Skip to main content



จากบันทึกงาน - เพื่อคนทุกข์ผู้ยากไร้ ของ จินตวีร์   เกียงมี

เสียงโทรศัพท์จากคุณแอน
ฝ่ายบุคคลโรงแรมโนโวเทล โทร.มาหาฉันตอนปลายสัปดาห์ เลยกลางเดือนมาแล้วหลายวัน ซึ่งช่วงเวลานี้ - เป็นช่วงเวลาที่ฉัน  ต้องนั่งนับหนึ่ง สอง สาม...   บอกแก่ใจตนเองว่า หากไม่จำเป็น...อย่าได้โทรศัพท์ ไปหาใครเป็นอันขาด โดยเฉพาะกับคนที่เคยร่วมเดินทาง อยู่บนเส้นทาง "สะพานบุญ" ด้วยกัน และได้แต่หวังเอาไว้ว่า ถ้าหากเรายังมีบุญวาสนา ที่จะได้ร่วมเดินทางสายนี้ด้วยกัน เขาคงจะติดต่อมาหาเราเอง...

ใช่ ฉันไม่อยากแก้ตัว...กับเรื่องราวร้ายๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองในเดือนที่ผ่านมา  ฉันจึงส่งหนังสือ แรงบุญแรงกรรม ฉบับที่ 83 ประจำเดือนสิงหาคม 2550  ไปให้คุณแอนและเพื่อนๆฝ่ายบุคคลโรงแรมโนโวเทล อ่านและบอกว่า

"หากจะร่วมทำบุญบนเส้นทางบุญกับผมต่อไป ผมก็ยินดี แต่ถ้าหากพวกคุณเชื่อว่า เรื่องราวที่พวกคุณได้อ่านในหนังสือ มันเป็นความจริง ก็ไม่ต้องติดต่อผมไปนะครับ..."

ใช่ หลายวัน หลายเดือน จนย่างเข้าเป็นปี  
และจากปีที่หนึ่ง จนกระทั่งย่างเข้าปีที่สอง ทุกต้นเดือนไม่เกินวันที่สิบ คุณแอนจะโทร.มาบอกฉันว่า ให้จ่าจินตวีร์มาเอาเงินและข้าวของฝากร่วมไปทำบุญด้วย... 

แต่เดือนนี้ ดูเหมือนว่า...เรื่องราวที่ตำรวจอย่างฉัน ต้องเจอเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง หรือมนุษย์กลุ่มหนึ่ง ที่ไม่ยอมบอกชื่อเสียงเรียงนาม มนุษย์ที่มือไม่พายแต่เอาเท้าราน้ำ  มนุษย์ที่ชอบเห็นความหายนะ...ของคนอื่นเป็นความสุขอันสาใจของตนเอง ได้ตั้งข้อหาร้องเรียนฉัน กล่าวหาฉันว่าเป็นคนลวงโลก เป็นคนไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ปรากฏออกมาเป็นข่าว ทำให้ฉันคิดว่า...คุณแอนและฝ่ายบุคคล คงจะเชื่อเรื่องราวที่ฉันถูกร้องเรียน จึงไม่ติดต่อฉันมาเหมือนดั่งเคย...

โอ้ เจ้าผีเสื้อแสนสวย
โบยบินจากฉันไปแล้วหรืออย่างไร ในวันที่ฟ้าฝนเมืองกรุงชุ่มฉ่ำ จดหมายของสมพงษ์  รักโคตร ที่ฉันเคยนำรถเข็นไปมอบให้ที่อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี  เขียนมาหาฉัน...ก่อนสิ้นเดือนที่แล้ว ยังคงค้างเติ่ง รอคอย...เจ้าผีเสื้อแสนสวยติดต่อเข้ามา จดหมายของเขาฉบับนี้ เขาไม่ได้เขียนมาขอความช่วยเหลือให้ตนเองหรอก แต่เขาเขียนมา...ขอความช่วยเหลือให้แก่ครอบครัวของนางลาย  อินทอง ที่จังหวัดศีรษะเกษ เขาเขียนมาบอกเล่าว่า...ครอบครัวนี้กำลังลำบากยากจนเหลือเข็ญ และขอความช่วยเหลือด่วน ซึ่งเห็นจะมี...ก็แต่จ่าจินตวีร์ เท่านั้นแหละ ที่พอจะเป็นเรือด่วน มาได้ทันเห็นใจคนยาก...

