Skip to main content

กระแสการนึกย้อนคืนวันแห่งความหลังเมื่อครั้งยังเยาว์วัยในช่วงปี ค.ศ.1990-1999 หรือ ปี พ.ศ.2533-2543 ของผู้คนร่วมสมัยในตอนนี้สะท้อนให้เห็นอะไรบ้าง

ภาวะนึกถึงอดีต (Nostalgia) มักแฝงไปด้วยความทรงจำร่วมที่คนในรุ่นราวเดียวกันเคยสัมผัสร่วมกัน จนกลายเป็นประวัติศาสตร์อันเป็นส่วนหนึ่งของความคิดและตัวตนของคนที่เคยผ่านช่วงนั้นมา

สำหรับคนรุ่นที่เกิดตั้งแต่ 2523 (Gen Y) ขึ้นไป ก็คงพอจำความหลังได้ว่าทศวรรษนั้นเริ่มต้นด้วยวลีฮิต “เปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้า” พร้อมกับภาวะเศรษฐกิจที่บูมสุดขีด หลายครอบครัวตั้งตัวกลายเป็นเจ้าสัวน้อยได้ก็ช่วงนี้ กิจการน้อยใหญ่พลอยได้รับอานิสงส์ ขยายกิจการออกไปอย่างก้าวกระโดด ของกินของใช้ หลากหลายยี่ห้อรอให้เลือกสรร หากจำได้รายการละครโทรทัศน์จำนวนไม่น้อยก็ยกกองถ่ายไปต่างประเทศ ทวีปยุโรปกลายเป็นฉากหลังของละครหลายเรื่อง   เช่นเดียวกับสินค้าแบรนด์เนมที่ถูกซื้อหามาประดับกายจนกลายเป็นสิ่งบ่งชี้สถานะของชนชั้นกลาง และเศรษฐีใหม่หลายคน  

จนคนไทยจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของโลกาภิวัฒน์ที่พัดพาเอาสินค้าและวัฒนธรรมข้ามพรมแดนเข้ามามากมาย  แต่สถานการณ์ในรัฐสภาจำได้ว่ามีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอย่างเผ็ดร้อน

แต่พอย่างเข้าต้นปี 2534 ก็เกิดการรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) โดยอ้างว่าเข้ามาเพื่อจัดการกับ “บุฟเฟ่ต์คาบิเน็ต” ที่มีข้อครหาเกี่ยวกับการคอรัปชั่นมากมาย แล้วผู้ก่อการก็เชิญ นายอานันท์ ปัญญารชุน เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี มีการประกาศอายัดทรัพย์ยึดทรัพย์ของเหล่าอดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลชาติชาย ชุณหะวัณ โดยให้หลักประกันว่าจะมีรัฐธรรมนูญใหม่และเลือกตั้งอย่างแน่นอน ก่อนจะจัดการเลือกตั้งใหญ่ในปี 2535 แล้วพรรคสามัคคีธรรมก็เข้าวิน 

แต่เรื่องราวยังไม่จบสิ้นเพราะหัวหน้าพรรคมีข่าวว่าติดแบล็คลิสต์ของสหรัฐอเมริกาว่าเกี่ยวข้องขบวนการค้ายาเสพย์ติด  เรื่องจริงเป็นอย่างไรแต่กลายเป็นไม่เหมาะสมจะดำรงตำแหน่งนายก แล้วใครจะมาเป็น?   ความกังวลของสังคมเริ่มเกิดว่าพรรคสามัคคีธรรมที่หลายคนคิดว่าเป็น นอมินีของคณะรัฐประหารจะดันนายทหารคนสำคัญ พล.อ.สุดจินดา คราประยูร ขึ้นเป็นนายกฯ แล้วก็กลายเป็นความจริง  จนสงคมและสมาชิกรัฐสภากังขา เพราะว่าท่านเคยให้สัตย์สัญญาว่าจะไม่สืบทอดอำนาจ มิได้รัฐประหารเพื่ออำนาจของพรรคพวกตนเอง

