Skip to main content

การเมืองประเด็นใหญ่ช่วงปลายปี 2016 ที่ชาวโลกจับตามองเห็นจะไม่พ้นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และการทยอยประกาศรางวัลโนเบลสาขาต่างๆ 

บ็อบ ดีแลน ได้โนเบล แต่ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ตำแหน่งประธานาธิบดี

นี่คือ 2 เรื่องที่ช็อคคนทั้งโลกไปไม่น้อย แม้กระทั่งเจ้าตัวเองยังตะลึงไม่หาย ดีแลนออกมาชี้แจงหลังเงียบไม่พูดอะไรหลังได้รางวัลถึง 2 สัปดาห์โดยบอกว่า ยังอึ้งและตั้งตัวไม่ทันว่าจะมีปฏิกิริยาเรื่องนี้อย่างไรในฐานะนักดนตรี มิใช่นักเขียนตามขนบการมอบรางวัลสาขาวรรณกรรม   ส่วนโดนัลด์ ทรัมป์ นอกจากการประกาศชื่อ ไมค์ เพนซ์ เป็นรองประธานาธิบดีแล้ว ก็ไม่ได้วางตัวใครในตำแหน่งรัฐมนตรี หรือคณะบริหารงาน เลย จนเพิ่งมีข่าวว่ามอบหมายให้ทีมลอบบี้ยิสต์ของบรรษัทชื่อดังสหรัฐให้หาคนมารับตำแหน่งต่างๆ หลังจากชนะเลือกตั้งแล้ว

สิ่งที่ต้องเข้าใจ คือ รางวัลที่ ทรัมป์ และ ดีแลน ได้รับต่างมีนัยยะทางการเมืองทั้งคู่ กล่าวคือ แน่นอนว่าทรัมป์ได้ชนะทางการเมืองจากคะแนนเสียงพลเมืองอเมริกัน แบบการเลือกตั้งโดยมหาชน   แต่การมอบรางวัลโนเบลให้ดีแลน เป็นการเมืองของชนชั้นนำในยุโรปที่เลือกคนและประเด็นว่าจะให้ใครเพื่อสะท้อน “ประเด็น” อะไร

บ็อบ ดีแลน เป็นนักคิดที่มีอิทธิพลทางการเมืองและการเคลื่อนไหวสังคมผ่าน “เนื้อเพลง” ที่สื่อสารผ่านท่วงทำนองดนตรีบอกเล่าถึงการต่อสู้ สันติภาพ และสภาพชีวิตพลเมืองอเมริกันและคนร่วมสมัย ในยุคที่เต็มไปด้วยความผันผวนทางการเมือง ทั้งการเมืองในประเทศสหรัฐอเมริกาเอง และการเมืองระหว่างประเทศ

คณะกรรมการโนเบลให้เหตุผลอย่างเป็นทางการที่ให้รางวัลว่า “เพื่อเป็นเกียรติแก่การรังสรรค์กวีนิพนธ์รูปแบบใหม่ที่แสดงออกทางผ่านขนบดนตรีอเมริกันอันยิ่งใหญ่”  แปลให้เข้าใจง่ายๆ คือ ดีแลน ใช้รูปดนตรีโพลค์คันทรี่ที่ใช้เครื่องดนตรีน้อยชิ้น ตามไสตลส์พื้นบ้านของอเมริกัน ที่สามารถแสดงที่ไหน เมื่อไหร่ ก็ได้เพราะใช้ทุนต่ำ แต่สอด “เนื้อหา” ผ่านคำร้องที่สะท้อนอารมณ์ความรู้สึกจับใจผู้คนจนกลายเป็นเพลงฮิต

บทเพลงของดีแลน กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการเรียกร้องสันติภาพ และความเป็นธรรมในสังคม ที่ผู้คนนำมาร้องต่อๆกันไปทั่วโลก  แถมเนื้อหาเหล่านั้นยังมีผู้นำมาใช้เป็นบทเพลงเพื่อสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างผู้คนที่มีความแตกต่างหลากหลายในสังคม นำมาสู่ความเข้าใจอันดี ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญที่รางวัลโนเบลตอกย้ำเสมอมา โดยเฉพาะเมื่อกล่าวถึงอีกรางวัลทางสังคม ก็คือ โนเบลสันติภาพ

