Skip to main content



ฟ้าร้องคำรณกึกก้อง
พายุกรรโชกกราดเกรี้ยว            
ไม่นานนัก
ฝนก็ซัดสาดลงมา
ราวกับฟ้าทั้งฟ้าได้ฉีกขาดและรั่วไหล
นำแม่น้ำจากสรวงสวรรค์ลงมาชะล้างผืนแผ่นดิน
ตามกฎเกณฑ์กติกาอันเฉียบขาดของธรรมชาติ
เมื่อดิน น้ำ ฟ้า อากาศ อุณหภูมิ ความร้อนและความเย็น                   
ประกอบกันเป็นเหตุปัจจัยเพียงพอ
ที่จะทำให้เกิดปรากฎการณ์ฝนตก
ฝนย่อมจะต้องตกลงมาอย่างแน่นอน
เมื่อถึงเวลาที่มีเหตุปัจจัยเพียงพอ...
ไม่ว่าคำสวดมนตร์ภาวนาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆในโลกนี้
ก็มิอาจหักห้ามได้
เมื่อถึงคราวที่ฝนจะต้องตก...

ใช่
ฝนจะต้องตกลงมาอย่างแน่นอน
และตกลงมาอย่างแน่นอนมานานแล้ว
ตั้งแต่โลกใบนี้...
ได้เริ่มถือกำเนิดขึ้นมา...พร้อมกับกฎเกณฑ์กติกาต่างๆอันเฉียบขาดของธรรมชาติ                                  
ตราบจนเท่าถึงทุกวันนี้...
ในขณะที่กฎเกณฑ์กติกาต่างๆที่มนุษย์กำหนดกันมาขึ้นมาสารพัดอย่าง
ในนามของศีลธรรม จริยธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ค่านิยม และกฎหมาย ฯลฯ                   
เพื่อควบคุมและลงโทษมนุษย์ด้วยกัน...                    
ยังไม่เคยมีกฎเกณฑ์กติกาใดๆที่มนุษย์สร้างขึ้นมา
เป็นกฎเกณฑ์กติกาที่เฉียบขาด                             
และไม่เคยเปลี่ยนไปเป็นอื่นตราบชั่วนิรันดร์
ดังเช่นกฎเกณฑ์กติกาของธรรมชาติ




ดังนั้น
กฎเกณฑ์กติกาต่างๆที่มนุษย์สร้างขึ้นมา
จึงถูกปรับปรุง - ถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลง
หรือไม่ก็ถูกทำลายมาทุกยุคทุกสมัย...
โดยเฉพาะกฎเกณฑ์กติกา
ที่ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมไม่ได้รับความเป็นธรรม
และถูกเลือกปฏิบัติ...
ไม่ว่าใครจะอ้างว่ามันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธ์ - และเป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงามสักเพียงใดก็ตาม
และไม่ว่ากฎเกณฑ์กติกาเช่นนี้
จะปรากฏขึ้นในสังคมเล็กๆ หรือสังคมที่ใหญ่โตใดๆในโลกนี้                                 
ไม่วันใดก็วันหนึ่ง...
มันจะต้องถูกทำลายลงอย่างแน่นอน                      
เมื่ออำนาจ - ที่พยายามปกป้องรักษา กฎเกณฑ์กติกาที่ชั่วร้ายนี้เอาไว้...ได้อ่อนแอลง
เพราะไม่มีกฎเกณฑ์กติกาหรือสิ่งใดๆในโลกนี้
ที่ถูกออกแบบสร้างสรรค์ขึ้นมา...จากน้ำมือของมนุษย์                                         
เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ - ที่มนุษย์ด้วยกัน ไม่สามารถแตะต้อง ต่อรอง ขัดขืน และทำลายได้
ดังเช่นกฎเกณฑ์กติกาอันเฉียบขาดของธรรมชาติ
ที่เพียงแค่...กำหนดกฎเกณฑ์ชีวิตมนุษย์เอาไว้ว่า
คนทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้
จะต้องแก่ จะต้องเจ็บไข้ได้ป่วย จะต้องตาย
มนุษย์ก็ไม่สามารถที่จะขัดขืนได้แล้ว
ไม่ว่าใครหน้าไหน...
จะเกลียดกลัวกฎเกณฑ์กติกาข้อนี้ของธรรมชาติ - สักเพียงใดก็ตาม         


โอ้
นักการเมือง
นักปกครอง
นักกฎหมาย
ที่ยังปรารถนาจะรักษากฎเกณฑ์กติกาของมนุษย์
ที่เป็นความอยุติธรรมแก่สังคมส่วนใหญ่เอาไว้
ไม่ว่าจะเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง - เพียงหยิบมือเดียวบนผืนแผ่นดิน
หรือด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่...
ประวัติศาสตร์โลก...
มิได้สอนให้คุณสำเหนียกกันบ้างหรืออย่างไร
อาณาจักรกรุงโรมที่ยิ่งใหญ่คับฟ้า
และเรืองอำนาจชั่วร้าย...ราวกับจะดำรงอยู่จนตราบกัลปวสาน
ยังถูกทำลายล่มสลายลงในพริบตา
เมื่อถึงเวลา...
สำมะหาอะไรกับเพียงแค่...


