Skip to main content

หลังกลับมาจากเมืองริมแม่น้ำในครั้งนั้น ไม่นานผมก็เดินทางมาเมืองริมแม่น้ำอีกครั้งพร้อมกับความทรงจำเมื่อ ๒ เดือนก่อน...

ความทรงจำเมื่อ ๒ เดือนก่อนเกิดขึ้นบนแม่น้ำสายนี้ ผมจำได้ว่าช่วงนั้นเป็นฤดูฝน น้ำปริ่มฝั่งหมุนวนน่ากลัว ผมได้พบชายชราอีกครั้งหลังจากไม่ได้พบกันนาน ชายชรานั่งอยู่บนเรืออีกลำหนึ่ง ซึ่งวิ่งสวนทางกับเรือที่ผมโดยสารมา เมือเรือวิ่งสวนทางก็ได้ยินเสียงทักทายของคนขับเรือทั้งสอง แม้ว่าจะฟังสำเนียงการสนทนาไม่รู้เรื่องทั้งหมด แต่ก็พอจับใจความได้ว่าคนขับเรือทั้งสองคุยกันเรื่องอะไร บนนาวาชีวิตกลางสายน้ำของชะตากรรม คงไม่แปลกอะไรหากคนสองคนผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกันจะรู้จักและสนิทชิดเชื้อกัน

ในวันนั้นผมบันทึกภาพชายชราเอาไว้อีกครั้ง พอกลับมาจากเมืองริมฝั่งน้ำ หลังว่างเว้นจากงาน ในคืนวันหนึ่ง ผมก็เอาภาพนั้นออกมาดู หลังจากดูเสร็จ ความรู้สึกข้างหลังภาพก็พาผมเดินทางหมุนวนกลับไปสู่เรื่องราวต่างๆ ...

เพื่อนบางคนเคยบอกผมว่า ภาพหนึ่งภาพสามารถบอกอะไรเราได้หลายอย่าง ยิ่งเป็นภาพที่ถ่ายในระยะเวลาแตกต่างกัน ภาพที่ได้ออกมาจึงเป็นความรู้สึกแตกต่างกันไป ผมเองก็เชื่อเช่นนั้น เพราะหลังจากดูภาพของชายชราเสร็จ ผมก็หวนคิดถึงคำพูดบางคำของพี่คนหนึ่ง พี่คนนั้นบอกกับผมว่า “ชายชราแกเป็นคนเก่ง เรื่องปลา เรื่องน้ำแกรู้หมด เพราะแกหากินกับน้ำมานาน”

และก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่ผมจะไม่เชื่อตามนั้น เพราะเมื่อผมได้พูดคุยกับชายชราในตอนสายของวันหนึ่ง ผมก็พบว่า คำกล่าวของพี่คนนั้นไม่ได้เกินเลย และต่อจากนี้ ผมขอนำเอาเรื่องราวเสี้ยวหนึ่งแห่งชีวิตของชายชรามาให้ทุกคนได้พิสูจน์ความจริงว่า ชายชราเป็นอย่างพี่คนนั้นเล่าให้ผมฟังหรือไม่

ช่วงต้นฤดูฝน สายน้ำเชี่ยวกรากได้พัดท่อนไม้ขนาดใหญ่ให้ไหลมากับสายน้ำ แน่ละเรื่องราวที่ผมสนใจไม่ใช่ความเชี่ยวกรากของสายน้ำ แต่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชายชรา และเรือลำเล็กต่างหาก

ผมได้พบกับชายชราครั้งแรกตรงท่าเรือใต้ร่มจามจุรีหลังวัด หลังจากเรือกับคนหาปลาเดินทางกลับเข้าสู่ฝั่ง การพบกันครั้งแรกดูขันเขินเหลือทน คำทักทายแต่ละคำที่กลั่นออกมา ช่างยากเย็นแสนเข็นเสียเต็มประดา เพราะผมตระหนักรู้ว่า การเดินทางไปสู่อาณาจักรของใครโดยเจ้าของอาณาจักรไม่ได้เชื้อเชิญ มันดูเป็นเรื่องขัดเขิน และลำบากใจที่เจ้าของอาณาจักรจะต้อนรับแขกแปลกหน้าของเขา

“พ่อเฒ่า วันนี้หาปลาได้เยอะไหม?” ผมจำได้ว่านั่นเป็นคำพูดแรกที่เอ่ยกับชายชรา

ดูเหมือนว่าคำถามนี้มันเป็นคำถามที่ผมคิดได้ในเวลานั้น เพราะถ้าถามคนหาปลาที่กำลังกลับจากหาปลาด้วยคำถามอย่างอื่นคงไม่เหมาะสมนัก