บุคคลสำคัญที่ได้รางวัลโนเบลสันติภาพ ในสมัยที่ บ็อบ ดีแลน โลดแล่นผ่านเสียงเพลง คือ ดร.มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ผู้ถูกจารึกชื่อไว้เป็นตำนานแห่งสังคมอเมริกัน และขบวนการต่อต้านเหยียดเชื้อชาติสีผิวทั่วโลก  เป็นที่ทราบกันดีว่าในปี ค.ศ.1964 ที่ ดร.คิง ได้รับรางวัลจากยุโรป สหรัฐยังมีกฎหมายและนโยบายที่เอื้อให้มีการแบ่งแยกสีผิวในหลายพื้นที่ หลายประเด็นอยู่   ดังนั้นการให้รางวัลพลเมืองอเมริกันที่ต่อต้านนโยบายรัฐบาลสหรัฐ จึงเป็นเกมส์การเมืองผ่านรางวัลอย่างชัดเจน

การมอบรางวัลให้กับ “ใคร” เพื่อเป็นการสนับสนุน “ผลงาน” หรือ “การกระทำใด”  จึงเป็นสิ่งที่น่าจับตามองในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ  เช่นเดียวกับ สหประชาชาติมอบรางวัล “การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ให้กับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เป็นต้น  และ องค์การอนามัยโลกมอบรางวัลให้กับโครงการ “ประกันหลักสุขภาพถ้วนหน้า” เป็นต้น

สิ่งสำคัญที่เราต้องมาวิเคราะห์ คือ ทำไมคณะกรรมการจึงเลือกมอบรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมให้ ดีแลน ในปี ค.ศ. 2016 ปีที่มีวิกฤตสันติภาพในหลายพื้นที่ทั่วโลก (ระดับโลกน่าจะหนักที่สุดหลังสิ้นสุดสงครามเย็น ระดับประเทศสหรัฐก็ขัดแย้งมากนับจากยุคหลังสงครามเวียดนาม)   และกำลังจะมีเหตุการณ์หัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมืองคือเลือกตั้งประธานาธิบดี   ก็ต้องลองย้อนกลับไปดูการมอบรางวัลให้นักการเมืองอเมริกันอีกคนในช่วงก่อนหน้านี้ ก็คือ บารัค โอบาม่า

บารัค โอบาม่า ได้โนเบลสาขาสันติภาพในปี ค.ศ.2009 เพียงไม่ถึงปี หลังรับตำแหน่งประธานาธิบดี แทบจะเรียกได้ว่า ยังไม่ได้ทำอะไรให้ “โลก” เป็นชิ้นเป็นอันก็ได้รับรางวัลไปแล้ว    โนเบลให้เหตุผลว่า “เป็นเกียรติแก่ความอุตสาหะในการสร้างความเข้มแข็งของการทูตระหว่างประเทศ (ไม่ใช่การทหาร) และความร่วมมือระหว่างประชาชน (หลากหลายกลุ่ม)”   เราคงเข้าใจวัฒนธรรม “ปรบมือกดดัน” กันใช่ไหมครั่บ เวลาเราอยากเรียกร้องให้ใครขึ้นเวที หรือแสดงออก หรือทำอะไร แล้วใช้การชื่นชมยินดีด้วยการปรบมือให้เขา “ลงมือกระทำ” อย่างเสียมิได้

