Skip to main content

 

 

 

ผมไม่แน่ใจว่า
ก่อนที่คุณยิ่งลักษณ์ ว่าที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ คนสวย และกลุ่มมันสมองของพรรคเพื่อไทยจะชูนโยบายประชานิยม เพิ่มค่าแรงงานขั้นต่ำให้กรรมกรผู้ใช้แรงงานจาก 221 บาท เป็น 300 บาท และเพิ่มเงินเดือนให้แก่ผู้จบปริญญาตรีที่เริ่มเข้าบรรจุงานจาก 11,028 บาท เป็น 15,000 บาท

พวกท่านจะทราบหรือไม่ว่า รัฐบาลไม่มีสิทธิ์ที่จะกำหนดค่าจ้างหรือเงินเดือนใดๆให้แก่ผู้ว่าจ้างที่เป็นทุนเอกชน หรืออาจจะรู้อยู่เต็มอก แต่มั่นใจว่าทำได้ ทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ยากแสนยากที่จะทำได้ โดยเฉพาะการเพิ่มค่าแรงงานเป็น 300 บาท ดังนี้
 
ดร.สราวุธ ไพฑูรย์พงษ์ นักวิชาการอาวุโสฝ่ายการวิจัยทรัพยากรมนุษย์และสังคม สถาบันการวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย ได้ชี้แจงเอาไว้ในสกู๊ปหน้า 1ของไทยรัฐ ฉบับ 13 ก.ค. 54 ที่ชื่อว่า “ใต้ภูเขาแรงงาน 300 ยังมีวิกฤตแรงงาน”ว่า
 
“เรื่องการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ จะว่าไปแล้วรัฐไม่มีหน้าที่โดยตรง มีกฎหมาย (พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และฉบับแก้ไข พ.ศ. 2551) กำหนดให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งเป็นคณะกรรมการไตรภาคี ประกอบด้วย นายจ้าง ลูกจ้าง และ ตัวแทนฝ่ายรัฐ
 
โดยมีมาตรา 79 ของ พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่3) พ.ศ. 2551 กำหนดให้มีอำนาจหน้าที่กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานผีมือ และมาตรา 87 กำหนดว่า “...ให้คณะกรรมการค่าจ้างศึกษาและพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอัตราค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับอยู่ ประกอบกับข้อเท็จจริงอื่น โดยคำนึงถึงดัชนีค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อ มาตรฐานการครองชีพ ต้นทุนการผลิต ราคาของสินค้าและบริการ ความสามารถของธุรกิจ ผลิตภาพแรงงาน ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ และสภาพทางเศรษฐกิจและสังคม...”
 
เมื่อได้ศึกษา ข้อมูลและพิจารณาข้อเท็จจริงแล้ว ใหัคณะกรรมการค่าจ้างประกาศอัตราค่าจ้างขั้นต่ำหรืออัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ โดยเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา
 
ซึ่งในทางปฏิบัติ แม้จะมีคนของรัฐคือปลัดกระทรวงแรงงานเป็นประธานคณะกรรมการค่าจ้าง แต่กระบวนการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำโดยพื้นฐานแล้ว เป็นเรื่องของการเจรจาระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง โดยมีตัวแทนของรัฐทำหน้าที่เป็นคนกลางเท่านั้น
 
ตัวอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้น
เมื่อเดือนสิงหาคม 2553 ที่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เคยตั้งเป้าค่าแรงขั้นต่ำ 250 บาท แต่คณะกรรมการค่าจ้างกลางไม่เห็นด้วย ท้ายที่สุด ค่าจ้างที่ประกาศออกมา เมื่อเดือนมกรา 2554 คือ 221 บาท สำหรับกรุงเทพฯ และปริมณฑล
 
ดร.สราวุธ บอกว่าจริงๆแล้ว การกำหนดเป้าหมายเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ 25 เปอร์เซ็นต์ ในเวลา 2 ปี พอจะมีความเป็นไปได้ เพราะเพิ่มจาก 221 บาท เป็น 276 บาท แต่ที่ยากกว่าคือการจะเพิ่มจาก 221 บาท เป็น 300 บาท เพราะเท่ากับเพิ่มถึง 35.7 เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่ได้บอกว่าจะได้เมื่อไหร่
 
เมื่อพิจารณา
การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ผ่านมา
ระหว่างปี 2541 - 2554 อัตราค่าจ้างขั้นต่ำในประเทศไทยไม่เคยเพิ่มถึง 10 เปอร์เซ็นต์
มีอัตราเพิ่มเฉลี่ยอยู่ที่ 2.4 เปอร์เซ็นเท่านั้น
ที่เคยเพิ่มสูงสุดเกิดขึ้นในปี 2550 - 2551 อยู่ที่ 9.1 เปอร์เซ็นต์
และรองลงมา 7 เปอร์เซ็นต์ในปี 2553 - 2554
 