“ได้สัก ๓-๔ กิโลนี่แหล่ะ”
“ได้ปลาอะไรบ้าง”
“ปลากด ปลาเพี้ย”

ขณะพูดคุยกันอยู่ ชายชราก็สาละวนเก็บของบนเรือมีทั้งที่นอน เสื้อผ้า และกล่องโฟมสีขาว หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจบนเรือเรียบร้อย เรือก็ถูกผูกโยงเข้ากับต้นไม้ริมน้ำ เมื่อผูกเรือเสร็จ ชายชราก็หันมาปลดเครื่องยนต์ออกจากเรือ บนเรือตอนนี้ไม่มีเครื่องยนต์ แต่หากใครคิดจะขโมยเรือทางเดียวที่จะเอาเรือออกไปได้ต้องพายออกไปเท่านั้น แต่ก็นั้นแหละคนที่จะเอาเรือไม่มีเครื่องยนต์ออกสู่แม่น้ำได้ต้องเป็นมืออาชีพที่รู้จักทางน้ำเป็นอย่างดี หากจะเรียกขโมยที่ขโมยเรือลำนี้ไปได้ว่า มืออาชีพก็คงไม่เป็นการกล่าวเกินเลย

เมื่อปลดเครื่องยนต์ตรงด้านท้ายเรือเรียบร้อย ชายชราก็ยกเครื่องยนต์เรือขึ้นใส่บ่าและแบกเครื่องยนต์เรือขึ้นมาใส่รถเข็นที่จอดซุกไว้ในป่ากล้วยข้างวัด

“เครื่องเรือนี้ถ้าไม่เอาขึ้นมา พรุ่งนี้อาจไม่เหลือ”
ชายชราพูดกับผม ขณะเดินไปหารถเข็น คำพูดของชายชราไม่ได้เกิดขึ้นมาจากข้อสันนิษฐานลอยๆ  และไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการเหมารวมเอาว่าคนอื่นเป็นขโมย แต่การที่ชายชราต้องเอาเครื่องยนต์เรือขึ้นจากน้ำ มันมีที่มาที่ไป

“เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งเอาเรือออกไปหาปลา ตอนนั้นมันแดดร้อน เหนื่อยก็เลยเอาเรือจอดไว้ริมฝั่ง แล้วขึ้นไปนอนใต้ร่มไม้ เผลอหลับไป พอตื่นขึ้นมา เครื่องเรือหาย รู้เลยว่ามีคนขโมยไป พอเครื่องเรือโดนขโมยเราก็ตามสืบ ตอนนั้นคิดจะเอาเรื่องเอาราวอยู่ แต่พอคิดไปคิดมาก็ไม่ได้เอาเรื่องเอาราว ตอนสืบหาเครื่องเรือ ก็อาศัยถามจากพรรคพวกหาปลาด้วยกัน เพราะคนหาปลามันจะรู้ว่าเรือใครใช้เครื่องอะไร เครื่องใหม่เครื่องเก่า เพราะอย่างน้อยเรือเราขนาดกี่ศอก เราน่าจะใช้เครื่องประมาณกี่แรงม้า เรื่องแบบนี้คนหาปลาเขาจะรู้กัน ตอนสืบหาเครื่องยนต์เรือ เราสืบไปสืบมาก็รู้ว่าใครเอาไป พอเรารู้ เราก็ได้แต่คิดว่า เขายืมไปใช้ ถ้าเขามีเป็นของตัวเองเขาคงเอามาคืน เราก็คิดแค่นั้น แต่คนที่ขโมยไปตอนนี้มันตายแล้ว มันตายก่อนเราอีก”

เมื่อชายชราพูดถึงเรื่องนี้ ผมสังเกตเห็นดวงตาของชายชราหม่นเศร้าลงเล็กน้อย ชายชราบอกกับผมเพิ่มเติมว่า  “เรามันคนกันเองแท้ๆ ไม่น่าจะทำกันอย่างนี้“