สมพงษ์จะรู้ไหมหนอ...ว่าเงินเดือนของจ่าจินตวีร์เดือนนี้เกือบติดลบ แต่ถึงอย่างไร เมื่ออ่านจดหมายฉบับนี้แล้ว ก็ยังบอกแก่ตัวเองได้ว่า
"รอผมหน่อยนะยายลาย นายทอง และลุงสิงห์   ผมเชื่อว่าไม่เกินสิ้นเดือนนี้ ผมจะไปแน่นอน แค่อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศีรษะเกษ มันจะสักเท่าไหร่"  

ดูซิ...
สถานการณ์บ้านเมืองของเราในขณะนี้ มีแต่ข่าวร้ายๆทั้งนั้น ตั้งแต่ข่าวเงินบาทแข็งตัว ข่าวคนงานประท้วง ข่าวปิดโรงงาน ข่าวม็อบ นปก. ที่ท้องสนามหลวง บุกบ้านป๋าเปรม ข่าวอายัดทรัพย์อดีตนายกรัฐมนตรีคนก่อน เป็นเงินนับหมื่นล้านบาท ฯลฯ

และระหว่างการรอคอยวันต่อวัน
ผ่านมาจนย่างเข้ากลางเดือน ท่ามกลางฟ้าฝนในกรุงเทพฯ ที่ตกกระหน่ำลงมาทุกวัน และจวนเจียนจะสิ้นหวัง วันหนึ่ง โทรศัพท์ก็กรีดเสียงดังขึ้น ขณะฟ้ากำลังร้องครืนๆและแลบแปลบปลาบอย่างน่ากลัว จนฉันลังเลที่จะกดปุ่มรับ แต่พอเหลือบดูหน้าจอโทรศัพท์ ขึ้นชื่อคุณแอน บอกแก่ตนเองทันทีว่า กดรับแล้ว - ฟ้าจะผ่า...ก็ช่างหัวมัน ใช่ มันนานเหลือเกินสำหรับการรอคอย...

แล้วซองสีขาวกับยอดเงินเกือบสามพันบาท
ที่คุณแอนและฝ่ายบุคคลโรงแรมโนโวเทลมอบให้มา  ก็มานอนอยู่ในกล่องวิเศษที่แฟลตตำรวจ ขอบคุณนะครับ - ขอบคุณ ที่ติดต่อมา เชื่อไหม...น้ำตาตำรวจอย่างฉัน มันรื้นๆเหมือนจะไหลออกมา แต่มันไม่ไหลหรอกครับ  มันดีใจว่า ความเชื่อและความศรัทธาที่เรามีต่อกัน ยังไม่คลอนแคลนไปกับคำร้องเรียนของคน - ที่หมายจะกลั่นแกล้งทำลายฉัน และเงินแห่งความเมตตาในซองของพวกคุณ กำลังจะช่วยให้ฉันได้แบกเป้ตะลอนทัวร์บุญเพื่อคนยาก อีกวาระหนึ่ง...

สองวันต่อมา
ฉันจึงโลดแล่นออกมาหาที่ซื้อตั๋วรถทัวร์ - สายอีสาน ที่ขนส่งหมอชิต เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่ม  คาดว่าคงจะเดินทางไปถึงปลายทางจวนสว่าง สัมภาระของฉัน มีเพียงแค่เป้สะพายหลังใบหนึ่ง และถุงใส่เสื้อผ้าใบใหญ่ ที่คุณแอนและฝ่ายบุคคลโรงแรมโนโวเทลให้มาอีกถุงหนึ่ง นอกเหนือจากเงินบริจาค กับสมุดบันทึกและกล้องถ่ายรูป เครื่องมือในการทำงานของฉัน...

โอ้ เจ้าผีเสื้อแสนสวย เจ้าได้มอบน้ำหวาน คนละหยดสองหยด...มาสู่อุ้งมือฉันอีกแล้ว ในวันที่ฝนโปรยปรายชุ่มฉ่ำ ฉันกำลังนำมันไปสู่ครอบครัวของยายลายและลุงสิงห์ แม้ว่าฉันจะต้องมาทนนั่งตบยุงแปะๆที่ขนส่งจังหวัดศีรษะเกษ...นานนับเป็นชั่วโมง เพื่อรอฟ้าสาง ฉันก็ยังมองเห็นความสวยงามของเจ้า...

แล้วฉันก็มาถึงบ้านยายลายจนได้ 
ตามเส้นทางที่ไม่ได้ลาดปูนซีเมนต์ โดยเหมารถจักรยานยนต์ให้มาส่ง ตามที่อยู่ในจดหมายที่สมพงษ์จดให้   ทำไมหนอ...เจ้าฟ้าฝนเมืองไทยเอ๋ย ที่ที่เขาอยากจะให้เจ้าตก ทำไมไม่มาตก   แต่ที่ที่เขาไม่อยากให้เจ้าตก กลับตกเอาๆจนจะท่วมกรุงเทพฯ  ดูสิ...ทุ่งข้าว แทบมองไม่ออก ว่ามันเป็นทุ่งข้าวหรือเป็นทุ่งหญ้ากันแน่ ได้ยินเพื่อนบ้านของลุงสิงห์บอกว่า ฟ้าฝนที่นี้...มันไม่ตกมาเกือบเดือนแล้ว  ข้าวที่ปลูกไว้ก็เหลืองและตายแดดไปเกือบครึ่ง  เออหนอ...ความไม่พอดี ทำไม...มันถึงรวมกันมาจ่อมจมอยู่ ณ ผืนแผ่นดินแห่งนี้เหมือนถูกสาป...

