Skip to main content

อย่างที่เราเคยได้ยินกันว่า “คนที่ตายแล้วก็สบายไป ที่เหลือไว้คือลูกหลานที่แย่งชิงมรดก” หากไม่มีการวางแผนและจัดการปัญหาไว้ล่วงหน้า ก็อาจมีปัญหาในครอบครัวตามมาหากว่าความรักไม่อาจเอาชนะความโลภได้ แต่ในบางครั้งก็มิใช่เพียงกิเลสเท่านั้นที่ทำให้เกิดเรื่องเนื่องจากยังมีความยุ่งยากภายในครอบครัวตามมาอีกมากมาย เพราะความสัมพันธ์ของคนในช่วงชีวิตหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำอะไรให้ชัดเจนและง่ายดายเหมือนอย่างที่คนอื่นคาดหวัง   เราไปฟังเรื่องต่อไปนี้เพื่อวางแผนให้ดีก่อนจะถึงวันที่สายไปกันครับ  

ผมเป็นลูกของภรรยานอกสมรส เนื่องจากพ่อของผมพาเราสองคนแม่ลูกเข้ามาอยู่กับครอบครัวใหญ่ หลังจากได้ร้างรากับภรรยาเก่าที่อยู่อีกจังหวัดหนึ่ง เนื่องจากมีปัญหากันและห่างไกลกันหลังจากพ่อต้องย้ายกลับมาทำมาหากินที่บ้านเกิด  พ่อกับภรรยาเก่านั้นได้สมรสกันตั้งแต่ตอนที่พ่อยังหนุ่มๆและเข้าไปทำงานในกรุงเทพฯ ก่อนจะมีปัญหากับครอบครัวนั้นรวมถึงปัญหาธุรกิจ ทำให้พ่อย้ายกลับมาทำธุรกิจที่บ้านเกิดแล้วเจอกับแม่และมีผมออกมา โดยเป็นที่รับรู้กันในหมู่ญาติพี่น้องข้างพ่อ และบ้านโน้นก็รู้ดีแต่ไม่ได้มีปัญหาอะไรในช่วงที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ เพราะพ่อก็ยังส่งเงินไปช่วยเหลือทางครอบครัวนู้นอยู่เป็นประจำ

เมื่อพ่อของผมเสียชีวิตลง ทางภรรยาหลวงของพ่อได้มาบอกว่าจะไม่ให้ทรัพย์สินใดกับทางผมและแม่เลย นับเป็นการเอาเปรียบในสิทธิผมมาก เพราะพ่อและแม่ผม อยู่ด้วยกันตลอดในช่วงหลายปีหลัง ทำมาหากินร่วมกันมารวมถึงเงินที่ส่งไปให้ทางบ้านนู้นใช้และทรัพย์สินทั้งหลายที่หามาได้ในช่วงหลังก็เป็นน้ำพักน้ำแรงที่แม่ผมมีส่วนหามาด้วย   แต่ว่าพ่อผมไม่ได้ทำเรื่องหย่าขาดจากบ้านนั้นทำให้เขาอ้างว่าทรัพย์สินที่ได้มาเป็นของเขาแน่ๆ เนื่องจากยังมีทะเบียนสมรสกันจนวันสิ้นชีวิตของพ่อ   ทั้งที่ก่อนพ่อผมเสียได้มีการแบ่งมรดกทรัพย์สินกับทางผมมากกว่า  ทำให้เราคิดว่านี่อาจเป็นชนวนเหตุให้อีกฝ่ายไม่พอใจและทำเรื่องตั้งผู้จัดการมรดกขึ้นมาและบอกว่าผมไม่มีสิทธิรับมรดก เพราะพ่อผมไม่ได้เขียนพินัยกรรมไว้เป็นลายลักษณ์อักษร