การเมืองไทยในรัฐสภาจึงระส่ำ มวลชนเริ่มหลั่งไหลลงสู่ท้องถนน พร้อมประโยคประจำที่ได้ยินได้ฟังไปทั่วทุกสื่อ คือ “บิ้กสุ ออกไป”  กระจายไปอย่างรวดเร็วเพราะ “ม็อบมือถือ” สื่อข้อมูลอัพเดตสถานการณ์กันได้ทันที   แม้ประชาชนจะไม่ได้เห็นภาพความตายและสูญเสียในสื่อกระแสหลักเพราะถูกควบคุมหลังประกาศกฎอัยการศึก แต่การสื่อสารข้ามพรมแดนก็เปิดโอกาสให้ใครที่มีจานดาวเทียมติดตามข่าวจากสถานีต่างชาติและอัดวิดีโอ ส่งต่อมาให้ได้ชมกันทั่วประเทศ หากมีเครื่องเล่นวิดีโอเทปอยู่ในครัวเรือน ซึ่งย้ำเตือนความทมิฬในเดือนพฤษภาคม 2535

สิ่งที่คอยเตือนใจคนไทยทั้งหลาย คือ อย่าได้ไว้วางใจผู้ที่ใช้กำลังยึดครองอำนาจ เพราะขาดความรับผิดชอบต่อผู้แทนฯ และประชาชน เมื่อเขาถึงตาจน ก็อาจขนกำลังพลเข้ามาบดขยี้ผู้ที่มีความเห็นต่างออกไป   ความเสียใจกลายเป็นฝังใจจนทำให้กระบวนการสร้างประชาธิปไตยเบ่งบานตระการตา หลังรัฐบาลขัดตาทัพอานันท์ 2 ประคองสถานการณ์จนมีการเลือกตั้งที่ได้นายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งคนแรก ชื่อ ชวน หลีกภัย ปลายปี 2535

ดูเหมือนว่าอะไรจะเข้าที่เข้าทางเพราะฐานความชอบธรรมจากการเลือกตั้งมีอยู่แต่จู่ๆ ก็เกิดกรณีแจก สปก. ให้คนรวยจดรัฐบาลมอดม้วยไปก่อนจะลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี เพราะมีการถอนตัวออกจากรัฐบาลโดยหัวหน้าพรรคที่จะเหลือเพียงแค่ตำนาน คือ พลังธรรม ภายใต้การนำของนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จจากการปล่อยดาวเทียมไทยดวงแรกสู่อวกาศ   ซึ่งร่ำรวยขึ้นมาจากสัมปทานโทรคมนาคม จึงต้องเกิดการเลือกตั้งอีกครั้งในปี 2538

ผู้ชนะการเลือกตั้งและเป็นนายกรัฐมนตรี คือ นายบรรหาร ศิลปะอาชา ผู้ต้องจบไปด้วยการยุบสภาเพราะหลายปัญหารุมเร้า เรื่องใหญ่ในช่วงรัฐบาลนี้ คือ การเริ่มกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญที่สภาร่างฯได้เสนอผลงานให้สังคมพิจารณาและเกิดกระแสริบบิ้นเขียวเรียกร้องให้สมาชิกรัฐสภารับรอง  แม้จะมีฝ่ายต่อต้านอยู่บ้าง แต่ก็ทานกระแสสังคมไม่ไหว ประเทศไทยจึงได้รัฐธรรมนูญจากกระบวนการที่ประชาชนมีส่วนร่วมในปี 2540

ผู้ชนะการเลือกตั้งครั้งต่อมาคือ นายชวลิต ยงใจยุทธ ในปี 2539 ซึ่งเผชิญกับวิกฤตทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศได้รับผลกระทบจนต้องจบไปก่อนครบหนึ่งปี แล้วมีรัฐบาลชวน 2 มารับช่วงต่อ ด้วยซุปเปอร์ดีลที่ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เสธ.หนั่น เข้าไปสลายพรรคและมุ้งในฝ่ายตรงข้าม ให้ย้ายฟากเข้ามาอยู่กับตนจนสำเร็จ