และภาพชีวิตที่ฉันเห็นภายในครอบครัวของเขา
ก็คือ ยายลายผู้เป็นแม่ กำลังใช้มืออันเหี่ยวย่นขยุ้มข้าวในชามคลุกกับแกงขี้เหล็กใส่หอยขม ป้อนเข้าปากลุงสิงห์ด้วยมืออันสั่นเทาของวัย และอีกฟากเตียงหนึ่ง คือนายทองสามีของนางลาย วัยเกือบแปดสิบปี  นอนร้องครวญครางเจ็บปวด...ด้วยโรคเกี่ยวกับระบบท้องที่เป็นมาได้สามสี่เดือนแล้ว

"เพิ่งออกจากโรงพยาบาลมา ไปให้น้ำเกลือมาเกือบอาทิตย์"
ลูกสาวคนโตของนางลาย ที่ได้สามีทำมาหากินเลี้ยงดูพ่อแม่ และน้องชายที่เป็นอัมพาตคือลุงสิงห์ บอกฉัน พลางยกขันน้ำดื่มมาให้ ขณะที่ยายลายเริ่มบอกเล่าถึงชะตากรรมของลุงสิงห์ว่า

"ห้าปีแล้ว ที่ต้องคอยป้อนข้าวป้อนน้ำ และเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้ เมียเขา...พอรู้ว่าผัวเป็นอัมพาต ก็เกี่ยงงอนเอามาให้แม่...แล้วทิ้งไปเลย ก็ลูกเรานะ เป็นตายร้ายดีอย่างไร ก็ต้องดูแลกันไปให้ถึงที่สุด..."
ลุงสิงห์หันมายิ้มน้อยๆ ขณะฉันกำลังพยายามอธิบายให้แกเข้าใจ...ว่ามาทำไม พี่สาวคนโตร้องบอกว่า รอก่อนนะ เดี๋ยวจะทำกับข้าวมาให้กิน ก่อนจะผลุบหายเข้าไปในครัวไฟ  เพื่อนบ้านหลายคน เริ่มทยอยกันเข้ามามุงดูด้วยความสนใจ เงินในซองสีขาว ที่ฉันได้มาจากเจ้าผีเสื้อแสนสวย ฉันนำมันใส่อุ้งมืออันเหี่ยวย่นของนางลาย ฝันอยากจะให้มากกว่านี้  ฝันอยากให้แบ๊งค์ยี่สิบ กลายเป็นแบ๊งค์ร้อย แบ๊งค์ร้อยกลายเป็นแบ๊งค์พัน   เออหนอ...เจ้าความฝันของจ่าตำรวจอย่างฉัน

"อยากได้รถเข็นให้มัน  อันที่มีมันก็เข็นไม่ไปแล้ว..."   
ความหวังของยายลาย ก็คือ...อยากได้รถเข็นให้ผู้เป็นลูกชาย ที่นอนมายาวนานเกือบห้าปี  ฉันเดินไปขึ้นลองนั่งและขยับรถเข็นคันที่ยายลายชี้ให้ดู  มันทั้งเก่าและขึ้นสนิม ยายบ่นๆว่า เห็นกลุ่มทหารอาคารสงเคราะห์บอกว่า จะนำคันใหม่มาให้  จนป่านนี้แล้ว...ก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้ ก่อนจะขอตัวกลับกรุงเทพฯ ฉันถามลุงสิงห์เบาๆว่า อยากได้อะไรเป็นพิเศษบ้างไหม ลุงสิงห์ส่ายหน้าไปมา ที.วี.สีสิบสี่นิ้ว ไม่รู้รุ่นไหน วางอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้าของแก  ฉันถามว่ามันยังใช้การได้อยู่หรือ เพราะเห็นน็อตหลุดไปหลายตัว ที่เปิดก็ใช้มือหมุนเอา

"เวลาเปิดดู  ต้องรอเป็นชั่วโมงเสียงมันถึงมา และอีกครึ่งชั่วโมงจึงจะมีภาพมาให้เห็น..." 
พี่สาวคนโตของลุงสิงห์ร้องบอกมาจากในครัว  ฉันรู้แล้วว่าฉันจะซื้ออะไรให้ลุงสิงห์   กับสภาพการต่อสู้เจ้าโรคร้าย ที่ทำให้ลุงสิงห์ได้แต่นอนลืมตาแป๋ว   ทั้งๆที่ใจคงเตลิดไปไกลแสนไกล...แต่ร่างกายกลับขยับเขยื้อนได้แค่มือข้างซ้าย