                แม่ผมได้ปรึกษาทนายความและตกลงกับทางญาติข้างพ่อซึ่งรับรู้เรื่องราวต่างๆ ก่อนพ่อเสียโดยขอให้กลุ่มคนที่ได้ยินพ่อผมพูดมาช่วยให้การต่อศาลว่าผมมีสิทธิที่จะได้ทรัพย์สินของพ่อที่ได้บอกก่อนเสียชีวิต กระทั่งทนายความได้ดำเนินการจนสำเร็จและผมได้รับส่วนแบ่งมรดก และได้เสียเงินค่าว่าจ้างทนายที่คิดว่ามากเกินความจำเป็น แต่แม่ผมคิดว่าสมเหตุสมผล เนื่องจากดีกว่าไม่เหลืออะไรเลย

หลังจากนั้นแม่ผมได้ย้ายออกจากครอบครัวเดิม และแม่ก็ไม่มีสิทธิ์ในมรดกของตระกูลใหญ่ของพ่อ  เนื่องจากได้แต่งงานใหม่และใช้นามสกุลของคู่สมรสใหม่แล้ว   แต่เมื่อปู่ของผมเสียชีวิต แม่จึงได้เข้ามาเป็นตัวแทนผม เพื่อแบ่งมรดกกับลุงตามที่ปู่เคยบอกกล่าวไว้   เนื่องจากพ่อพาแม่และผมเข้ามาอยู่กับครอบครัวตั้งแต่ผมเด็กและปู่ก็ดูแลผมมาตั้งแต่ยังแบเบาะ เอ็นดูผมมาก เนื่องจากเป็นหลานเล็กคนเดียวที่อยู่กับปู่ในช่วงบั้นปลายชีวิต   หลังจากปู่เสียชีวิตแม่จึงเข้ามาเรียกร้องสิทธิให้ผมโดยให้เหตุผลว่าผมผู้เป็นหลานแท้ๆของปู่มีสิทธิ์ในมรดกดังกล่าว โดยปู่ได้บอกว่าบ้านและที่ดินที่อาศัยอยู่ในปัจจุบันจะยกให้กับผมผู้เป็นหลาน แต่ตอนนี้ตกเป็นของคุณลุงซึ่งเข้ามาอยู่อาศัยอยู่ โดยลุงได้กลายเป็นเป็นผู้จัดการมรดกไปแล้วหลังจากปู่เสีย เพราะได้ให้ทนายไปทำเรื่องตั้งผู้จัดการมรดกให้ตั้งแต่ปู่เสียชีวิตใหม่ๆ

หลังจากนั้นแม่ได้นัดเข้าพูดคุยกับคุณลุงเพื่อตกลงเรื่องการแบ่งมรดกให้เป็นไปตามความตั้งใจของคุณปู่   เมื่อพูดคุยเจรจาแล้วผลปรากฏว่าคุณลุงบอกจะโอนมรดกให้แก่ผม   แต่อ้างว่ากฎหมายจะให้คนรับมรดกก็ต่อเมื่ออายุครบ 20 ปีที่ถือว่าบรรลุนิติภาวะแล้วเท่านั้น แต่ขณะนั้นผมอายุ 18 ปี ยังไม่บรรลุนิติภาวะ จึงยังรับมรดกไม่ได้   ผมก็แม่ก็รู้สึกว่ามันแปลกมากที่ต้องรอให้บรรลุนิติภาวะก่อนจึงจะรับมรดกได้ เลยเข้ามาสอบถามว่าจะต้องรออย่างที่ลุงบอกหรือไม่ เพราะตอนที่พ่อเสียก่อนหน้านั้น ผมและแม่ก็ยังได้แบ่งมรดกได้เลย และทำอย่างไรจึงจะได้มรดกมาตามที่คุณปู่เคยกล่าวไว้”

เหตุการณ์ของน้องคนนี้มีสองช่วงแต่มีประเด็นปัญหาร่วมกันอยู่ คือ มิได้มีการทำสัญญาลายลักษณ์อักษรของเจ้ามรดก ทำให้มีความยุ่งยากในการวิเคราะห์ปัญหาและการแบ่งมรดกให้เป็นไปตามเจตนาของเจ้ามรดกก่อนเสียชีวิต ดังนั้นจึงวิเคราะห์ประเด็นผลบังคับของมรดกรวบไปในคราวเดียวกัน แต่ในประเด็นปลีกย่อยจะได้แยกวิเคราะห์ให้เข้าใจถึงรายละเอียดของแต่ละประเด็น