ครับ
นี่คือเงื่อนไขที่ไม่ง่ายเลยที่รัฐบาลในอนาคตจะเนรมิตให้แก่ผู้ขายแรงงาน ส่วนผลกระทบที่จะติดตามมา ทั้งจากการเพิ่มค่าแรงดังกล่าว รวมทั้งการปรับเงินเดือนคนจบปริญญาตรีจาก 11,028 บาท เป็น 15,000 บาท มีความเห็นจากผู้ประกอบการภาคเอกชนและนักวิชาการหลายท่าน ที่ มติชน รายวัน ฉบับ 13 ก.ค. 54 นำมาลงในหน้า 2 โดยพาดหัวว่า
“เสียงเตือนกระหึ่ม ! นโยบายยิ่งลักษณ์ ปรับค่าแรง 300 - ป.ตรี 1.5 หมื่น”
ด้วยความเห็น และการชี้ทางออกไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งผู้ประกอบการและนักวิชาการ
 
ผมขอนำ เอาเฉพาะความเห็นที่เป็นรูปธรรมที่มองเห็นเป็นจริงและจับต้องได้ง่าย จาก คุณธำรง ปัญญาสกุลวงศ์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย มานำเสนอ ดังนี้
“หากค่าแรงงานปรับเพิ่ม ทุกธุรกิจจะได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด แต่ภาคอหังสาฯ จะหนักสุด เพราะโดนสองเด้ง ทั้งจากราคารับเหมาและจากวัสดุก่อสร้างที่ปรับขึ้นจากค่าแรงขั้นต่ำ ดังนั้นสามสมาคมอหิงสาฯ ทั้งสมาคมอาคารชุดไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และสมาคมอหังสาริมทรัพย์ไทย จะหารือกัน เพื่อทำหนังสือหรือออกเป็นแถลงการณ์ถึงรัฐบาลให้ชะลอการปรับขึ้น หรือค่อยๆปรับขึ้นภายในสองปี เอกชนรับได้ แต่อย่าปรับครั้งเดียว เพราะหากปรับครั้งเดียว ผู้ประกอบการ ก็จะผลักภาระไปที่ผู้บริโภคทั้งหมด
 
อุตสาหกรรมก่อสร้างนั้น เป็นอุตสาหกรรมที่ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก จึงหลีกหนีไม่พ้นที่จะต้องใช้แรงงานต่างด้าว ก็จะมีสาวนรับเงินตรงนี้ไปด้วย แม้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าท่ายกรัฐมนตรี จะระบุให้แรงงานไทยเท่านั้น แต่ในข้อเท็จจริงนั้นมิได้เป็นอย่างนั้น
 
ขณะนี้ยังไม่เหมาะที่จะปรับค่าแรงไปถึง 300 บาท เพราะเศรษฐกิจก็ยังไม่ดีนัก เพราะไม่เพียงแต่ค่าแรงขั้นต่ำ แต่ยังลามไปถึงมนุษย์เงินเดือนด้วย เพราะมีการระบุว่าหากจบปริญญาตรีใหม่ได้เงิน 15,000 บาท ต่อเดือน ทั้งที่ยังไม่มีฝีมืออะไรเลย
 
ดังนั้น คนที่ทำงานมานานแล้ว มีเงินเดือนสูงกว่านักศึกษาจบใหม่ไม่มากนัก ก็จะต้องขอปรับค่าแรงหรือเงินเดือนขึ้นด้วยเหมือนกัน ดังนั้นภาคแรงงานต้องมีความปั่นป่วนแน่นอน สุดท้ายจะต้องมีการปลดคนออก
 
ครับ
นี่คือ เหตุปัจจัยของความเป็นไปได้ที่ยากแสนยาก หรือเป็นไปไม่ได้เลย ที่ฟังดูเป็นเหตุเป็นผลที่น่าเชื่อถือ ถ้าหากผู้ใช้แรงงานและผู้ที่เพิ่งจบปริญญาตรี จะคาดคั้นเอากันทีเดียวให้ได้ ตามที่ท่านนายกฯ ในอนาคตอันใกล้นี้ ได้โปรยยาหอมเอาไว้ตอนเลือกตั้ง
 
 แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายอะไรนักหนา เพราะผู้ที่กำหนดค่าแรงงานและเงินเดือนที่แท้จริง เขาก็ประนีประนอมเสนอทางออกที่เป็นไปได้แบบค่อยๆเป็นไป ตามเงื่อนไขที่เป็นไปได้แก่คุณยิ่งลักษณ์ดังกล่าวแล้ว
 
และผมเชื่อว่า ถึงอย่างไรคุณยิ่งลักษณ์คงไม่อยากเห็นใครๆที่เบื่อแสนจะเบื่อ...คนรูปหล่อที่เพิ่งจากไป มาชูป้ายดิสเครดิตแบบ คนอกหักซ้ำซาก แก่ตัวคุณยิ่งลักษณ์ว่า
“หล่อลากดิน...ก็แค่นั้น สวยชวนฝัน...ก็แค่นี้ เพราะดีแต่พูด...เหมือนกันอีกแล้ว !”
 