"พอรู้ตัวว่าเดินไม่ได้ แทบจะตายเลยในตอนนั้น  ยิ่งรู้ว่าเมียมาทิ้งอีก...นอนร้องไห้ทุกวันเลย นานเป็นปี...กว่าจะทำใจได้   มันคงเป็นกรรมของลุงเอง ไม่รู้ว่ามันจะสิ้นสุดลงวันไหน..."   
ลุงสิงห์ตัดพ้อต่อว่าโชคชะตาที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ฉันเอื้อมมือไปบีบมือลุงสิงห์และบอกว่า 
"สู้ๆครับ" เห็นนัยน์ตาของลุงสิงห์ปรากฏแห่งความหวังขึ้นมาวูบหนึ่ง "แล้วผมจะนำ ที.วี.สี เครื่องใหม่มาให้นะครับ หากมีเศรษฐีใจบุญมอบรถเข็นให้ ผมก็จะนำมาให้จนถึงบ้านเลย อ้อ ผมมี ซี.ดี.ธรรมะ มาฝากด้วยนะครับ แล้วเงินที่ให้ยายไว้ ยายอย่าเก็บมันไว้เฉยๆนะ ให้เอาไปซื้อกับข้าวมาให้ตาและลุงสิงห์กินนะ"

ดอกข้าวที่ยายลายทัดไว้ข้างหู
กับผมสีขาวโพลนของยาย ทำให้ฉันอดคิดถึงแม่แก้วของฉันไม่ได้  ความรักของแม่ที่มีต่อลูก ช่างเป็นความรักที่สูงส่งและจีรังยั่งยืนเสียจริงหนอ...

แค่เห็นภาพสองมือเหี่ยวย่นของยายลายที่ขยำข้าว และใช้ปากจูบหอยขมคลุกๆกับข้าวในชาม และยกขึ้นป้อนใส่ปากให้ลุงสิงห์ ทำให้ฉันรู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก แล้วเหตุใดหนอ...คู่ทุกข์คู่ยากของลุงสิงห์  จึงยอมรับสภาพพิการของลุงสิงห์ไม่ได้...

ทั้งๆที่สาเหตุที่เกิดขึ้น...ก็เพื่อปากและท้องของครอบครัวมิใช่หรือ  ที่ทำให้ลุงสิงห์ต้องออกจากบ้าน ตะลอนๆไปรับจ้างตัดอ้อยที่ต่างจังหวัด แล้ววันหนึ่ง เกิดอุบัติเหตุ รถอ้อยชนกับรถบรรทุกสิบล้อ ทำให้ลุงสิงห์ - กลายเป็นคนเดินเหินไปไหนมาไหนไม่ได้ ซึ่งไม่น่าจะถูกเมียทิ้งในสภาพเช่นนี้ แต่ก็ถูกทิ้ง...เป็นการซ้ำเติมความเคราะห์ร้ายของชีวิต ที่หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว...ให้หนักข้อยิ่งขึ้นไปอีก ทำไมนะ...ชีวิตคนเราจึงไม่ค่อยเป็น - อย่างที่มันควรจะเป็น ! 

ขอบคุณนะ เจ้าผีเสื้อแสนสวยของฉัน
เจ้ารู้ไหม เงินในซองสีขาวของเจ้า ได้เดินทางมาถึงจุดหมายแล้ว แม้จะเป็นเพียงการช่วยเหลือคนทุกข์ยากเพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราว...ก็ตามทีเถิด และใครจะมองว่าตำรวจอย่างฉัน สอนให้เขาเป็นคนขี้เกียจ...ที่คอยแต่หาปลามาให้เขากิน แทนที่จะสอนให้เขารู้จักจับปลากินเอง

เออหนอ...ฉันจะบอกท่านผู้ใจบุญ ที่ติดต่อมาทำบุญร่วมกับฉันอย่างไรดี ว่าคนที่ฉันหยิบยื่นความช่วยเหลือให้นั้น เขาไม่มีเรี่ยวแรง แม้แต่จะยกมือขึ้นตักข้าวตักน้ำใส่ปาก แล้วฉันจะไปสอนให้เขาจับปลากินเองได้อย่างไรเล่า !

แต่เอาเถิด ใครจะคิดอย่างไรก็ช่างเถิด...แต่ตำรวจบ้าๆอย่างฉัน จะขอเดินไปบนเส้นทางสะพานบุญเส้นนี้อีกต่อไป จนกว่าจะทำอะไรไม่ได้...

นั่งคิดอะไรคนเดียวมาเรื่อยเปื่อย
บนรถไฟสายศรีสะเกษเข้ากรุงเทพฯ มันวิ่งช้าและจอดแทบทุกสถานี จนฟ้ามืดสนิท เออหนอ...มันคงจะสว่างที่หัวลำโพงเป็นแน่แท้ น้ำก็ไม่ได้อาบ หากเรามีรถยนต์สักคันก็คงจะดี จะได้ขับมันไปเรื่อยเปื่อย จะแวะหยุดพักตรงไหน...อาบน้ำตรงไหนก็ได้ จะไปมาหาใครที่อยู่ไกลลับลี้ ก็ไม่ต้องเหมารถจักรยานยนต์ไปๆมาๆให้วุ่นวาย และจะได้ขับตะลอนทัวร์ - ไปให้ทั่วผืนแผ่นดินไทยเลยทีเดียว...