แม้ว่าเรื่องเครื่องยนต์เรือหายมันจะเกิดนานแล้วก็ตาม แต่ชายชราก็จดจำเรื่องราวในครั้งนั้นได้ดี เหมือนที่พูดมาตั้งแต่ตอนต้นว่า ถ้าเรือไม่มีเครื่องยนต์ก็ป่วยการที่มันจะวิ่งไปไหนมาไหนได้ เพราะสายน้ำไหลแรง เรือไม่ติดเครื่องยนต์คงไม่อาจต้านทานกระแสน้ำตอนทวนน้ำได้ แม้ว่าคนพายเรือจะแข็งแรงเพียงใดก็ตามสำหรับชายชราเครื่องยนต์เรือก็สำคัญพอๆ กับเรือ เพราะถ้าเรือไม่มีเครื่องยนต์ เรือก็ไม่สามารถออกหาปลาได้ และถ้ามีแต่เครื่องยนต์ เรือไม่มีก็ออกหาปลาไม่ได้เหมือนกัน

หลังจัดการกับสัมภาระทุกอย่างขึ้นบนรถเข็นเรียบร้อย ก่อนจะเข็นรถกลับสู่บ้าน ชายชราได้เล่าให้ผมฟังเพิ่มเติมว่า
“สมัยเด็กๆ ตอนเย็นนี่ลงเล่นน้ำสนุกสนาน ยิ่งลงเล่นทุกวันก็ยิ่งคุ้นเคย เราลูกแม่น้ำต้องว่ายน้ำเก่ง สมัยก่อนเห็นผู้ใหญ่เขาหาปลาได้เยอะเราก็อยากหาบ้าง แต่ตอนนั้นเป็นเด็กพ่อไม่ให้กลัวเราตกน้ำ กว่าจะได้หาปลาจริงก็ตอนเป็นหนุ่ม”
“แล้วพ่อเฒ่าหาปลาตอนแรกอายุกี่ปี”
“ถ้าเป็นช่วงหนุ่มๆ ก็ ๑๓-๑๔ แต่ตอนนั้นเราไม่กล้าออกน้ำใหญ่ ก็หาปลาตามห้วย ตามนา แต่ถ้าออกไปหาปลาน้ำใหญ่จริงนี่ ช่วงอายุ ๒๔ ตอนนั้นออกหาปลาในแม่น้ำเลย ก็อาศัยให้คนหาปลาคนอื่นสอนก่อน หลังจากนั้นเราก็หาคนเดียว เพราะน้ำนี่มันไม่เหมือนกัน มันเปลี่ยนตลอดที่วางเบ็ดมันก็เปลี่ยนตลอด ช่วงหาปลาใหม่ๆ เราเรียนรู้ทุกอย่าง”

หากพินิจคำพูดของชายชราแล้ว สายน้ำก็เป็นบทเรียนบทหนึ่งของโรงเรียนนอกระบบที่คอยสอนให้ผู้คนริมฝั่งทุกผู้ทุกนามได้เรียนรู้บทเรียนแตกต่างกันออกไป

ผมจำได้ว่า ในวันนั้นเราพูดคุยกันอีกหลายเรื่อง ทุกเรื่องล้วนตื่นเต้นสำหรับผม แต่ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นกว่าปกติก็เมื่อรู้จากชายชราว่า คนหาปลาที่หาปลาเป็นอาชีพเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการหาปลามีเรื่องราวสลับซับซ้อนพอสมควร อย่างน้อยคนหาปลาที่มีเรือก็ต้องรู้เรื่องเรือ เรื่องเครื่องยนต์ เรื่องทิศทางน้ำ ฤดูน้ำขึ้น-น้ำลง ฤดูวางไข่ของปลา ฤดูอพยพของปลา เพราะสิ่งเหล่านี้มันล้วนสำคัญกับคนหาปลาเสมอ และมันเป็นตัวชี้วัดด้วยว่าถ้ารู้เรื่องเหล่านี้ก็จะหาปลาได้

ในยามที่ชายชรากลับคืนสู่บ้าน วันนี้แกไม่ได้เข็นรถเข็นกลับบ้านเพียงลำพัง แต่ล้อรถเข็นเคลื่อนที่ไปได้ด้วยแรงของคนสองคนคือ ชายชรากับภรรยาของแก วัยของคนทั้งสองไม่ได้แตกต่างกันมากนัก สำหรับผมแล้วผู้เฒ่าทั้งสองคนเป็นเพื่อนคู่คิดกันในยามแก่เฒ่าได้ดีทีเดียว

รถเข็นเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยแรงคนอย่างไร แน่ละชีวิตคนบางครั้งก็มุ่งไปข้างหน้าด้วยแรงคนเช่นเดียวกัน...