วิเคราะห์ปัญหา

1.             หากเจ้ามรดกไม่ได้ทำพินัยกรรมลายลักษณ์อักษรไว้ก่อนเสียชีวิต จะต้องแบ่งมรดกกันอย่างไร สามารถนำคำบอกกล่าวหรือการพูดปากเปล่ามาเป็นพินัยกรรมในการแบ่งมรดกได้หรือไม่

2.             ลูกนอกสมรสถือเป็นบุตรของบิดาหรือไม่ มีสิทธิได้รับมรดกของบิดาหรือไม่

3.             ลูกนอกสมรสถือเป็นหลานของปู่หรือไม่ มีสิทธิได้รับมรดกของปู่รึเปล่า

4.             การรับมรดกจะต้องมีอายุครบ 20 ปี เพื่อบรรลุภาวะก่อนจะรับมรดกได้หรือไม่

5.             การจัดการมรดกนั้นเป็นอำนาจของผู้จัดการมรดกหรือไม่ แล้วจะต้องจัดการอย่างไร

การนำกฎหมายมาแก้ไข

1.             หากเจ้ามรดกไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ก่อนเสียชีวิต จะต้องแบ่งมรดกกันตามกฎหมายซึ่งกำหนดสัดส่วนไว้   แต่ในกรณีทั้งสองสามารถนำคำบอกกล่าวหรือการพูดปากเปล่ามาเป็นพินัยกรรมปากเปล่าในการแบ่งทรัพย์สินได้ โดยมีการนำสืบพยานที่รับรู้การแสดงเจตนาของเจ้ามรดกได้

2.             ลูกนอกสมรสถือเป็นบุตรของบิดาได้จากการรับรองบุตรของบิดาไม่เกี่ยวกับการจดทะเบียนสมรส แม้ไม่เคยรับรองบุตรก็อาจใช้วิธีทางนิติวิทยาศาสตร์ได้  บุตรนอกสมรสมีสิทธิได้รับมรดกของพ่อ  และในกรณีนี้อาจอ้างพยานในพินัยกรรมปากเปล่าได้เพิ่มเติมอีกด้วย

3.             ลูกนอกสมรสถือเป็นหลานของปู่ได้จากการรับรองบุตรของบิดาไม่เกี่ยวกับการจดทะเบียนสมรส แม้ไม่เคยรับรองบุตรก็อาจใช้วิธีทางนิติวิทยาศาสตร์ได้ หลานมีสิทธิได้รับมรดกของปู่ และในกรณีนี้อาจอ้างพยานในพินัยกรรมปากเปล่าได้เพิ่มเติมอีกด้วย

4.             การรับมรดกสามารถทำได้ตั้งแต่มีสภาพบุคคล คือ ตั้งแต่เกิด ไม่ต้องรอให้บรรลุภาวะก่อนจะรับมรดก การรับสิทธิสามารถกระทำได้ทันที

5.             การจัดการมรดกนั้นเป็นอำนาจของผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล แล้วผู้จัดการจะต้องจัดการมรดกตามพินัยกรรมอย่างเคร่งครัด เพราะหากฝ่าฝืนจะมีความผิดทางกฎหมายและเสียสิทธิในมรดกด้วย ส่วนการจ้างและตกลงว่าจ้างทนายเป็นเรื่องความสมัครใจแต่อยู่ในกรอบมารยาททนายความ

ช่องทางเรียกร้องสิทธิ

1.             โดยทั่วไปคดีมรดกสามารถตั้งทนายหรือติดต่อด้วยตัวเองในการฟ้องเรียกร้องสิทธิในศาลแพ่งฯ

2.             ปัจจุบันสำนักงานอัยการได้เข้ามารับดูแลคดีมรดก จึงอาจเข้าขอความช่วยเหลือในการจัดการจากสำนักงานอัยการประจำพื้นที่ของเจ้ามรดกได้