แต่แล้ว - เจ้าความฝันอันแสนหวานของฉัน...ก็พลันตกแตกสลาย เหมือนกระจกเงา...ร่วงหล่นลงมาจากหน้าต่างตึกชั้นสูง ตกลงไปกระทบพื้นคอนกรีตเบื้องล่าง...แตกละเอียด กระจัดกระจาย เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทำให้ฉันต้องตื่นจากฝัน... กลับคืนมาสู่โลกของความเป็นจริง

ในทันใดที่รถไฟ
เคลื่อนขบวนไปจอดที่สถานีเล็กๆแห่งหนึ่ง และมีสามแม่ลูก หอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรัง พากันขึ้นมาทรุดนั่งลง - บนที่นั่งตรงหน้าฉัน เจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนของแม่ ร้องไห้จ้า...ไม่ยอมหยุด ฉันถามพวกเขาว่า จะไปลงที่ไหน ผู้เป็นแม่ตอบว่า ลงที่โคราช แต่ไม่มีเงินเลย...แม้แต่ค่าตั๋วรถก็ไม่มี นางพูดเบาๆเหมือนกระซิบ พลางเหลียวซ้ายมองขวาด้วยแววตาหวาดๆ อีกมือหนึ่งก็คอยจับแขนลูกสาวคนโต อายุประมาณ 7- 8 ขวบ หน้าตาขะมุกขะมอม เอาไว้ด้วยความหวงแหน...

"ค่ารถเท่าไรล่ะครับ เดี๋ยวคนเดินตั๋วมา ผมจะออกเงินให้เอง ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น..."
ฉันยิ้มๆบอกนาง ที่พยายามรีบยกมือไหว้ฉันด้วยความขัดเขิน เพราะอุ้มลูกคนเล็กเอาไว้ในอ้อมแขน ด้วยสีหน้าดีใจและโล่งใจ เหมือนถูกยกภูเขาออกจากอก ที่จู่ๆโดยไม่คาดฝัน...ก็ได้รับการปลดเปลื้องความทุกข์กังวล เพราะไม่มีเงินจ่ายค่ารถ ที่นางคงหวังจะอ้อนวอน...ขอความเมตตาจากคนเดินตั๋ว ซึ่งต้องเสี่ยงกับการถูกไล่ลงจากรถให้อับอาย ถ้าหากไปเจอเอาคนเดินตั๋วที่ใจร้าย หรือเคร่งครัดอยู่ในกฎระเบียบของหน้าที่ จนกลายเป็นคนไม่มีหัวใจ...

เลยเที่ยงคืนย่างเข้าสู่วันใหม่
รถไฟก็ยังคงทำหน้าที่ " ถึงก็ช่าง -  ไม่ถึงก็ช่าง " อย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่ง สามแม่ลูก หอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรัง -  และพันธะแห่งความรักซึ่งกันและกัน ที่โอบกอดและเกาะเกี่ยวกันเอาไว้อย่างแนบแน่น...ลงจากรถไฟอย่างทุลักทุเล ที่สถานีโคราช ขณะฉันผงกหัวขึ้นมาพบว่า ปลายทางที่หัวลำโพงของตัวเอง ยังอยู่อีกไกล...

เหนื่อยไหมท้อไหม
หากบอกว่าไม่เหนื่อยไม่ท้อก็เกินไป แต่ในความเหนื่อยและท้อ มันค่อยๆจางหายไป   ตั้งแต่ฉันหยิบซองสีขาวบรรจุเงินของเจ้าผีเสื้อแสนสวยฝูงนั้น ยื่นใส่มืออันเหี่ยวย่นของยายลายแม่ของลุงสิงห์แล้ว...

ออกเดินทางตอนเย็นย่ำของวันศุกร์
กลับมาถึงเช้าวันอาทิตย์ เป็นวัฏจักรชีวิตของตำรวจคนหนึ่ง แต่นี่คือความสุขครับ - สุขอย่างเหลือล้น และยากที่จะอธิบาย...

ครับ ท่านผู้อ่านท่านใดมีเมตตาจิต อยากจะช่วยเหลือยายลาย ตาทอง และลุงสิงห์ ส่งความช่วยเหลือโดยตรง ไปตามที่อยู่ข้างล่างนี้ได้เลยนะครับ จะเป็นเงินทองไว้ซื้อหยูกซื้อยากิน หรือเป็นเสื้อผ้าให้ตาและยายกับลุงสิงห์ก็ได้ครับ

ให้เถอะครับ ถ้าสามารถให้ได้ ขออย่าได้เห็น...ความทุกข์ยากของคนด้วยกัน เป็นของเล่น และเดินผ่านกันไป - โดยไม่เหลียวแลเลยนะครับ ผมขอวิงวอน.

