้นฟูกลับสู่สภาพก่อนเกิดนิติกรรม โดยอาจใช้หลักละเมิดทางแพ่งฯกับการละเมิดสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลด้วย อาจฟ้องคดีอาญา หรือรอสู้คดีในศาลแพ่งฯ เพื่อให้ดำเนินการเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคต่อบริษัทบัตรเครดิตในการร่วมกระทำการกับบริษัทประกันภัยเพิ่มเติม

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
ผู้พิทักษ์สิทธิมนุษยชน (Human Rights Defender – “นักปกป้องสิทธิมนุษยชน” คือ คำแปลทางการของรัฐไทย) ที่องค์การสหประชาชาติได้ให้นิยามไว้นั้นหมายถึง "บุคคลผู้ดำเนินการโดยลำพังหรือร่วมกับบุคคลอื่น กระทำการเพื่อส่งเสริมหรือคุ้ครองสิทธิมนุษยชน"
ทศพล ทรรศนพรรณ
เกษตรกรรมถือเป็นวิถีการผลิตที่อยู่ควบคู่กับชีวิตคนไทยจำนวนไม่น้อยมาเป็นเวลานาน   แต่ในปัจจุบันนี้การผลิตในวิถีทางเดิมได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างที่คนในสังคมไทยมิได้ตระหนักรู้    ความคิดและจินตนาการเดิมเกี่ยวกับเกษตรกรรมที่มีทุ่งนาสีเขียว ชาวนารวมตัวกันลงแขกเกี่ยวข้าว หรือทำการผ
ทศพล ทรรศนพรรณ
การใช้กำลังเข้าประหัตประหารกันของมนุษย์ปรากฏอยู่อย่างต่อเนื่องยาวนานควบคู่กับทุกสังคม   แต่ก็มีหลายอารยธรรมพยายามสร้างขอบเขตและแนวทางในการควบคุมความเสียหายของการใช้กำลังมิให้กระทบกระเทือนชีวิตผู้คน ทรัพย์สิน และสังคม มากเกินกว่าจะธำรงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ไว้ได้
ทศพล ทรรศนพรรณ
การรวมกลุ่มประเทศในระดับภูมิภาคเพื่อสร้างนโยบาย หรือกฎหมายร่วมกันของรัฐสมาชิก ตั้งอยู่บนหลักความสมัครใจเข้าร่วมของรัฐ โดยส่วนใหญ่ยึดถือเจตจำนงของรัฐเป็นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด   เนื่องจากรัฐทั้งหลายที่เข้ารวมกลุ่มนั้นย่อมีความหวังที่จะบรรลุเป้าหมายความเจริญก้าวหน้า และประโยชน์ของรัฐตนเป็นท
ทศพล ทรรศนพรรณ
7.เสรีภาพในการแสดงออก การสอดส่องของรัฐ และการควบคุมเนื้อหา  
ทศพล ทรรศนพรรณ
แรงงานสร้างสรรค์ในบทความนี้ที่จะพูดถึง คือ ผู้คนที่ทำงานในอุตสาหกรรมภาคสร้างสรรค์ เช่น คนทำสื่อสาระ บันเทิง ละคร นักเขียน ไปจนถึง นักแปล ดารา นักแสดง ศิลปิน ที่กลายเป็นอาชีพที่ปัญญาชน หรือผู้มีการศึกษายึดเป็นวิถีทางในการประกอบสัมมาอาชีพ หารายได้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัว กันเป็นจำนวนมาก
ทศพล ทรรศนพรรณ
การประกวดความงามในช่วงหลังได้กลายเป็นเวทีแสดงพลังของความงดงามที่หลากหลาย และใช้ประเด็นการสร้างความเข้มแข็งให้สตรีเป็นแกนหลักส่งเสริมความงาม “อย่างมีคุณค่า”
ทศพล ทรรศนพรรณ
ระบอบการกำกับโลกไซเบอร์และตัวแบบในการกำกับดูแลพื้นที่ไซเบอร์
ทศพล ทรรศนพรรณ
4.ความเป็นส่วนตัวในการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล       
ทศพล ทรรศนพรรณ
Internet Communication            ปัจจุบันเทคโนโลยีถือเป็นตัวกำหนดภูมิทัศน์ทางสังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรม ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ถือเป็นความท้าทายในสังคมยุดิจิทัลซึ่งผู้ให้บริการในโลกธุรกิจต้องเผชิญ เ
ทศพล ทรรศนพรรณ
มาตรการรัดเข็มขัด (Austerity) หรือ นโยบายที่มีแนวโน้มปรับลดค่าใช้จ่ายภาครัฐหรือเพิ่มการจัดเก็บภาษีควบคู่ไปด้วย  แนวทางนี้เป็นสิ่งที่ถูกโจมตีโดยนักคิดนักวิเคราะห์สายส่งเสริมสวัสดิการสังคมและพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนมาอย่างต่อเนื่องเพราะการตัดลดงบประมาณหมายถึงการลดคุณภาพและปริมาณสวัสดิการสังคมที