3.             หาไม่แล้วก็ติดต่อทนายความเพื่อจัดการกระบวนการทั้งหลายเพราะจะมีธุรกรรมต่างๆ ตามมาอีกจำนวนหนึ่ง เช่น การโอนอสังหาริมทรัพย์ที่สำนักงานที่ดินฯ เป็นต้น โดยค่าใช้จ่ายอยู่ที่ตกลงกัน

สรุปแนวทางแก้ไข

ส่วนแรกใช้หลักการแบ่งมรดกด้วยพินัยกรรมปากเปล่า การนำสืบพยาน และนิติกรรมสัญญากับทนาย   ซึ่งกรณีนี้เป็นพินัยกรรมปากเปล่าจึงสามารถนำญาติซึ่งไม่มีส่วนได้เสียกับมรดกส่วนของตนมานำสืบได้ เพื่อให้มีการแบ่งทรัพย์มรดกตามเจตจำนงของเจ้ามรดก   ส่วนเรื่องค่าทนายเป็นความสมัครใจระหว่างลูกความกับทนายตกลงกัน

ส่วนหลังใช้หลักการแบ่งมรดกด้วยพินัยกรรมปากเปล่า และการจัดการมรดกตามเจตนาของเจ้ามรดก และคุณสมบัติของผู้รับมรดก ซึ่งมรดกนี้ต้องแบ่งตามที่ปู่ผู้เป็นเจ้ามรดกแสดงเจตนาไว้ แม้ลุงจะเป็นผู้จัดการมรดกก็ต้องจัดการไปตามพินัยกรรม และต้องจัดการให้ทันทีเนื่องจากบุคคลสามารถรับมรดกได้ตั้งแต่เกิดไม่ต้องรออายุ หากไม่จัดการตามพินัยกรรมอาจฟ้องเพิกถอนลุงออกจากการเป็นผู้จัดการมรดก

 

 