กรุณาส่ง
นางลาย  อินทอง
37/2  หมู่ 6 ต.ผักไหม อ.ห้วยทับทัน
จ.ศรีสะเกษ
( ตีพิมพ์ครั้งแรก ในนิตยสาร แรงบุญแรงกรรม ฉบับที่...เดือน...ปี 2550 )

หมายเหตุ ; ครับ นี่เป็นงานอีกชิ้นหนึ่ง ของคุณจินตวีร์ เกียงมี หรือจ่าจินต์ ของใครต่อใครอีกมากมายหลายคน ที่ผมเลือกมา edit เพื่อรวมเล่ม ซึ่งขณะนี้ต้นฉบับที่กำหนดเอาไว้เสร็จเรียบร้อยไปแล้วประมาณเจ็ดสิบเปอร์เซ็น ขอความกรุณาจ่าอดใจรอคอยอีกสักนิดหนึ่ง ต้นฉบับของเราก็พร้อมที่จะนำไปสู่ขั้นตอนนำไปเสนอสำนักพิมพ์ และขออนุญาตจ่า นำงานชิ้นนี้อีกชิ้นหนึ่ง...มาโชว์ฟอร์มในคอลัมน์ของผมนะครับ

งานชิ้นนี้ ของคุณจินตวีร์ เกียงมี ที่ผมชอบมากๆ ก็คือฉากสั้นๆ ตอนเขานั่งรถไฟกลับกรุงเทพฯ แล้วฝันหวานอยากจะมีรถยนต์สักคัน เพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง ไปโน่นไปนี่ ก่อนจะสะดุ้งตื่นจากฝัน มาเผชิญหน้า...กับความจริงของชีวิตที่น่าเศร้าของสามแม่ลูก ที่ไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าตั๋วรถไฟ...

มันเป็นภาพชีวิตที่ Contrast กันอย่างรุนแรง ระหว่างชีวิตหนึ่ง ที่พอจะมีอยู่มีกิน...และมีหลักประกันทางสังคมที่มั่นคง โดยไม่เดือดร้อนอะไร - แต่ยังรู้สึกว่าตัวเองยังมีไม่เพียงพอ... เพราะยังอยากจะได้รถยนต์สักคันหนึ่ง - เหลือเกิน ได้มาพบปะกับสามชีวิตที่ไม่มี...แม้แต่เงินจ่ายค่าตั๋วรถไฟ ซึ่งเป็นมุมเล็กๆที่งดงามและอบอุ่น ในโลกที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายของชีวิต ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ที่พบและจากกันอย่างมีคุณค่าความหมาย...

แม้จะเป็นเพียงฉากชีวิตสั้นๆ
คล้ายๆกับฉากสั้นๆฉากหนึ่งในภาพยนตร์ ที่ฉายออกมาให้เห็นในช่วงเวลาเพียงแค่สอง - สามนาที แต่ความงามของเรื่องและภาพในฉากสั้นๆฉากนี้ ได้ใจผมไปเต็มร้อย และมุมเล็กๆที่งดงามและอบอุ่นมุมนี้ ยังสอดคล้องกับประโยคสุดท้าย ที่เขาพยายามจะปลูกฝังจิตสำนึกบางอย่างให้แก่เราว่า "ขออย่าได้เห็น...ความทุกข์ยากของคนด้วยกัน เป็นของเล่น และเดินผ่านกันไป - โดยไม่เหลียวแลเลยนะครับ ผมขอวิงวอน"

ครับ ถ้าคุณสนใจเรื่องราวของคุณจินตวีร์ เกียงมี และบทบาทนี้ของเขา และอยากทราบว่า อะไรเป็นแรงบันดาลใจ...ทำให้เขามาทำงานช่วยเหลือผู้ที่คนลำบากยากไร้ ( นอกเหนือจากงานในหน้าที่ตำรวจ ) โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ มานานถึงสิบกว่าปี และเขาคิดอย่างไร...กับงานนี้ของเขา - ในปัจจุบัน เชิญติดตามไปอ่านบทสัมภาษณ์ล่าสุดของเขาที่ชื่อว่า "จ่าจินต์...กับเส้นทางสะพานบุญ" ในนิตยสาร แม่และเด็ก ฉบับที่ 447 ประจำเดือน พฤษภาคม 2552 ได้เลยนะครับ สวัสดีฤดูฝน.

22-26 พฤษภาคม 2552
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่

 

 

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
บุญญฤทธิ์ ตุลาพันธ์พงศ์นามนี้เป็นที่รู้จักกันมานาน และยังเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในวงการสื่อมวลชนภาคเหนือตอนบน ในฐานะนักหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นอาวุโสของจังหวัดเชียงใหม่ในปัจจุบัน แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมรู้จักเขามานาน ก่อนที่เขาจะเป็นนักหนังสือพิมพ์เสียอีกนั่นคือ รู้จักเขาตั้งแต่เขายังเป็นเด็กหนุ่มเอวบางร่างน้อย จากดินแดนแห่งขุนเขาและม่านหมอกอินทนนท์ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ที่เดินทางจากบ้านเกิดหน้าที่ว่าการอำเภอ ไปบวชเรียนเป็นเณรอยู่ที่วัดธรรมมงคล ถนนสุขุมวิท ต.บางจาก อ.พระโขนง กรุงเทพฯ ภายใต้ร่มเงาพุทธธรรมของท่านอาจารย์วิริยังค์ ซึ่งเป็นพระนักปฏิบัติชื่อเสียงโด่งดัง สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เมื่อคนสองคนหรือผู้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือสังคมใดสังคมหนึ่ง ที่เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ได้เกิดความขัดแย้งกัน  ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด ๆ ก็แล้วแต่ แล้วต่อมา ความขัดแย้งนี้ได้ลุกลามถึงขั้น โกรธ เกลียด และแตกแยกกันเป็นฝักเป็นฝ่าย แล้วต่างฝ่ายต่างก็ตั้งหน้าตั้งตา ดุด่า ใส่ร้ายป้ายสี ทะเลาะวิวาทกัน  เพื่อเอาชนะคะคานกัน เพื่อทำลายกันให้พินาศไปข้างหนึ่งเมื่อปรากฏการณ์ที่เลวร้ายนี้ได้เกิดขึ้น แทนการยุยงส่งเสริม หรือเข้าไปร่วมถือหางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อย่างที่พวกเรามักจะเป็นกันเพราะมีอคติ รักหรือว่าชอบ-คนนั้นพวกนั้น  ผิด ถูก ชั่ว ดี อย่างไร ก็ขอเข้าข้างกันเอาไว้ก่อนแต่เรื่องนี้…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
   