รัฐบาลชวน 2 ดำรงอยู่ท่ามกลางวิกฤตครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจการเมืองไทยเพราะต้องเจรจาเงื่อนไขทั้งหลายในการกู้เงินเพื่ออุดหนุนกองทุนสำรองระหว่างประเทศจาก IMF ซึ่งผลลัพธ์ได้กลายเป็นเงื่อนไขสำคัญทางการเมืองในภายหลัง คือ ชุดกฎหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจ หรือถูกกลุ่มการเมืองอีกฝ่ายว่าเป็น กฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ

เราจะเห็นได้ว่ายุค 90s มีเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองมากมายที่ได้ดึงความสนใจคนไทยทั้งประเทศ แต่สิ่งหนึ่งที่อยู่ในใจคนไทย โดยเฉพาะการเมืองส่วนใหญ่ คือ
“การรัฐประหารครั้งสุดท้าย”
ซึ่งกลายเป็นเพียง “ความเชื่อ” มิใช่ “ความจริง

 

ผู้เขียน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
 

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
การนำ คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 205/2549 มาตราเป็นพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร  โดยแฝงนัยยะของการสร้าง “รัฐทหาร” ด้วยการขยับขยายขอบเขตอำนาจแก่เจ้าหน้าที่ กอ. รมน.
ทศพล ทรรศนพรรณ
หลังสิ้นสุดยุคสมัยสงครามเย็น หนึ่งในมรดกตกทอดจากยุคนั้น ได้แก่ หน่วยงานความมั่นคงของรัฐไทยที่มีอำนาจหน้าที่อย่างเข้มข้นในการเฝ้าระวัง สอดส่อง ควบคุมการสื่อสารและการกระทำต่าง ๆ ของประชาชนที่ผู้มีอำนาจเห็นว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง และส่งผลเสียต่อการยืนหยัดสู้เพื่ออุดมการณ์ทางการเมืองช่วงนั้น อาทิ กอง
ทศพล ทรรศนพรรณ
คนไร้บ้านจัดเป็นกลุ่มที่เสี่ยงที่จะถูกละเมิดสิทธิและด้อยโอกาสในการเข้าถึงบริการสาธารณะ สวัสดิการ และหลักประกันด้านต่าง ๆ ด้วยเหตุที่เป็นกลุ่มซึ่งต้องปะทะโดยตรงกับการพัฒนาเมืองอย่างไม่ยั่งยืนทั้งที่สาเหตุของการออกมาอยู่ในพื้นที่สาธารณะนั้นเกี่ยวข้องกับความเหลื่อมล้ำทางสังคมอันเป็นผลลัพธ์ของนโยบายส
ทศพล ทรรศนพรรณ
คนไร้บ้านตกอยู่ในสถานะของกลุ่มเสี่ยงที่อาจต้องเผชิญจากการเหยียดหยามศักดิ์ความเป็นมนุษย์โดยตรงจากการละเมิด และยังอาจไม่ได้รับการดูและแก้ไขปัญหาเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ยุ่งยากต่าง ๆ เพราะถูกจัดให้อยู่ในสถานะต่ำต้อยเสี่ยงต่อการเลือกประติบัติจากรัฐ จนไปถึงการเพิกเฉย ละเลย ไม่ใส่จะแก้ปัญหาให้คนไร้บ้
ทศพล ทรรศนพรรณ
คนไร้บ้านเป็นเสียงที่ไม่ถูกนับ การใช้พลังในลักษณะกลุ่มก้อนทางการเมืองเพื่อเรียกร้องประโยชน์จากผู้มีอำนาจให้จัดสรรทรัพยากรให้จึงเป็นเรื่องยาก ด้วยสาเหตุหลัก 2 ประการ คือ