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
Nick Srnicek ได้สรุปภาพรวมของแพลตฟอร์มดิจิทัลที่แตกต่างกัน 5 ประเภท คือ1.แพลตฟอร์มโฆษณา, 2.แพลตฟอร์มจัดเก็ยข้อมูล, 3.แพลตฟอร์มอุตสาหกรรม, 4.แพลตฟอร์มผลิตภัณฑ์, และ 5.แพลตฟอร์มแบบลีน 
ทศพล ทรรศนพรรณ
ผู้ประกอบการแพลตฟอร์มดิจิทัลมีรายได้และผลกำไรจำนวนมหาศาลจากการประมวลผลข้อมูลการใช้งานของผู้บริโภคในระบบของตน แต่ยังไม่มีระบบการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม    เนื่องจากยังมีข้อถกเถียงเรื่องใครเป็นเจ้าของข้อมูลและมีสิทธิแสวงหาผลประโยชน์จากข้อมูลเหล่านั้นบ้าง    จึงจ
ทศพล ทรรศนพรรณ
การบังคับใช้ พรบ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ที่ผลักดันออกมาในปี พ.ศ.
ทศพล ทรรศนพรรณ
แพลตฟอร์มมักเป็นระบบแบบเปิดให้ทุกคนมีส่วนร่วม ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่นำไปสู่ปัญหา จากการที่ทำให้การเข้าถึงข้ามเขตอํานาจ ในทางกลับกัน กลับมีการกําหนดให้หน่วยงานกํากับดูแลและผู้ออกกฎหมายต้องร่วมมือกันข้ามพรมแดนแห่งชาติเพื่อประสานระบอบกฎหมายและกฎระเบียบในขณะที่จัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นรวมถึงประเด็นกา
ทศพล ทรรศนพรรณ
การวิเคราะห์ปรับปรุงเกระบวนการระงับข้อพิพาทของบรรดาผู้บริโภคในแพลตฟอร์มต่าง ๆ ยืนยันว่าระบบสามารถใช้เพื่อทำการแก้ไขปัญหาให้แก่ผู้บริโภคจํานวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน่วยงานระงับข้อพิพาททางเลือก (Alternative Dispute Resolution - ADR) ที่ได้รับการรับรองจากสาธารณะให้เป็นมากกว่ากลไกการระงับข้อพิพาทใน
ทศพล ทรรศนพรรณ
การสร้างความเชื่อถือให้กับผู้บริโภคจึงเป็นผลดีต่อการเติบโตของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ และการตัดสินใจของผู้บริโภคที่จะทำธุรกรรมออนไลน์กับผู้ขายต่อไป ทำให้ประเทศต่าง ๆ  รวมถึงประเทศไทยให้ความสนใจและมุ่งให้เกิดการคุ้มครองอย่างจริงจังต่อปัญหาการละเมิดสิทธิในความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของผู
ทศพล ทรรศนพรรณ
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันทันใดที่ผู้คนจำนวนมากขาดความรู้ความเข้าใจต่อเทคโนโลยีที่มีผลกระทบต่อชีวิตโดยตรง รัฐในฐานะผู้คุ้มครองสิทธิประชาชนและยังต้องทำหน้าที่กระตุ้นความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจด้วย จึงมีภาระหนักในการสถาปนาความ “เชื่อมั่น” ให้เกิดขึ้นในใจประชาชนที่ลังเลต่อการเข้าร่วมสังฆกรรมใน
ทศพล ทรรศนพรรณ
โลกเสมือนจริงเป็นสื่อใหม่ในโลกยุคดิจิทัลที่แสดงด้วยภาพและเสียงสามมิติซึ่งผู้ใช้สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในโลกที่ถูกสร้างขึ้นเหล่านี้ ทำให้เกิดเป็นสังคม (Community) ภายในโลกเสมือนจริงที่ผู้คนสามารถติดต่อสื่อสารและมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันได้ แต่มิใช่เพียงการเข้าไปรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสเพียงเท่านั้น นอก
ทศพล ทรรศนพรรณ
การทำธุรกรรมบนอินเตอร์เน็ตมีแนวโน้มที่จะส่งเสริมการเข้าร่วมสัญญาอย่างรวดเร็วสะดวกลดอุปสรรค ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตก็ด้วยไม่ต้องการเดินทางหรือไม่ต้องมีตัวกลางในการประสานความร่วมมือหรือต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับผู้รับรองสถานะของสัญญาในลักษณะตัวกลางแบบที่ต้องทำในโลกจริง ที่อาจถูกกฎหมายบังคับให้ทำตามแบ
ทศพล ทรรศนพรรณ
โลกเสมือนจริง (Virtual World) คือสภาพแวดล้อมเสมือนซึ่งสร้างและปฏิบัติการด้วยซอฟต์แวร์ (Software) ที่อยู่ในเซิร์ฟเวอร์ (Server) ของเจ้าของแพลตฟอร์ม (Platform) สิ่งแวดล้อมเสมือนเหล่านี้ออกแบบมาให้ผู้เล่นหรือผู้ใช้โลกเสมือนจริงสามารถใช้ตัวตนเสมือนหรืออวตาร (Avatar) ในการท่องไปในโลกนั้น โดยสามารถติดต
ทศพล ทรรศนพรรณ
เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ในยุคดิจิทัลตั้งอยู่บนพื้นฐานของเสรีภาพในการแสดงออกบนโลกออนไลน์ โดยมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับประเด็นกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาเนื่องจากกฎหมายลิขสิทธิ์สามารถห้ามปรามการเผยแพร่ความคิดหรือการแสดงออกในงานสร้างสรรค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยอ้างเหตุแห่งการคุ้มครองสิทธิของปัจเจกชนอย
ทศพล ทรรศนพรรณ
ความเฟื่องฟูของเศรษฐกิจดิจิทัลที่สร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการจำนวนมหาศาลแต่นำมาซึ่งความกังขาว่า สังคมได้อะไรจากการเติบโตของบรรษัทขนาดใหญ่ผู้เป็นเจ้าของเทคโนโลยีและควบคุมแพลตฟอร์มเหล่านี้ อันเป็นที่มาของเรื่อง การจัดเก็บภาษีดิจิทัลได้กลายเป็นข้อกังวลที่สำคัญสำหรับหลาย ๆ รัฐบาล ในยุโรป เช่นใน เยอรมนี