ระวังเอาไว้ให้จงดี
                             
วันหนึ่งในอนาคต
ถ้าสังคมปรับเปลี่ยนไปสู่แนวทางที่ถูกต้องและชอบธรรม
เหมือนอย่างที่มันเคยปรับเปลี่ยนมาทุกยุคทุกสมัย
พวกคุณอาจจะถูกฝังไว้ในหน้าประวัติศาสตร์สังคม
โดยมิให้ได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป.


5 สิงหาคม 2552
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ชีวิตเอย เหตุใดเล่า เจ้าจึงเศร้าโศกเสียใจร้องไห้คร่ำครวญ ให้กับบางสิ่งที่เจ้าได้สูญเสียมันไป เหมือนนมที่หกออกจากแก้วไปแล้ว...ตกลงบนพื้นดิน วันแล้ววันเล่า ไม่รู้จักจบสิ้น  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
12 เมษายน 2545 วันครบรอบวันเกิด...ที่แสนจะเจ็บปวด ขณะนั่งรถจักรยานยนต์ออกตรวจพื้นที่กับคู่หู ขับรถผ่านไปทางบ้านพ่อแม่ผู้พัน นายเก่าที่มาหยิบยืมเงินเราแล้วไม่ยอมใช้คืน เมื่อสองสามปีที่แล้ว พอเจอหน้า จอดรถจะเข้าไปถาม นายกลับรีบเดินหนี อนิจจา ! นายเอ๋ยนาย...ดอกไม่ต้องขอเพียงแค่ต้นคืนได้ไหม...
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  7   ครับ รายละเอียดเรื่องราวของเขา ที่ผมอยากรู้อยากเห็นเหลือเกิน เริ่มปรากฏอยู่ในบันทึกหน้านี้นี่เอง และเมื่อหยิบหน้าคอลัมน์ “ศาลาคลายร้อน” ที่เขาถ่ายสำเนาจากหนังสือนิตยสาร “ชีวิตรัก” มาให้ผม ซึ่งเป็นหน้า คอลัมน์ - ในช่วงที่เขาได้แบกเป้ออกไปตะลอนทัวร์ ช่วยคุณวนัสนันท์ ตามที่เขาตั้งปณิธานเอาไว้ออกมาอ่าน เพื่อทำความรู้จักทั้งคอลัมน์และตัวตนของคุณวนัสนันท์ ที่นำมือแห่งความเมตตาของคุณวรรณและคุณแขคนไทยในต่างประเทศ มาฉุดเขาขึ้นมาตจากขุมนรกอันลึกล้ำดำมืดแห่งหนี้สิน และมือแห่งความเมตตาอีกมากมายที่หลั่งไหลติดตามมา... ผมพบว่าคอลัมน์ “ศาลาคลายร้อน” ของคุณวนัสนันท์…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
6 หลังจากงานศพของพ่อแล้ว เขาก็เริ่มตกเข้าไปอยู่ในวังวน - ของการหมกมุ่นครุ่นคิด...เป็นทุกข์อยู่กับหนี้สินอีก และพยายามต่อสู้กับตัวเองอย่างถึงที่สุด ระหว่างการคิดทำลายตัวเองตามพ่อไป เพื่อหนีความทุกข์ปัญหาอันหนักหนาสาหัส และการพยายามคิดหาเหตุผลต่างๆนานาที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป...
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
30 ตุลาคม 2539 วันนี้ นายเรียกข้าราชการตำรวจทั้งโรงพักมาประชุม เพื่อร่ำลาไปรับตำแหน่งใหม่ เห็นพวงมาลัย...ที่นายดาบหัวหน้าสายแต่ละสาย เตรียมมาให้นายแล้ว ได้แต่นึกเสียดาย... ท่านมากอบโกย...แล้วก็ไป
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  3. เขากลับกรุงเทพฯไปได้หนึ่งอาทิตย์กว่าๆ ผมก็ได้รับกล่องพัสดุขนาดใหญ่ หนักเกือบสองกิโลกรัมจากเขา เมื่อแกะกล่องออกมา ผมก็พบแฟ้มเก็บต้นฉบับที่เขาถ่ายสำเนามาจากหน้าคอลัมน์ “สะพานบุญ” ที่เขาเคยเขียนในนิตยสาร “ย้อนรอยกรรม”และ จากหน้าคอลัมน์ “ศาลาแรงบุญ” ในนิตยสาร “แรงบุญแรงกรรม” ที่เขาเขียนอยู่ในปัจจุบัน นับรวมกันได้ 60 กว่าเรื่อง หนาประมาณ 200 กว่าหน้ากระดาษ A4 รวมทั้งสำเนาต้นฉบับที่เขาถ่ายจากหน้าคอลัมน์ “ศาลาคลายร้อน” ของคุณวนัสนันท์ จากหนังสือ “ ชีวิตรัก” 15 แผ่น และจากกรอบหน้าคอลัมน์หนังสือพิมพ์รายวันที่เขียนยกย่องชื่นชมเขา 3 - 4 แผ่น