การเลือก บ็อบ ดีแลน มาเป็นตัวแทนแห่งการ “แสดงออกทางสุนทรียะเพื่อสันติภาพ” ท่ามกลางสงคราม “ผรุสวาท” ของผู้ลงสมัครเลือกตั้งทั้งสองของสหรัฐอเมริกา จึงเป็นการเมืองของการบอกแก่คนทั่วโลกว่า เราสามารถเลือกที่จะให้รางวัลกับ พลเมืองอเมริกันที่รังสรรค์สิ่งงดงามให้กับโลกได้ เพื่อเป็น “สาสน์ส่งความจริง” แบบที่ธำนุความดีงามในสังคมให้อยู่สืบต่อไปบนพื้นฐานแห่ง “สันติภาพ”

มิใช่การหลงไปกับดราม่าการหาเสียงเลือกตั้ง แบบเน้นความดุดัน เดือดดาล รุนแรง ตามวิถีแห่งการตลาดการเมืองเรื่องแข่งขันของธุรกิจโฆษณาอเมริกัน ที่โหดร้ายรุนแรงมุ่งเอาชนะคะคานกันจน ละเลยความหลากหลายและการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติ ของผู้คนจากหลายที่มาอย่างประเทศสหรัฐอเมริกาที่ได้อยู่ชื่อว่า “สร้างชาติจากผู้อพยพ”

นโยบายแข็งกร้าวจำนวนมาก ที่โดนัลด์ ทรัมป์ ใช้หาเสียงเพื่อเรียกคะแนนเลือกตั้งจากผู้คนที่เดือดดาลจากการสูญเสียงาน และสิ้นหวัง  ไม่ควรจะเป็นพลังเดียวในการกำหนดทิศทางโลก   ดังคำที่นักวิจารณ์การเมืองอัฟริกันอเมริกันท่านหนึ่งกล่าวว่า

“ผู้ปกครองควรดูแลบุตรหลานของท่านให้ดี เพราะสี่ปีต่อจากนี้จะต้องฟัง โดนัลด์ ทรัมป์ พูดผ่านสื่อทุกวัน”

 

 

ผู้เขียน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทศพล ทรรศนกุลพันธ์

 