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ภาพจาก http://gotoknow.org/file/i_am_mana/DSC04644.1.jpg คุณที่รักผมลงมือเขียนต้นฉบับนี้ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2550 ซึ่งนับจากวันนี้ไปอีก 3-4 วันก็จะถึงวันเลือกตั้ง แต่จนป่านนี้ ผมซึ่งเป็นประชาชนคนหนึ่งของประเทศที่มีสิทธิไปลงคะแนนเสียงให้กับผู้สมัคร ส.ส.ในเขต 2 อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ ยังนึกไม่ออกเลยว่าควรจะใช้สิทธิอันชอบธรรมนี้ไปเลือกใครหรือพรรคใด หรือว่า...ควรจะโนโหวต คือไม่เลือกใครเลยเหตุที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากเป็นเพราะว่า ผมเป็นคนที่หน่อมแน้มในเรื่องการเมืองจริง ๆ  จึงไม่สามารถวิเคราะห์และตัดสินด้วยตัวเองได้อย่างเชื่อมั่น ว่าใครหรือพรรคการเมืองใดเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเป็นคนที่วิตกกังวลกับทุกสิ่งทุกอย่าง ผมวิตกว่าตัวผมผอมไป วิตกว่าผมจะร่วงจนหมดศีรษะ กลัวไปว่าแต่งงานแล้วจะหาเงินเลี้ยงครอบครัวได้ไม่พอ กลัวว่าจะเป็นพ่อที่ดีของลูก ๆ ไม่ได้ และเพราะเหตุที่ตัวผมเองมีชีวิตไม่ค่อยเป็นสุขนัก ผมจึงวิตกกังวลเกี่ยวกับภาพพจน์ของตัวเองที่ปรากฏต่อคนอื่นเพราะความวิตกกังวล ทำให้ผมเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ผมทำงานไม่ไหวอีกต่อไปต้องหยุดงานอยู่กับบ้าน ผมวิตกกังวลมากเกินไปจนเลยขีดขั้นจำกัด คล้ายกับหม้อน้ำเดือดที่ปราศจากวาล์วปิดกั้น จนทำให้ผมต้องเป็นโรคประสาทอย่างหนัก ผมไม่สามารถพูดกับใครได้เลย แม้แต่กับคนในครอบครัวของผมเอง ผมควบคุมความคิดของตัวเองไม่อยู่ และรู้สึกหวาดกลัวไปหมด…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
โอ้ นางฟ้าของคนยากจากไปแล้วดั่งดวงแก้วตกต้องแผ่นผาจากไปไกลลิบลับไม่กลับมาจากไปแล้วหนา...วนิดา คนดีคนดีของคนยากของแผ่นดินยุคทมิฬ รัฐ บรรษัท ทำบัดสีถืออำนาจอยุติธรรมคอยย่ำยีขยำขยี้คนจนปล้นทรัพยากรสารพัดในนามของความผิดที่เขาคิดมากล่าวหามาถอดถอนเพื่อขับไล่ไสส่งจากดงดอนจากสิงขร จากน้ำฟ้า ป่าบรรพชนด้วยกฎหมายที่เขาตราขึ้นมาเองใช้เป็นเหตุยำเยงทุกแห่งหนที่มาดหมายครอบครองเป็นของตนขับไล่คนเหมือนหมูหมาเหมือนกาไก่เธอจึงเกิดขึ้นมาเพื่อต่อสู้อยุติธรรมแด่ผู้ที่ยากไร้ทั้งชีวิตอุทิศทั้งกายใจควรกราบไหว้ควรเชิดชู ควรบูชาโอ้ นางฟ้าของคนยากจากไปแล้วดั่งดวงแก้วตกต้องแผ่นผาจากไปแล้วคุณคนดี วนิดาต่อแต่นี้น้ำตา...…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
- สวัสดีครับ- สวัสดีค่ะ- ต้องการพูดกับใครไม่ทราบครับ- ดิฉันต้องการพูดกับ คุณแดนทิวา คนที่เป็นนักเขียนบทกวีค่ะ- ผมกำลังพูดกับคุณอยู่พอดีครับ- โอ๋ ดีจังเลย- เอ...ผมรู้สึกว่า ผมไม่เคยได้ยินน้ำเสียงนี้ทางโทรศัพท์มาก่อนเลยนะ - ถูกต้องค่ะ- ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคุณกับผมเคยเป็นคนรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่านะ- คุณไม่รู้จักดิฉันหรอกคะ แต่ดิฉันบังเอิญรู้จักคุณจากหนังสือรวมบทกวีเล่มหนึ่งของคุณ ที่ดิฉันได้มาจากร้านขายหนังสือเก่าแห่งหนึ่ง พร้อมกับเบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ของคุณค่ะ- (หัวเราะ) แค่นี้เองหรือครับที่คุณรู้จักผม- ค่ะ แค่นี้เองค่ะ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