13 กรกฎาคม 2554
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่ 
 
 

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ฟ้าร้องคำรณกึกก้องพายุกรรโชกกราดเกรี้ยว             ไม่นานนักฝนก็ซัดสาดลงมาราวกับฟ้าทั้งฟ้าได้ฉีกขาดและรั่วไหลนำแม่น้ำจากสรวงสวรรค์ลงมาชะล้างผืนแผ่นดินตามกฎเกณฑ์กติกาอันเฉียบขาดของธรรมชาติเมื่อดิน น้ำ ฟ้า อากาศ อุณหภูมิ ความร้อนและความเย็น                    ประกอบกันเป็นเหตุปัจจัยเพียงพอที่จะทำให้เกิดปรากฎการณ์ฝนตกฝนย่อมจะต้องตกลงมาอย่างแน่นอนเมื่อถึงเวลาที่มีเหตุปัจจัยเพียงพอ...…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
 ฉันรู้ดีเมื่อวันพรุ่งนี้มาถึงคืนนี้...ก็จักไม่มีอีกต่อไปนอกจากความทรงจำอันหวานชื่นเท่านั้น
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  ข้าแด่พระเจ้า ข้าพระองค์ ไม่ปรารถนาจะให้พระองค์ประทานทุกอย่าง ที่ใจของข้าพระองค์ปรารถนา
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  บ้านสวนลำไยอันร่มครึ้มของเธอ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำที่ไหลระริกเริงร่าอยู่ชั่วนาตาปี เธอคือสาวบ้านสวนลำไย - ที่ถูกผู้คนในหมู่บ้าน กล่าวหาว่าเป็นคนเสียสติและไม่เต็มเต็ง จนไม่เป็นที่ปรารถนาของชายใด
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  จริงหรือ ที่มีคนมาบอกข้าว่า เป็นโชคดี ของ ทักษิณ ชินวัตร ที่มิได้เป็นคนเก่งกล้าสามารถและดีเลิศ ถึงขีดขั้น - ปราศจากข้อบกพร่องและความผิดพลาด ให้คนตำหนิติเตียนจับผิดได้ ในช่วงที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรี ดังที่เขาได้ถูกขุดคุ้ยออกมาตีแผ่ ตั้งแต่เรื่องที่เขาถูกกล่าวหาว่าซุกหุ้น ทุจริตในหน้าที่ จนถึงความผิดพลาดของนโยบายปราบปรามยาเสพติด และความผิดพลาดในการแก้ปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ ที่ตากใบและกรือเซ๊ะ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เขา - ต้องหลุดพ้นออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และต้องลี้ภัยอยู่ต่างแดน และยังมีชีวิตอยู่ และยังมีโอกาสได้ต่อสู้ นี่คือ... โชคดี ของ ทักษิณ ชินวัตร…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  คำถาม : เราจะรู้จักตัวเองได้อย่างไร กฤษณมูรติ : ท่านรู้จักหน้าของตัวเองเพราะท่านมองดูมันในกระจกบ่อยๆ และเราก็มีกระจกอีกบานที่จะมองตัวเองให้ชัดเจน ไม่เฉพาะใบหน้าเท่านั้น แต่จะมองเห็นทั้งหมดที่ท่านคิด ที่ท่านรู้สึก รวมถึงแรงจูงใจ ความปรารถนาของท่าน แรงกดดัน และความรู้สึกกลัวต่างๆของท่าน กระจกบานนั้น - ได้แก่กระจกแห่งความสัมพันธ์  ความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับพ่อแม่ของท่าน ระหว่างท่านกับครูของท่าน ระหว่างท่านกับแม่น้ำ ต้นไม้ โลก ระหว่างท่านกับความคิดของท่าน   ความสัมพันธ์จึงเป็นกระจกที่ท่านจะเห็นตัวเอง มิใช่ตามที่ท่านปรารถนา แต่ตามที่ท่านเป็นอยู่อย่างแท้จริง เมื่อมองดูกระจกธรรมดา…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
คำถาม : การรู้จักตัวเอง ( self knowledge ) คืออะไร เราสามารถทำให้เกิดขึ้นได้อย่างไร กฤษณมูรติ : ท่านเห็นระดับของความคิดที่ซ่อนอยู่ในคำถามนี้หรือไม่ ข้าพเจ้าไม่ได้แสดงความไม่นับถือผู้ถาม แต่อยากจะชวนให้พวกเราใส่ใจต่อความคิด ซึ่งถามว่า
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
 ข้าคือคนที่มีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวทั้งๆที่ตัวข้าไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวเลยสักนิด
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
จากบันทึกงาน - เพื่อคนทุกข์ผู้ยากไร้ ของ จินตวีร์   เกียงมี
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ดื่มเถิดเพื่อน...ถ้าหากเพื่อนต้องการดื่มเพื่อให้ลืมแผลพิษชีวิตขมเพื่อให้ลืมอดีตดั่งมีดคมซึ่งสั่งสมอยู่ภายในหัวใจเพื่อน