ตลอดสองข้างทางที่รถเข็นผ่าน ชายชรามักจะได้รับคำถามไถ่จากคนรู้จักอยู่ตลอดเวลา มีบ้างบางครั้งรถเข็นจะหยุดข้างทาง เพื่อให้คนเข็นได้พักเหนื่อย และยกแก้วเหล้าน้ำใสเหมือนตาตั๊กแตน อันเป็นน้ำมิตรไมตรีจากข้างทางที่หยิบยื่นมาให้ขึ้นดื่ม

และบ่อยครั้งเช่นกันที่ชายชรากลับบ้านพร้อมกับปลาหลายกิโลกรัม แต่ปลามักเหลือกลับมาถึงบ้านเป็นส่วนน้อย เพราะถูกขายหมดระหว่างทาง วันนี้ก็เช่นกัน ปลาสะโม้หนัก ๒ กิโลกรัมตัวหนึ่ง ชายชราบอกขายกิโลละ ๒๐๐ บาท แม้ว่ามันจะแพง แต่ก็มีคนแย่งกันซื้อหลายคน บางครั้งปลาที่ได้มาก็ไม่พอขาย แต่บางครั้งปลาได้มามากพอขายก็ไม่ขาย ในช่วงที่ปลามีน้อย แต่คนต้องการมีมาก ราคาปลาก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย แต่ก็อย่างที่กล่าวแล้ว ในบางฤดู โดยเฉพาะในฤดูแล้ง ปลาจะมีราคาแพง เพราะหายาก ราคาปลาคนหาปลาจึงเป็นผู้ตั้งราคาเอง บ้างครั้งความเหมาะสมของราคาปลาหนึ่งตัวจึงหาจุดลงตัวยาก แม้ว่าในบางวันราคาปลาอาจแพงขึ้นมาบ้าง แต่คนซื้อปลาก็ไม่เคยบ่น เพียงแต่ต่อรองราคาขอลดกันนิดหน่อยก็ขายให้กันได้ แม้ปลาจะมีราคาแพง แต่ปลาก็จะถูกขายให้กับลูกค้าประจำที่คุ้นเคยกันเป็นคนแรกๆ อยู่เสมอ...

“พ่อเฒ่ามีคนบอกว่าปลาน้ำโขงมันอร่อยจริงหรือเปล่า”
“จริง ปลาน้ำโขงมันอร่อย เพราะน้ำมันเย็น น้ำมันกว้าง ปลามันว่ายไปไหนก็ได้ พอปลาว่ายไปไหนก็ได้ ร่างกายมันก็แข็งแรง ปลามันได้ออกกำลังกาย เนื้อปลาก็เลยแน่น เวลาเอามาทำอาหารมันก็อร่อย ปลาบางชนิดบางฤดูก็ไม่ค่อยอร่อย อย่างปลาเพี้ยนี่ถ้าเป็นหน้าน้ำขุ่นเอามาลาบจะอร่อย แต่ถ้าเป็นฤดูอื่นเอามาลาบก็ไม่ค่อยอร่อย เรามันคนลูกน้ำโขงต้องกินปลาน้ำโขง แต่ถ้าปลามันมีน้อยแบบนี้ ปลาอะไรก็อร่อยหมดแหล่ะ”

พอพูดมาถึงตรงนี้ชายชราก็หัวเราะออกมาเบาๆ
แม้จะเป็นเวลาน้อยนิดที่ได้พูดคุยกันในวันนั้น ผมก็ปักใจเชื่อเรื่องที่ชายชราเล่าให้ฟังเสียสนิทใจ...

แสงแดดของวันลับปลายวิหารของวัดไปแล้ว สายน้ำเงียบงันลงอีกครั้ง เพราะคนหาปลาได้นำเรือที่ลอยลำหาปลาอยู่บนแม่น้ำเดินทางกลับเข้าฝั่ง เวลาในการหาปลาของคนหาปลาหลายคนในวันนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว

ในฤดูฝนการหาปลาจะมีเวลาสั้น เพราะในแต่ละวัน คนหาปลาคาดเดาไม่ได้ว่าวันไหนฝนจะตก และถ้าในวันไหนแม้ไม่มีสายฝนโปรยปราย แต่ท้องฟ้ามืดครึ้มคนหาปลาก็จะไม่ออกเรือหาปลาเช่นกัน เพราะการหาปลาท่ามกลางพายุฝนบนสายน้ำเชี่ยวเป็นเรื่องเสี่ยงอันตรายไม่ใช่น้อย ดังนั้นแล้วเมื่อเป็นลมเป็นฝนหรือฝนตก คนหาปลาจึงไม่ออกเรือหาปลา

ฤดูแล้งจะเป็นช่วงหาปลาได้ยาวนาน และมีผลผลิตมากกว่าฤดูอื่น ยิ่งถ้าเป็นช่วงมีการจับปลาบึก ในเวลากลางคืนก็มีคนหาปลาออกเรือหาปลาอยู่ แต่การจับปลาบึกก็มีช่วงระยะเวลาสั้นๆ คือช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคมของทุกปีเท่านั้น...