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
 1.  จินตวีร์ เกียงมี หรือที่มีชื่อเต็มยศว่า จ.ส.ต.จินตวีร์ เกียงมี ซึ่งปัจจุบันรับราชการตำรวจ ตำแหน่ง งานธุรการอำนวยการกองวิจัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  ที่ใครต่อใครต่างรู้จักกันทั่วไปทั้งประเทศ และเลื่องลือไปถึงเมืองนอกเมืองนาในวันนี้ ในฐานะ จ่าตำรวจใจบุญ ที่แบกเป้เที่ยวตะลอนๆ ไปช่วยเหลือคนที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก แทบทุกหนทุกแห่งในประเทศ ที่ส่งเสียงร้องทุกข์โอดโอยมาให้เขาได้ยิน ซึ่งเราได้รับรู้เรื่องราวของเขาจากสื่อต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นสื่อทางวิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร อินเตอร์เน็ต ฯลฯ และที.วี.แทบทุกช่องที่นำเรื่องราวของเขา มาบอกเล่าแก่สาธารณะชน  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
 สมัยที่ผมยังทำงานเป็นนักดนตรีประจำร้าน สายหมอกกับดอกไม้ ของคุณอันยา โพธิวัฒน์ คู่ชีวิตของคุณจรัล มโนเพ็ชร ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งล้านนา ผู้ล่วงลับไปแล้ว ก่อนจะออกมาทำงานเขียนและงานเกี่ยวกับหนังสืออย่างเต็มตัวในทุกวันนี้ ผมจำได้อย่างแม่นยำว่า ภายในร้านสายหมอกกับดอกไม้ นอกจากเฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับตกแต่งภายใน ที่ประกอบด้วย โต๊ะ เก้าอี้ ที่เป็นเครื่องไม้ ภาพเขียน รูปปั้น และ ข้าวของเครื่องใช้ ผลงานเพลงของคุณจรัลในตู้โชว์ ตลอดจนรูปภาพของคุณจรัลตามฝาผนังห้องในอิริยาบถต่างๆแล้ว ยังมีกระจกเงาเก่าแก่บานหนึ่ง กว้างประมาณ สองฟุต สูงท่วมหัว ประดับอยู่ตรงมุมห้องโถงด้านขวามือใกล้ๆกับเวทีเล่นดนตรี…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  3 กันยายน 2552 ปีนี้ นอกจากจะเป็นวันรำลึกครบรอบการจากไปของ จรัล มโนเพ็ชร ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งล้านนาแล้ว วันนี้ยังมาตรงกับวันจัดงาน " แอ่วสันป่าตอง " ซึ่งเป็นงานของโครงการย้อนยุคอำเภอสันป่าตอง ที่มีเป้าหมายที่จะแนะนำอำเภอสันป่าตองเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยมีสภาวัฒนธรรมอำเภอเป็นตัวหลักในการจัดงาน ร่วมกับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนอีกมากมายหลายองค์กร ฯลฯ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  ก่อนอาทิตย์ตกในไร่ข้าวโพดสีส้มโชติโชนอยู่อีกครู่ใหญ่แผ่ร่มเงาความเวิ้งว้างกว้างออกไปอีกหนึ่งวันกลืนวันวัยในวันนี้
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  ฉันเอยฉันทลักษณ์ ยากยิ่งนักจะประดิษฐ์มาคิดเขียน เป็นบทกวีงามวิจิตรสนิทเนียน มิผิดเพี้ยนตามกำหนดแห่งกฎเกณฑ์
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
มิ่งมิตร เธอมีสิทธิ์ที่จะล่องแม่น้ำรื่น ที่จะบุกดงดำกลางค่ำคืน ที่จะชื่นใจหลายกับสายลม