ทศพล ทรรศนพรรณ
การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของคนไร้บ้านจำเป็นต้องยืนอยู่บนฐานของกฎหมายที่ประกันสิทธิของบุคคลโดยมิคำนึงถึงความแตกต่างหลากหลายทางสถานภาพใด ๆ แม้คนไร้บ้านจะเป็นปัจเจกชน หรือกลุ่มคนที่มีปริมาณน้อยเพียงไร รัฐก็มีพันธกรณีในการเคารพ ปกป้อง และส่งเสริมสิทธิให้กลุ่มเสี่ยงนี้โดยเหตุแห่งความเป็นสิทธิมนุษยชนที่ร
ทศพล ทรรศนพรรณ
หากต้องกำหนดยุทธศาสตร์ของประเทศไทยในการเข้าร่วมตลาดดิจิทัลที่มีเข้มข้นของกิจกรรมข้ามพรมแดนตลอดเวลา เพื่อแก้ไขปัญหาศักยภาพของรัฐในการบังคับใช้กฎหมายขยายไปเหนือหลักเขตอำนาจศาลเหนือดินแดนของตนแบบเก่า เมื่อต้องกำกับกิจกรรมของบรรษัทข้ามชาติที่อยู่ในการบังคับของกฎหมายรัฐอื่นซึ่งมีบรรทัดฐานในหลายประเด็น
ทศพล ทรรศนพรรณ
การวิเคราะห์กฎหมายไทยที่เกี่ยวข้องกับลักษณะความสัมพันธ์ของนิติบุคคลเจ้าของแพลตฟอร์มที่มักเป็นบรรษัทข้ามชาติกับรัฐ จะกระทำใน 3 ประเด็นหลัก คือ ใครเป็นเจ้าของข้อมูล ใครมีสิทธิใช้ประโยชน์จากข้อมูลมากน้อยอย่างไร หรือแบ่งปันกันอย่างไร อันเป็นการเตรียมความพร้อมของกฎหมายในการรองรับปรากฏการณ์การใช้ข้อมูล
ทศพล ทรรศนพรรณ
บทความนี้จะทำการรวบรวมข้อเสนอทางกฎหมายในระดับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับลักษณะความสัมพันธ์ของนิติบุคคลเจ้าของแพลตฟอร์มที่มักเป็นบรรษัทข้ามชาติ กับรัฐและองค์การระหว่างประเทศ อันเป็นการเตรียมความพร้อมของกฎหมายในการรองรับปรากฏการณ์การใช้ข้อมูลจากแพลตฟอร์มดิจิทัล ว่าสามารถบริหารจัดการให
ทศพล ทรรศนพรรณ
บทความนี้จะทำการทบทวนข้อกฎหมายทั้งในระดับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับลักษณะความสัมพันธ์ของนิติบุคคลเจ้าของแพลตฟอร์มที่มักเป็นบรรษัทข้ามชาติ เรื่อยมาจนถึงสำรวจความพร้อมของกฎหมายในการรองรับปรากฏการณ์การใช้ข้อมูลจากแพลตฟอร์มดิจิทัล ว่าสามารถบริหารจัดการให้เกิดการแบ่งปันข้อมูลดิจิทัลระหว
ทศพล ทรรศนพรรณ
ประเด็นพื้นฐานที่รัฐต้องคิด คือ จะส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเพื่อสะสมความมั่งคั่งได้อย่างไร แล้วจึงจะไปสู่แนวทางในการแบ่งปันความมั่งคั่งให้กับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการผลิตข้อมูลขึ้นมาในแพลตฟอร์ม
ทศพล ทรรศนพรรณ
Kean Birch นำเสนอปัญหาของข้อมูลส่วนบุคคลในฐานะสินค้าของตลาดนวัตกรรมเทคโนโลยีจำนวน 5 ประเด็น คือ1.ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของแพลตฟอร์มในฐานะเจ้าของข้อมูลทึ่ถูกรวบรวมโดยนวัตกรรม,