บล็อกของ สุมาตร ภูลายยาว

สุมาตร ภูลายยาว
ปีที่ผ่านมา เหนือสายน้ำเชี่ยวกรากสายหนึ่ง ความทรงจำเกี่ยวกับแม่น้ำได้พาให้เดินทางไปสู่ห้วงยามหนึ่งของชีวิต ห้วงยามที่ทำให้ต้องจดจำไม่เคยลืม เพราะใครบ้างจะลืมประสบการณ์เฉียดตายของตัวเองได้ ในความทรงจำนั้น ภาพแม่น้ำแห่งบ้านเกิดผุดพรายขึ้นมา คล้ายภาพขาวดำหม่นมัวที่พาผมเดินทางกลับไปสู่ดินแดนแห่งความหวาดกลัวอันกว้างใหญ่ไพศาล ด้วยเรือคือความหวั่นไหว...ใช่แล้ว ตอนหัดว่ายน้ำครั้งแรก ผมเกือบจมน้ำตาย เหตุการณ์ครั้งนั้นสอนให้รู้ว่า ความรู้สึกของคนใกล้ขาดใจตายเป็นอย่างไร นี่คือภาพความทรงจำในอดีต แต่ภาพความทรงจำครั้งใหม่ได้เกิดขึ้น หลังจากผมเดินทางมาถึงเมืองริมฝั่งน้ำเหนือสุดในล้านนาเรื่องมีอยู่ว่า...…
สุมาตร ภูลายยาว
“เอยาวดี” เป็นชื่อท้องถิ่นของแม่น้ำสายสำคัญสายหนึ่งของพม่า แต่คนภายนอกทั่วไปรู้จักชื่อของแม่น้ำสายนี้ในนาม “อิรวดี” แม่น้ำเอยาวดีเป็นแม่น้ำใหญ่สายหลักของประเทศสหภาพพม่าต้นน้ำ และปลายทางของแม่น้ำอยู่ในประเทศพม่า ไม่แตกต่างกับแม่น้ำเจ้าพระยาแม่น้ำเอยาวดีไหลผ่านกลางประเทศจากเหนือจรดใต้ แบ่งประเทศพม่าออกเป็นสองส่วน แม่น้ำในตอนบนเกิดจากการละลายของหิมะ นอกจากแม่น้ำเอยาวดีจะเกิดจากการละลายของหิมะแล้ว ยังมีแม่น้ำสาขาที่คอยเติมน้ำให้กับแม่น้ำสายนี้จนกลายเป็นแม่น้ำสายใหญ่ แม่น้ำสาขาที่คอยเติมน้ำให้กับแม่น้ำเอยาวดีคือ แม่น้ำมาลี และแม่น้ำมายที่อยู่ทางตอนเหนือสุดของประเทศ รวมระยะทางจากต้นน้ำถึงปากน้ำ ๒,…
สุมาตร ภูลายยาว
อำเภอเชียงของเป็นอำเภอเล็ก ๆ อำเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงราย ผู้คนที่นี่ทั้งในอดีตและปัจจุบันต่างมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย เรียนรู้และสืบทอดการใช้ประโยชน์จากแม่น้ำของนับตั้งแต่การหาปลา เก็บสาหร่ายน้ำของหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ไก” ปลูกพืชผักริมของ หรือแม้แต่การสัญจรไปมาของผู้คนแถบนี้ ทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของลำน้ำสายนี้ต่างก็อาศัยแม่น้ำเป็นสำคัญ ชีวิตของผู้คนที่นี่จึงมีความผูกพันใกล้ชิดกับแม่น้ำของตั้งแต่ในอดีตจนกระทั่งปัจจุบัน เมื่อลมหนาวเริ่มมาเยือนซึ่งเป็นฤดูกาลน้ำลด จิกุ่ง (แมลงชนิดหนึ่งมีลักษณะเหมือนจิ้งหรีดแต่ตัวสีน้ำตาลและมีขนาดใหญ่กว่า) เริ่มลงดอน คือ…