คนที่ผ่านโลกและชีวิตมาอย่างโชกโชนถึงขั้นที่เรียกได้ว่า เป็นคนที่เข้าใจมนุษย์ พวกเขามักจะมีคำตอบที่เกี่ยวกับชีวิตอย่างง่าย ๆ สั้น ๆ แต่ลึกซึ้ง ชนิดที่เราฟังแล้ว...บางทีถึงกับสะอึก และต้องจดจำไปจนชั่วชีวิต เพราะมันเป็นคำตอบที่เต็มไปด้วยพลังทะลุทะลวงไปถึงก้นบึ้งของหัวใจวันหนึ่งนานมาแล้วผมขับมอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านเข้าเมือง ไปส่งคุณแพรจารุ พูดคุยเรื่องงานกับอาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งมีบ้านอยู่ในซอยที่ร่มรื่นด้วยแมกไม้หลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ขณะคุณแพรและอาจารย์เลี่ยงไปคุยกันอีกมุมหนึ่งในห้องรับแขก ผมก็นั่งดูหนังจาก ยูบีซี ที่ท่านอาจารย์เปิดค้างไว้  รู้สึกว่าจะเป็นหนังจากยุโรป เรื่องอะไร…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
หลังจากที่ จรัล มโนเพ็ชร ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งล้านนาได้จากไป เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2544 ตราบจนกระทั่งถึงวันนี้เป็นเวลา 6 ปีเต็ม ๆ ผมคิดว่านอกจากบทเพลงที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวามากมายหลายชุด ที่เขาทิ้งไว้เป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมอันล้ำค่า ที่ทำให้เราคิดถึงถึงเขา ยามได้ยินบทเพลงของเขา ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งแล้ว ยังมีสถานที่และผู้คนที่เคยเกี่ยวข้องผูกพันกับชีวิตของเขา บางสถานที่บางบุคคล ที่ทำให้เราคิดถึงเขา ยามได้ไปเยือนสถานที่แห่งนั้น และได้พบใครบางคนดังกล่าว เช่นร้านอาหาร สายหมอกกับดอกไม้ที่ตั้งอยู่ริมถนนเชียงใหม่ 700 ปี หน้าศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ มีใครต่อใครมากมายหลายคนบอกผมเป็นเสียงเดียวกันว่า…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ทำไมนะคนเราจึงมักมองเห็นแต่ความผิดพลาดของคนอื่นและชอบกล่าวคำประณามตัดสินลงโทษเขาราวกับว่าตัวเองไม่เคยทำความผิดบาปใด ๆครั้งหนึ่งเมื่อองค์พระคริสต์ทรงเสด็จประทับสอนฝูงชนอยู่ ณ มหาวิหารของกษัตริย์ซาโลมอนราชโอรสของกษัตริย์ดาวิด ผู้ที่มีความชอบเฉพาะพระเจ้าพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริซายซึ่งต่อต้านคำสอนของพระองค์ด้วยความเชื่อที่ต่างกันว่า-พระเจ้าของเขาคือการแก้เเค้นตามคำสอนดั้งเดิมของโมเสสณ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมมีความเชื่อว่าคนที่เป็นนักปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนาบ้านเรา ถ้าหากไม่หลงไปปฏิบัติผิดที่ผิดทาง ท่านคงจะรู้กันดีทุกคนนะครับ ว่าเป้าหมายสูงสุดในการปฏิบัติธรรม คือการปฏิบัติเพื่อลดละและปล่อยวาง  ความยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ เป็นตัวของเรา – เป็นของของเรา ซึ่งทางพุทธบ้านเราถือว่าเป็นต้นตอรากเหง้าของความทุกข์ทางใจทั้งหลายทั้งปวงส่วนจะเป็นทุกข์มากหรือน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับใจของเรา ที่เข้าไปยึดเอาสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นตัวกำหนด พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าเข้าไปยึดถือมากก็ย่อมเป็นทุกข์มาก ถ้าเข้าไปยึดถือน้อยก็เป็นทุกข์น้อยนั่นเองครับนี่เป็นเรื่องที่เป็นนามธรรมที่เข้าใจได้ยาก…