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องนี้มีน้องคนหนึ่งนำเรื่องแปลกมากเล่าให้ฟัง เหตุการณ์ก็มีดังนี้ครับ
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องสุดท้ายของบริการด้านสื่อสารแล้วนะครับ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกบ้านแน่ๆ เพราะเดี๋ยวนี้เรามีอินเตอร์เน็ตใช้ที่บ้านกันแล้วแทบทุกหลังเพราะมันทำให้เราสามารถทำงานหรือพักผ่อนที่บ้านได้โดยไม่ต้องเดินทางออกไปนั่งทำงานที่อื่นหรือเสียเงินออกไปซื้อความบันเทิงนอกบ้าน   หนูก็ชอบดูซีรี่ส์แล
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องต่อมาผมคิดว่าหลายท่านคงเคยหงุดหงิดอารมณ์เสียกับรถที่ดันมาพังเอาตอนที่เรารีบเร่งจะต้องใช้งานใช่ไหมครับ ที่แย่ไปกว่านั้น คือ เราขับได้แต่ซ่อมไม่เป็นต้องเข็นไปเข้าอู่ซึ่งก็ไม่รู้ว่าที่ไหนดีไม่ดี มีฝีมือน่าเชื่อถือจริงรึเปล่า เพราะเราก็ไม่มีความรู้ด้านเครื่องยนต์กลไกและช่วงล่างใดๆทั้งสิ้น ผู้ชา
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องนี้หลายท่านอาจจะเคยเจอปัญหาเดียวกัน หรือเคยได้ยินตามข่าวคราวที่ออกมาหลายครั้งนะครับ เพราะว่าปัจจุบันศูนย์ออกกำลังกายหรือฟิตเนสเซ็นเตอร์เป็นที่นิยมมาก ก็เพราะเราอยากมีร่างกายแข็งแรง รูปร่างสวยงาม เปล่งปลั่งมาจากภายในแต่ไม่มีเวลาไปออกกำลังกายในที่โล่งแจ้งเพราะไม่ตรงกับเวลาว่าง ก็มักจะเข้าฟิตเ
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องยุ่งๆ เกิดจากการไม่ได้รับความเป็นธรรมตามเงื่อนไขการสมัครเป็นสมาชิกของบริษัทจำกัดแห่งหนึ่ง ซึ่งได้เข้ามาชักชวนคนในพื้นที่ให้เข้าร่วมทำสัญญาประกันชีวิตแต่ไม่ได้ทำตามเงื่อนไขของสัญญาที่มาเล่าปากเปล่าและมีการปิดบังซ่อนเร้น เพิ่มเติมเงื่อนไขบางอย่าง เมื่อผู้เอาประกันตาย ญาติ ลูกหลานไปร้องขอรับปร
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องที่จะนำมาเล่าสู่กันฟังเป็นกรณีที่เกี่ยวกับความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของผู้อื่นที่อาจมาเคาะประตูบ้านเราได้ทั้งที่เราก็อยู่เฉยๆในบ้านไม่ได้ออกไปทำอะไรเสี่ยงภัย  แต่กลับประสบภัยจากความประมาทเลินเล่ออย่างรายแรงของผู้อื่น  ลองไปฟังเคราะห์หามยามซวยของน้องคนหนึ่งที่หวังจะใช้กฎหมายเป็น
ทศพล ทรรศนพรรณ
ป้าคนหนึ่งเข้ามาปรึกษาว่าไปโรงพยาบาลรัฐแถวบ้านซึ่งตนมีชื่อเป็นคนใช้สิทธิบัตรทองอยู่ที่นั่น แต่ด้วยความที่ป้าได้รับบัตรมานานมากแล้ว และเมื่อสองปีก่อนได้มีการก่อสร้างและซ่อมบ้านทำให้ต้องโยกย้ายข้าวของออกจากบ้านก่อนจะกลับเข้าไปอยู่อีกครั้งเมื่อซ่อมแซมเสร็จ ทำให้บัตรที่เก็บไว้สูญหายไปเมื่อไหร่ก็ไม่ทร
ทศพล ทรรศนพรรณ
สิ่งที่ขับเคลื่อนโลก คือ เทคโนโลยี การทหาร การค้า และการแพร่ความคิด ความเชื่อ ศาสนา
ทศพล ทรรศนพรรณ
กฎหมาย เขียนด้วยคน บังคับด้วยคน และก็เป็นการควบคุมพฤติกรรมของคน   จึงมีคนสงสัยว่า แล้วอย่างนี้จะมีกฎหมายสิ่งแวดล้อมไปทำไมในเมื่อไปบังคับ ดิน ฟ้า อากาศ หรือน้ำ ไม่ได้  
ทศพล ทรรศนพรรณ
ตลอดหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ผมได้ใช้เวลาวนเวียนอยู่กับการทำวิจัยเกี่ยวกับกฎหมายมาโดยตลอด ตั้งแต่ตอนเขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาโท
ทศพล ทรรศนพรรณ
หลังจากคำทำนายในบทความ “รัฐเผด็จการ กับ การล้วงตับ” ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ (http://blogazine.in.th/blogs/streetlawyer/post/4833) จึงเป็นเวลาอันสมควรที่ประชาชนและสังคมไทยต้องร่วมกันต่อต้าน ชุดกฎหมายความมั่นคงโดยเฉพาะ พรบ.ความมั่นคงไซเบอร์ ที่มีเนื้อหาจำนวนมากขัดกับ หลักกฎหมายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ทศพล ทรรศนพรรณ
“ความซวยไม่เข้าใครออกใคร” รถหาย โดนเบี้ยวหนี้ ชนแล้วหนีไม่มีใครรับผิดชอบเด็กในท้อง ไปจนถึงเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่ถ้าลองได้เกิดขึ้นในหมู่คนรู้จัก ก็มักจบลงด้วยการตัดญาติขาดมิตร ไม่เผาผีกัน คงเป็นสิ่งที่ได้ยินไม่เว้นแต่ละวันใช่ไหม